พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

สมุฏฐาน และ สมุฏฐานวรรณนา

  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 882

สมุฏฐาน

ภิกษุไม่มีความจงใจต้องอาบัติเป็นต้น

[๑,๒๓๐] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่มีความจงใจต้อง มีความจงใจออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีความจงใจต้อง ไม่มีความจงใจออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่มีความจงใจต้อง ไม่มีความจงใจออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีความจงใจต้อง มีความจงใจออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกขุมีจิตเป็นกุศลต้อง มีจิตเป็นกุศลออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นกุศลต้อง มีจิตเป็นอกุศลออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นกุศลต้อง มีจิตเป็นอัพยาฤตออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอกุศลต้อง มีจิตเป็นกุศลออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอกุศลต้อง มีจิตเป็นอกุศลออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอกุศลต้อง มีจิตเป็นอัพยากฤตออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง มีจิตเป็นกุศลออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง มีจิตเป็นอกุศลออก

มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง มีจิตเป็นอัพยากฤตออก.

ปาราชิก ๔

[๑,๒๓๑] ถามว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ตอบว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิด แต่กายกับจิต มิใช่วาจา

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 883

ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่ กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่ กาย วาจาและจิต ๑

ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่ กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่ กาย วาจาและจิต ๑

ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ เกิดด้วยสมุกฐานเท่าไร

ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่ กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่ กาย วาจาและจิต ๑.

ปาราชิก ๔ สิกขาบท จบ

สังฆาทิเสส ๑๓

[๑,๒๓๒] ถามว่า สังฆาทิเสสของภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ เกิดด้วย สมุฏฐานเท่าไร

ตอบว่า สังฆาทิเสสของภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา

ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม เกิด ด้วยสมุฏฐานเท่าไร

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 884

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม เกิด ด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา

ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้พูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ เกิดด้วย สมุฏฐานเท่าไร

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุพูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับ จิตมิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑

ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุ ผู้กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามใน สำนักมาตุคาม เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุ ผู้กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามใน สำนักมาตุคาม เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑

ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ เกิดด้วยสมุฏฐาน เท่าไร

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่ วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และ จิต ๑

ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุให้ทำกุฏี ด้วยอาการขอเอาเอง เกิดด้วย สมุฏฐานเท่าไร

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 885

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ให้ทำกุฎี ด้วยอาการขอเอาเอง เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑ ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ให้ทำกุฎีใหญ่ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ให้ทำกุฎีใหญ่ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑

ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอัน หามูลมิได้ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑

ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถือเอาเอกเทศบางอย่าง แห่งอธิกรณ์อันเป็น เรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรม อันมีโทษถึงปาราชิก เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ถือเอาเอกเทศบางอย่าง แห่งอธิกรณ์อัน เป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรม อันมีโทษถึงปาราชิก เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่ วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 886

ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่สละกรรม เมื่อสวดประกาศ ครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศ ครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต

ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุรู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย ไม่สละกรรม เมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย ไม่สละกรรม เมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือเกิดแต่กาย วาจา และจิต

ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ว่ายาก ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ว่าอยาก ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจาและจิต

ถ. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. สังฆาทิเสสของภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ไม่สละกรรมเมื่อสวดประกาศครบ ๓ จบ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต.

สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท จบ

เสขิยวัตร

[๑,๒๓๓] ... ถามว่า ทุกกฏของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อถ่ายอุจ- จาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะ ลงในน้ำ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 887

ตอบว่า ทุกกฏของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา.

เสขิตวัตร จบ

ปาราชิก ๔

[๑,๒๓๔] ถามว่า ปาราชิก ๔ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ตอบว่า ปาราชิก ๔ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับ จิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.

สังฆาทิเสส ๑๓

[๑,๒๓๕] ถามว่า สังฆาทิเสส ๑๓ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ตอบว่า สังฆาทิเสส ๑๓ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใชจิต ๑ บางทีเกิดแต่ กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่ วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.

อนิยต ๒

[๑,๒๓๖] ถามว่า อนิยต ๒ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ตอบว่า อนิยต ๒ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย ๑ วาจา และจิต ๑.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 888

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐

[๑,๒๓๗] ถามว่า นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ตอบว่า นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิด แต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บาง ทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บาง ทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.

ปาจิตตีย์ ๙๒

[๑,๒๓๘] ถามว่า ปาจิตตีย์ ๙๒ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ตอบว่า ปาจิตตีย์ ๙๒ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่ กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิด แต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.

ปาฏิเทสนียะ ๔

[๑,๒๓๙] ถามว่า ปาฏิเทสนียะ ๔ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ตอบว่า ปาฏิเทสนียะ ๔ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ คือ บางทีเกิดแต่ กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิด แต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 889

เสขิยะ ๗๕

[๑,๒๔๐] ถามว่า เสขิยะ ๗๕ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ตอบว่า เสขิยะ ๗๕ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับ จิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.

สมุฏฐาน จบ

หัวข้อประจำเรื่อง

[๑,๒๔๑] ไม่มีความจงใจ ๑ มีจิตเป็นกุศล ๑ สมุฏฐานทุกสิกขาบท ๑ ขอท่านทั้งหลายจงรู้สมุฏฐาน โดยรู้ตามธรรมเทอญ.

สมุฏฐาน วัณณนา

วินิจฉัยในคำว่า อจิตฺตโก อาปชฺชติ เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :-

ภิกษุผู้ไม่แกล้ง แต่ต้องโทษตามพระบัญญัติ มีสหไสยเป็นต้น ชื่อ ว่าไม่มีความจงใจต้อง, เมื่อแสดงเสีย ชื่อว่ามีความจงใจออก

ภิกษุผู้แกล้งต้องโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่ามีความจงใจต้อง, เมื่อ ออกด้วยติณวัตถารกวินัย ชื่อว่าไม่มีความจงใจออก.

เมื่อออกอาบัติที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล ด้วยติณวัตถารกวินัย ชื่อ ว่าไม่มีความจงใจต้อง ไม่มีความจงใจออก.

เมื่อแสดงอาบัตินอกนี้ ชื่อว่ามีความจงใจต้อง มีความจงใจออก.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 890

เมื่อคิดว่า เราจะทำธรรมทาน กระทำธรรมเป็นต้นโดยบท ชื่อว่ามี จิตเป็นกุศลต้อง.

เมื่อมีจิตเบิกบานว่า เราทำตามคำพร่ำสอนของพระพุทธเจ้า แสดง (อาบัติ) ชื่อว่ามีจิตเป็นกุศลออก.

เมื่อเป็นผู้ถึงความเสียใจแสดง ชื่อว่ามีจิตเป็นอกุศลออก.

เมื่อหลับเสีย ออกด้วยติณวัตถารกวินัย ชื่อว่ามีจิตเป็นอัพยากฤตออก.

เมื่อทำความละเมิดมีหลอนให้กลัวเป็นต้น แล้วถึงความดีใจว่า เรา ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แสดง (อาบัติ) ชื่อว่ามีจิตเป็นอกุศลต้อง มี จิตเป็นกุศลออก.

ถึงความเสียใจเทียวแสดง ชื่อว่ามีจิตเป็นอกุศลออก.

เมื่อออกด้วยติณวัตถารกวินัย ตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล ชื่อว่ามีจิต เป็นอัพยากฤตออก.

เมื่อต้องอาบัติเพราะนอนร่วมเรือน ในสมัยที่หยั่งลงสู่ความลับ ชื่อ ว่ามีจิตเป็นอัพยากฤตต้อง.

ส่วนคำว่า มีจิตเป็นกุศลออก เป็นอาทิ พึงทราบในอาบัติที่ต้อง เพราะนอนร่วมเรือนนี้ ตามนัยที่กล่าวนั่นแล.

คำว่า ปมํ ปาราชิกํ กตีหิ สมุฏฺาเนหิ เป็นอาทิ นับว่าตื้น ทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในหลัง.

สมุฏฐานใดๆ ได้แก่อาบัติใดๆ , สมุฏฐานและอาบัตินั้นๆ ทั้งมวล เป็นอันได้กล่าวเสร็จแล้ว โดยกำหนดอย่างสูง ในคำว่า ปาราชิก ๔ ย่อมเกิด ด้วยสมุฏฐาน ๓ เป็นอาทิ.

สมุฏฐาน วัณณนา จบ