พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑

 
บ้านธัมมะ
วันที่  10 มี.ค. 2565
หมายเลข  42745
อ่าน  992

[เล่มที่ 3] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค - ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓

พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ ภาค ๓

มหาวิภังค์ ปฐมภาค

สมันตปาสาทิกาแปล อรรถกถาพระวินัย

มหาวิภังควรรณนา ภาค ๒

เตรสกัณฑวรรณนา

สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑

สุกกวิสัฏฐิสิกขาบทวรรณนา 96

แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระเสยยสกะ 96

แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องภิกษุหลายรูป 98

อธิบายสิกขาบทวิภังค์ว่าด้วยสัญเจตนิกาศัพท์ 99

อธิบายเหตุให้เกิดความฝัน ๔ อย่าง 102

อธิบายคําว่าสังฆาทิเสส 105

อธิบายบทภาชนีย์ว่าด้วยเหตุให้ปล่อยสุกกะ 106

อธิบายสุทธิกสังฆาทิเสส 109

อธิบายขัณฑจักรและพัทธจักรเป็นต้น 111

อธิบายราคะและประโยค ๑๑ อย่าง 114

วินีตวัตถุในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑ 120


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 3]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 96

สมันตปาสาทิกาแปล อรรถกถาพระวินัย

มหาวิภังควรรณนา

ภาค ๒

เตรสกัณฑวรรณนา

เตรสกะ (หมวด ๑๓) ท่านพระธรรมสังคหกาจารย์ทั้งหลาย ได้ร้อยกรองไว้ในลำดับแห่งปาราชิกกัณฑ์ มีการพรรณนาบทที่ยังไม่มีในก่อน ดังต่อไปนี้.

สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑

สุกกวิสัฏฐิสิกขาบทวรรณนา

[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระเสยยสกะ]

บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในคำว่า โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคฤหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ก็ในสมัยนั้นแล ท่านพระเสยยสกะไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์นี้ ดังต่อไปนี้.

คำว่า อายสฺมา เป็นคำไพเราะ.

บทว่า เสยฺยสโก เป็นชื่อของภิกษุรูปนั้น.

คำว่า อนภิรโต ความว่า เป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน คือ ถูกความเร่าร้อนเพราะกำหนัดในกามแผดเผาอยู่ แต่ไม่ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 97

ข้อว่า โส เตน กิโส โหติ ความว่า พระเสยยสกะนั้นย่อมเป็นผู้ผ่ายผอม เพราะความเป็นผู้ไม่ยินดีนั้น.

ในคำว่า อทฺทสา โข อายสฺมา อุทายี นี้ มีวินิจฉัยดังนี้:-

บทว่า อุทายี เป็นชื่อของพระเถระนั้น.

จริงอยู่ พระเถระชื่อโลลุทายีนี้ เป็นอุปัชฌาย์ของพระเสยยสกะ เป็นผู้มีส่วนเปรียบด้วยเนื้อตื่น คือ เป็นภิกษุโลเลรูปใดรูปหนึ่ง บรรดาภิกษุผู้ตามประกอบเหตุแห่งความเกียจคร้าน มีความเป็นผู้มีความหลับนอน เป็นที่มายินดีเป็นต้น.

บทว่า กจฺจิ โน ตฺวํ ไขความว่า กจฺจิ นุ ตฺวํ แปลว่า ท่าน... ละหรือหนอ.

พึงทราบวินิจฉัย ในคำมีอาทิว่า ยาวทตฺถํ ภุญฺช ดังต่อไปนี้:-

ความต้องการมีประมาณเพียงใด ชื่อว่า ยาวทัตถะ (เท่าที่ต้องการ).

มีคำอธิบายว่า เธอมีความประสงค์ด้วยโภชนะประมาณเท่าใด, คือ เธอต้องการประมาณเท่าใด, จงบริโภคประมาณเท่านั้น, หรือว่า เธอปรารถนาเพื่อจะหลับในเวลากลางคืน หรือกลางวัน สิ้นกาลประมาณเท่าใด, จงหลับสิ้นกาลประมาณเท่านั้น, เธอปรารถนาการชโลมกายด้วยดินเหนียวเป็นต้น ขัดสีด้วยแป้งเป็นต้น แล้วอาบน้ำประมาณเท่าใด, จงอาบน้ำประมาณเท่านั้น, ไม่มีประโยชน์ด้วยบาลีอรรถกถา ข้อวัตรปฏิบัติ หรือด้วยกรรมฐาน.

คำว่า ยทา เต อนภิรติ อุปฺปชฺชติ ความว่า ในกาลใด ความกระสัน คือ ความเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจแห่งความกำหนัดในกามเกิดแก่เธอ.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 98

คำว่า ราโค จิตฺตํ อนุทฺธํเสติ ความว่า กามราคะย่อมกำจัด ทำลาย คือ ซัดส่ายจิตไปมา และทำจิตให้เหี่ยวแห้ง.

ข้อว่า ตทา หตฺเถน อุปกฺกมิตฺวา อสุจิํ โมเจหิ มีความว่า ในกาลนั้น เธอจงเอามือพยายามกระทำการปล่อยอสุจิ, จริงอยู่ด้วยการกระทำอย่างนี้ เอกัคคตาจิต จักมีแก่เธอ, อุปัชฌายะพร่ำสอนเธออย่างนี้ เช่นกับคนโง่สอนคนโง่ คนใบ้สอนคนใบ้ฉะนั้น.

(แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องภิกษุหลายรูป)

คำว่า เตสํฯ เปฯ โอกฺกมนฺตานํ มีความว่า เมื่อภิกษุเหล่านั้น ละสติสัมปชัญญะจำวัด.

ในคำนั้น มีวินิจฉัยดังนี้:-

เมื่อภิกษุทั้งหลายกำลังจำวัด ภวังควารที่เป็นอัพยากฤตเป็นไปอยู่, สติสัมปชัญญวาระจะคลาดไป แม้ก็จริง; ถึงกระนั้น ในการจำวัด ภิกษุควรทำมนสิการ.

ภิกษุเมื่อจะจำวัดในกลางวัน พึงจำวัดพร้อมด้วยความอุตสาหะว่า เราจักจำวัดชั่วเวลาที่ผมของภิกษุผู้สรงน้ำ ยังไม่แห้ง แล้วจักลุกขึ้น ดังนี้ จะจำวัดในเวลากลางคืน พึงเป็นผู้มีความอุตสาหะจำวัดว่า เราจักหลับสิ้นส่วนแห่งราตรี ชื่อมีประมาณเท่านี้ แล้วลุกขึ้นในเวลาที่ดวงจันทร์ หรือดวงดาวโคจรมาถึงสถานที่ชื่อนี้.

อีกอย่างหนึ่ง พึงกำหนดกรรมฐานอย่างหนึ่ง ในบรรดากรรมฐานทั้ง ๑๐ มีพุทธานุสติเป็นต้น หรือกรรมฐานที่ใจชอบอย่างอื่น แล้วจึงจำวัด.

ก็เมื่อภิกษุกระทำเช่นนั้น ท่านเรียกว่า มีสติสัมปชัญญะ คือ ไม่ละสติและสัมปชัญญะจำวัด, ก็ภิกษุเหล่านั้นเป็นคนโง่ โลเล มีส่วนเปรียบด้วยเนื้อตื่น ไม่ได้กระทำอย่างนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า เตสํฯ ปฯ โอกฺกมนฺตานํ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 99

ข้อว่า อตฺถิ เจตฺถ เจตนา อุปลพฺภติ มีความว่า ก็ความจงใจ ยินดีในความฝันนี้ มีอยู่ คือหาได้อยู่.

ข้อว่า อตฺเถสา ภิกฺขเว เจตนา สา จ โข อพฺโพหาริกา มีความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เจตนาเป็นเหตุยินดี นี้ มีอยู่, แต่เจตนานั้นแล ชื่อว่า เป็นอัพโพหาริก คือ ไม่เป็นองค์แห่งอาบัติ เพราะบังเกิดในฐานอันไม่ใช่วิสัย.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความที่เจตนาในความฝันเป็นอัพโพหาริก ด้วยประการอย่างนี้แล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบทพร้อมทั้งอนุบัญญัติว่า ภิกษุทั้งหลาย! ก็แล เธอทั้งหลาย พึงสวดสิกขาบทนี้ อย่างนี้ว่า การปล่อยสุกกะเป็นไปด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน เป็นสังฆาทิเสส ดังนี้.

[อธิบายสิกขาบทวิภังค์ ว่าด้วยสัญเจตนิกาศัพท์]

ในสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-

เจตนาแห่งการปล่อยสุกกะนั้น มีอยู่; เหตุนั้น การปล่อยสุกกะนั้น จึงชื่อว่า สัญเจตนา (มีเจตนา), สัญเจตนานั่นแหละชื่อสัญเจตนิกา.

อีกอย่างหนึ่ง ความจงใจของการปล่อยสุกกะนั้น มีอยู่; เหตุนั้น การปล่อยสุกกะนั้น จึงชื่อว่า สัญเจตนิกา (มีความจงใจ). การปล่อยสุกกะมีความจงใจ เป็นของภิกษุใด, ภิกษุนั้นเป็นผู้รู้ คือ รู้สึกตัว, และการปล่อยสุกกะนั้น ของภิกษุนั้น เป็นการแกล้ง คือ ฝ่าฝืนล่วงละเมิด; เพราะเหตุนั้น เพื่อแสดงแต่ใจความเท่านั้น ไม่ทำความเอื้อเฟื้อในพยัญชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทภาชนะแห่งบทว่า สญฺเจตนิกา นั้น อย่างนี้ว่า อาการที่รู้ คือ รู้สึก แกล้ง คือ ฝ่าฝืน ล่วงละเมิด (ชื่อว่ามีความจงใจ).

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 100

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชานนฺโต ได้แก่ รู้อยู่ว่า เรากำลังพยายาม.

บทว่า สญฺชานนฺโต ได้แก่ รู้สึกตัวอยู่ว่า เรากำลังปล่อยสุกกะ. อธิบายว่า รู้พร้อมกับอาการที่พยายามและความรู้นั้นนั่นเอง.

บทว่า เจจฺจ ได้แก่ แกล้ง คือ จงใจ ด้วยอำนาจเจตนา คือ ความยินดีในการปล่อย.

บทว่า อภิวิตริตฺวา ได้แก่ เมื่อฝ่าฝืนด้วยอำนาจความพยายามส่งจิตอันปราศจากความรังเกียจไป.

บทว่า วีติกฺกโม มีคำอธิบายว่า ความล่วงละเมิดใดของภิกษุผู้ประพฤติอย่างนั้น, ความล่วงละเมิดนี้นั้น เป็นใจความสุดยอดแห่งสัญเจตนิกาศัพท์.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า สุกฺกนฺติ ทส สุกฺกานิ เป็นต้น ก็เพื่อแสดงสุกกะและการปล่อย ในบทว่า สุกฺกวิสฏฺิ นี้ โดยจำนวนและโดยความต่างแห่งสีก่อน.

ในจำนวนและความต่างแห่งสีนั้น พึงทราบความต่างแห่งสีมีสีเขียวเป็นต้น โดยความต่างแห่งที่อาศัยของสุกกะทั้งหลาย และโดยความเป็นต่างๆ แห่งธาตุ.

การสละชื่อว่า การปล่อย. ก็คำว่า ปล่อยนี้ โดยใจความ เป็นการทำให้เคลื่อนจากฐาน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า กิริยาที่ทำให้เคลื่อนจากฐาน เรียกว่าปล่อย.

ในคำนั้น พระอาจารย์ทั้งหลายกำหนดฐานแห่งสุกกะไว้ ๓ ส่วน คือ กระเพาะเบา ๑ สะเอว ๑ กาย ๑.

ได้ยินว่า พระอาจารย์รูปหนึ่งกล่าวว่า กระเพาะเบาเป็นฐานของสุกกะ. รูปหนึ่งกล่าวว่า สะเอวเป็นฐานของสุกกะ. รูปหนึ่งกล่าวว่า กายทั้งสิ้น.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 101

ใน ๓ อาจารย์นั้น ภาษิตของรูปที่ ๓ กล่าวชอบ. เพราะว่าเว้นที่ซึ่ง ผม ขน เล็บ และฟัน พ้นจากเนื้อ และอุจจาระปัสสาวะ น้ำลายน้ำมูก และหนังที่แห้งเสียแล้ว กายแม้ทั้งหมดที่เหลือซึ่งมีหนังและเนื้ออันโลหิตเดินได้ตลอด เป็นฐานของกายประสาท ภาวะชีวิตินทรีย์ และดีไม่เป็นฝัก และเป็นฐานของน้ำสมภพเหมือนกัน.

จริงอย่างนั้น น้ำสมภพ ย่อมไหลออกทางหมวกหูทั้งสองของช้างทั้งหลาย ที่ถูกความกลัดกลุ้มด้วยราคะครอบงำแล้ว. และพระเจ้ามหาเสนะผู้ทรงกลัดกลุ้มด้วยราคะ ไม่ทรงสามารถจะอดทนกำลังน้ำสมภพได้ จึงรับสั่งให้ผ่าต้นพระพาหุด้วยมีด ทรงแสดงน้ำสมภพ ซึ่งไหลออกทางปากแผล ฉะนี้แล.

ก็บรรดาวาทะเหล่านี้ ในวาทะของอาจารย์ที่หนึ่ง เมื่อภิกษุพยายามที่นิมิตด้วยความยินดีจะให้เคลื่อน แมลงวันน้อยๆ ตัวหนึ่งพึงดื่มน้ำอสุจิมีประมาณเท่าใดได้ เมื่ออสุจิมีประมาณเท่านั้นมาตรว่าเคลื่อนจากกระเพาะเบา ไหลลงสู่คลองปัสสาวะ จะออกข้างนอกก็ตาม ไม่ออกก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส.

ในวาทะของอาจารย์ที่สองก็เหมือนกัน เมื่ออสุจิมาตรว่าเคลื่อนจากสะเอวไหลสู่คลองปัสสาวะ เป็นสังฆาทิเสส.

ในวาทะของอาจารย์ที่สาม ก็เหมือนกัน เพราะยังกายทั้งสิ้นให้หวั่นไหว เมื่ออสุจิมาตรว่าเคลื่อนออกจากกายนั้นไหลลงสู่คลองปัสสาวะ จะออกข้างนอกก็ตาม ไม่ออกก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส.

ก็แลความไหลลงสู่คลองปัสสาวะ ท่านกล่าวไว้ในการปล่อยสุกกะนี้ ก็เพราะเป็นของที่ใครๆ ไม่พึงอาจจะกลั้นห้ามเสียในระหว่างได้.

จริงอยู่ อสุจิเคลื่อนจากฐานแล้ว ย่อมลงสู่คลองปัสสาวะเป็นแน่; เพราะฉะนั้น ในการปล่อยสุกกะนี้ พึงทราบอาบัติ ด้วยเหตุเพียงให้

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 102

เคลื่อนจากฐานเท่านั้น. และอาบัตินั้นแล ย่อมมีแก่ภิกษุผู้พยายามที่นิมิตเท่านั้น. ส่วนในการทำหัตถบริกรรม ปาทบริกรรม และคัตตบริกรรม ถ้าแม้นอสุจิเคลื่อนก็ไม่เป็นอาบัติ. นี้เป็นวินิจฉัยทั่วไปแห่งอาจารย์ทั้งปวง.

[อธิบายเหตุให้เกิดความฝัน ๔ อย่าง]

ในคำว่า อญฺตฺร สุปินนฺตา นี้มีวินิจฉัยดังนี้:-

สุปินะนั่นแหละ ชื่อสุปินันตะ มีคำอธิบายว่า ยกเว้น คือ นำความฝันนั้นออกไปเสีย.

ก็แล บุคคลเมื่อจะฝันนั้น ย่อมฝันเพราะเหตุ ๔ ประการคือ เพราะธาตุกำเริบ ๑ เพราะเคยทราบมาก่อน ๑ เพราะเทวดาสังหรณ์ ๑ เพราะบุพนิมิต ๑.

บรรดาเหตุ ๔ อย่างนั้น คนผู้มีธาตุกำเริบ เพราะประกอบด้วยปัจจัยอันทำให้ดีเป็นต้นกำเริบ ชื่อว่า ย่อมฝัน เพราะธาตุกำเริบ.

และเมื่อฝัน ย่อมฝันต่างๆ เช่นเป็นเหมือนตกจากภูเขา เหมือนเหาะไปทางอากาศ และเหมือนถูกเนื้อร้าย ช้างร้าย และโจรเป็นต้น ไล่ติดตาม. เมื่อฝันเพราะเคยทราบมาก่อน ชื่อว่า ย่อมฝันถึงอารมณ์ที่ตนเคยเสวยมาแล้วในกาลก่อน.

พวกเทวดาย่อมนำอารมณ์มีอย่างต่างๆ เข้าไป เพื่อความเจริญบ้าง เพื่อความเสื่อมบ้าง เพราะเป็นผู้มุ่งความเจริญบ้าง เพราะเป็นผู้มุ่งความเสื่อมบ้าง แก่บุคคลผู้ฝัน เพราะเทวดาสังหรณ์ ผู้นั้นย่อมฝันเห็นอารมณ์เหล่านั้นด้วยอนุภาพของพวกเทวดานั้น.

เมื่อบุคคลฝันเพราะบุพนิมิต ชื่อว่า ย่อมฝันที่เป็นบุพนิมิตแห่งความเจริญบ้าง แห่งความเสื่อมบ้าง ซึ่งต้องการจะเกิดขึ้น ด้วยอำนาจแห่งบุญและบาป เหมือนพระมารดาของพระโพธิสัตว์ ทรงพระสุบินนิมิตในการที่จะได้

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 103

พระโอรสฉะนั้น, เหมือนพระโพธิสัตว์ทรงมหาสุบิน ๕ และเหมือนพระเจ้าโกศลทรงพระสุบิน ๑๖ ประการฉะนั้นแล.

บรรดาความฝัน ๔ อย่างนั้น ความฝันที่คนฝัน เพราะธาตุกำเริบ และเพราะเคยทราบมาก่อน ไม่เป็นจริง. ความฝันที่ฝันเพราะเทวดาสังหรณ์ จริงก็มี เหลวไหลก็มี, เพราะว่าพวกเทวดาโกรธแล้ว ประสงค์จะให้พินาศโดยอุบาย จึงแสดงให้เห็นวิปริตไปบ้าง. ส่วนความฝันที่คนฝันเพราะบุพนิมิต เป็นความจริงโดยส่วนเดียวแล.

ความแตกต่างแห่งความฝัน แม้เพราะความแตกต่างแห่งมูลเหตุทั้ง ๔ อย่างนี้คละกันก็มีได้เหมือนกัน. ก็แลความฝันทั้ง ๔ อย่างนี้นั้น พระเสขะและปุถุชนเท่านั้น ย่อมฝันเพราะยังละวิปลาสไม่ได้. พระอเสขะทั้งหลาย ย่อมไม่ฝัน เพราะท่านละวิปลาสได้แล้ว.

ถามว่า ก็บุคคลเมื่อฝันนั้น หลับฝัน หรือตื่นฝัน หรือว่าไม่หลับ ไม่ตื่นฝัน.

แก้ว่า ในเรื่องความฝันนี้ ท่านควรกล่าวเพิ่มอีกสักเล็กน้อย. ชั้นแรก ถ้าคนหลับฝันก็จะต้องขัดแย้งกับพระอภิธรรม. เพราะว่า คนหลับด้วยภวังคจิต. ภวังคจิตนั้น หามีรูปนิมิตเป็นต้นเป็นอารมณ์หรือสัมปยุตด้วยราคะเป็นต้นไม่. ก็เมื่อบุคคลฝัน จิตทั้งหลายเช่นนี้ ย่อมเกิดขึ้นได้.

ถ้าบุคคล ตื่นฝัน ก็จะต้องขัดแย้งกับพระวินัย. เพราะว่า คนตื่นฝันเห็นสิ่งใด, เขาเห็นสิ่งนั้น ด้วยสัพโพหาริกจิต (๑) (ด้วยจิตตามปกติ). ก็ชื่อว่า อนาบัติ ย่อมไม่มีในเพราะความล่วงละเมิดที่ภิกษุทำด้วยสัพโพ-


(๑) วิมติวโนทนีฎีกา, สพฺโพหาริกจิตฺเตนาติ ปฏิพุทฺธสฺส ปกติวีถิจิตฺเตน แปลว่า บทว่า ด้วยสัพโพหาริกจิต นั้น คือ ด้วยวิถีจิตตามปกติของคนผู้ตื่นอยู่.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 104

หาริกจิต แต่เมื่อผู้กำลังฝันทำการล่วงละเมิด เป็นอนาบัติโดยส่วนเดียวแท้.

ถ้าบุคคลไม่หลับไม่ตื่นฝัน ชื่อว่าใครๆ จะฝันไม่ได้ และเมื่อเป็นอย่างนั้น ความฝันก็จะต้องไม่มีแน่. จะไม่มีได้. เพราะเหตุไร? เพราะคนผู้ถูกความหลับดุจลิงครอบงำ จึงฝัน. สมจริงดังคำที่พระนาคเสนเถระกล่าวไว้ว่า มหาบพิตร! คนถูกความหลับดุจลิงหลับครอบงำ จึงฝันแล.

บทว่า กปิมิทฺธปเรโต แปลว่า ประกอบด้วยความหลับดุจลิงหลับ.

เหมือนอย่างว่า ความหลับของลิงเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ฉันใด, ความหลับใดเปลี่ยนแปลงเร็ว เพราะเกลื่อนกล่นด้วยจิตเป็นกุศลเป็นต้น บ่อยๆ ก็ฉันนั้น คือ มีการตื่นขึ้นจากภวังค์บ่อยๆ ในเวลาความหลับใดเป็นไป บุคคลผู้นั้นประกอบด้วยความหลับนั้น ย่อมฝันได้ เพราะเหตุนั้น ความฝันนี้ จึงเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นอัพยากฤตบ้าง.

บรรดาความฝัน ๓ อย่างนั้น ความฝันของผู้ที่ฝันว่ากำลังทำการไหว้พระเจดีย์ ฟังธรรมและแสดงธรรมเป็นต้น พึงทราบว่าเป็นกุศล, ของผู้ที่ฝันว่า กำลังทำบาป มีการฆ่าสัตว์เป็นต้น พึงทราบว่าเป็นอกุศล, ความฝันที่พ้นไปจากองค์สอง พึงทราบว่าเป็นอัพยากฤต ในขณะแห่งอาวัชชนจิตและตทารัมมณจิต.

ความฝันนี้นั้นไม่สามารถเพื่อจะชักปฏิสนธิมาได้ เพราะเจตนามีวัตถุอ่อนกำลัง แต่ในปวัตติกาล อันกุศลและอกุศลเหล่าอื่นสนับสนุนแล้ว ย่อมให้วิบากได้ จะให้วิบากได้แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น เจตนาในความฝัน ก็จัดเป็นอัพโพหาริกทีเดียว เพราะบังเกิดในฐานอันมิใช่วิสัย. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีจึงกล่าวว่า เว้นไว้แต่ฝัน.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 105

[อธิบายคำว่าสังฆาทิเสส]

คำว่า สังฆาทิเสส เป็นชื่อของกองอาบัตินี้. เพราะเหตุนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบสัมพันธ์ในสิกขาบทนี้อย่างนี้ว่า การปล่อยสุกกะมีความจงใจเว้นความฝันอันใด, อันนี้เป็นกองแห่งอาบัติชื่อสังฆาทิเสส.

ก็แล เนื้อความเฉพาะคำในบทว่า สังฆาทิเสส นี้ ว่า สงฆ์อันภิกษุพึงปรารถนาในกรรมเบื้องต้น และในกรรมที่เหลือแห่งกองอาบัตินั้น; เพราะฉะนั้น กองอาบัตินั้น จึงชื่อสังฆาทิเสส.

มีคำอธิบายอย่างไร?

มีคำอธิบายว่า ภิกษุต้องอาบัตินี้แล้วพึงปรารถนาสงฆ์ เพื่อประโยชน์แก่ปริวาสในกรรมเบื้องต้นแห่งการออกจากอาบัติ ของผู้ใคร่จะออก และเพื่อประโยชน์แก่การให้มานัต หรือเพื่อประโยชน์แก่การให้มานัตรวมกับมูลายปฏิกัสสนา ในกรรมอันเป็นท่ามกลาง เพื่อประโยชน์แก่อัพภาน ในกรรมที่สุด ซึ่งเหลือจากกรรมเป็นเบื้องต้น เพราะว่า บรรดากรรมเหล่านี้ กรรมแม้อันหนึ่ง เว้นสงฆ์เสียแล้ว ใครๆ ไม่สามารถจะทำได้. สงฆ์อันภิกษุพึงปรารถนาในกรรมเบื้องต้น และกรรมที่เหลือแห่งกองอาบัตินั้น เพราะฉะนั้น กองอาบัตินั้น จึงชื่อว่าสังฆาทิเสส.

ก็แล เพื่อไม่เอื้อเฟื้อพยัญชนะ แสดงแต่ใจความเท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทภาชนะแห่งบทว่า สังฆาทิเสส นั้น ดังนี้ว่า สงฆ์แล ย่อมให้ปริวาส เพื่ออาบัตินั้น ย่อมชักเข้าหาอาบัติเดิม ย่อมให้มานัต ย่อมอัพภาน, ไม่ใช่ภิกษุมากรูป ไม่ใช่บุคคลผู้เดียว; เพราะเหตุนั้น อาบัตินั้น ท่านจึงเรียกว่า สังฆาทิเสส.

และตรัสเหตุแห่งคำไว้ในคัมภีร์ปริวาร ว่า

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 106

อาบัติใดที่เรากล่าวว่า สังฆาทิเสส, ท่านจงฟังอาบัตินั้น ตามที่ได้กล่าวแล้ว, สงฆ์เท่านั้น ย่อมให้ปริวาส ย่อมชักเข้า หาอาบัติเดิม ย่อมให้มานัต ย่อมอัพภาน; เพราะเหตุนั้น อาบัตินั้น บัณฑิตเรียกว่า สังฆาทิเสส.

สองบทว่า ตสฺเสว วา อาปตฺตินิกายสฺส มีความว่า (อีกอย่างหนึ่ง กรรมเป็นชื่อสำหรับเรียก) ประชุมแห่งอาบัตินั้นนั่นเอง. ในพระบาลีนั้น อาบัตินี้ มีเพียงตัวเดียว แม้ก็จริง, ถึงอย่างนั้น นิกายศัพท์ท่านกล่าวด้วยรุฬหิศัพท์ หรือด้วยโวหารที่เรียกส่วนทั้งหลายรวมกัน อย่างขันธศัพท์ ในคำว่า เวทนาขันธ์หนึ่ง วิญญาณขันธ์หนึ่ง ดังนี้เป็นต้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกสิกขาบท ที่พระองค์ทรงอุเทศไว้ตามลำดับอย่างนั้นแล้ว บัดนี้ จึงตรัสคำว่า อชฺฌตฺตรูเป โมเจติ เป็นอาทิ เพื่อแสดงอุบาย กาล ความประสงค์และวัตถุแห่งความประสงค์ของภิกษุผู้ถึงการปล่อยสุกกะนี้.

[อธิบายบทภาชนีย์ว่าด้วยเหตุให้ปล่อยสุกกะ]

จริงอยู่ ในส่วนทั้ง ๔ มีอุบายเป็นต้นนี้ อุบายทรงแสดงแล้วด้วย ๔ บท มีอัชฌัตตรูปเป็นต้น เพราะว่า ภิกษุพึงปล่อยในรูปภายในบ้าง ในรูปภายนอกบ้าง ในรูปทั้งสองบ้าง พึงแอ่นเอวในอากาศปล่อยบ้าง. อุบายอื่นนอกจากนี้ ย่อมไม่มี.

ในอุบายนั้น ภิกษุพยายามปล่อยในรูปก็ดี พยายามปล่อยด้วยรูปก็ดี พึงทราบว่า "ปล่อยในรูปทั้งนั้น" เพราะว่าเมื่อมีรูป เธอจึงปล่อยได้, ไม่ได้รูป ปล่อยไม่ได้ ฉะนี้แล.

ส่วนกาลทรงแสดงด้วย ๕ บท มีราคะอุปถัมภ์เป็นต้น.

จริงอยู่

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 107

เมื่อความที่องคชาตใด เป็นของควรแก่การงาน มีอยู่ ภิกษุจึงปล่อยได้, องคชาตนั้นย่อมเป็นของควรแก่การงาน ในกาลที่ราคะอุปถัมภ์เป็นต้น (ในเวลามีความกำหนัดหนุนเป็นต้น) กาลอื่นนอกจากนี้ ย่อมไม่มี เพราะว่า เว้นจากกาลที่ราคะอุปถัมภ์เป็นต้นนั้นเสียแล้ว กาลต่างชนิดมีเวลาเช้าเป็นต้น จะเป็นที่กำหนดในการให้เคลื่อนหาได้ไม่.

ความประสงค์ ทรงแสดงด้วย ๑๐ บท มีบทว่า อโรคฺยตฺถาย เป็นต้น.

จริงอยู่ ภิกษุย่อมให้เคลื่อนตามชนิดแห่งความประสงค์เห็นปานนี้, หาใช่โดยประการอย่างอื่นไม่, ส่วนวัตถุแห่งความประสงค์ที่ ๙ ทรงแสดงด้วย ๑๐ บท มีนีลบทเป็นต้น.

จริงอยู่ ภิกษุเมื่อจะทดลอง ย่อมทดลองด้วยอำนาจแห่งสีเขียวเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง, สีอื่นพ้นจากสีเหล่านั้นไปย่อมไม่มี ฉะนี้แล.

ต่อนี้ไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า อชฺฌตฺตรูเปติ อชฺฌตฺตอุปาทินฺนรูเป เป็นต้น เพื่อประกาศบททั้งหลายมีอัชฌัตตรูปบทเป็นต้นเหล่านี้นั่นแล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อชฺฌตฺตอุปาทินฺนรูเป คือ ในรูปต่างชนิด มีมือเป็นต้นของตน.

บทว่า พหิทฺธาอุปาทินฺเน คือ ในรูปเช่นนั้นเหมือนกันของคนอื่น.

บทว่า อนุปาทินฺเน คือ ในรูปต่างชนิด มีช่องลูกดาลประตู เป็นต้น.

บทว่า ตทุภเย คือ ในรูปทั้งของตนและของคนอื่น.

การให้สุกกะเคลื่อนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจความพยายามในรูปทั้งสอง. การให้สุกกะเคลื่อน ย่อมมีได้ แม้ในความพยายามรวมกัน โดยรูปของตน และโดยอนุปาทินนรูป.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 108

สองบทว่า อากาเส วายมนฺตสฺส ความว่า ไม่พยายามโดยรูปอะไรๆ เลย ส่ายองคชาตโดยประโยค คือ การแอ่นเอวในอากาศอย่างเดียว.

บทว่า ราคูปตฺถมฺเภ ความว่า ในเวลาองคชาตเกิดความกำหนัด เพราะราคะมีกำลัง หรือเพราะความกำหนัด. มีอธิบายว่า เมื่อองคชาตเกิดความแข็งตัวขึ้นแล้ว.

สองบทว่า กมฺมนิยํ โหติ ความว่า องคชาตเป็นอวัยวะควรแก่การงานในอันให้เคลื่อน คือ เหมาะแก่การพยายามในอัชฌัตตรูปเป็นต้น.

บทว่า อุจฺจาลิงฺคปาณกทฏฺฐุปตฺถมฺเภ ความว่า เมื่อองคชาตถูกหนุนให้เกิดความกำหนัดเพราะบุ้งขนกัด.

ที่ชื่อว่าบุ้งขน เป็นสัตว์เล็กๆ มีขน, องคชาตอันขนของสัตว์เล็กๆ เหล่านั้นถูกต้อง ก็รู้สึกคัน แล้วแข็งตัว (?) ในบาลีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "เพราะถูกบุ้งกัด" (ก็) เพราะขนเหล่านั้น ย่อมสำเร็จเหมือนกัดองคชาต. แต่โดยใจความ มีอธิบายว่า เพราะถูกขนของบุ้งขนแทงเอา.

คำว่า อโรโค ภวิสฺสามิ ความว่า เราให้สุกกะเคลื่อนแล้วจักเป็นผู้หายโรค.

คำว่า สุขเวทนํ อุปฺปาเทสฺสามิ ความว่า สุขเวทนาอันใดย่อมมีเพราะการให้เคลื่อน คือ เพราะเกิดการปล่อย และเพราะสุกกะเคลื่อน แล้วเป็นปัจจัย, เราจักยังสุขเวทนานั้น ให้เกิดขึ้น.

คำว่า เภสชฺชํ ภวิสฺสติ ความว่า สุกกะที่เราให้เคลื่อนแล้วนี้ จักเป็นยาบางชนิดทีเดียว.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 109

คำว่า ทานํ ทสฺสามิ ความว่า เราทำให้เคลื่อนแล้ว จักให้ทานแก่สัตว์เล็กๆ มีแมลงและมดเป็นต้น.

คำว่า ปุญฺํ ภวิสฺสติ ความว่า เมื่อเราปล่อยให้เป็นทานแก่แมลงเป็นต้น จักเป็นบุญ.

คำว่า ยญฺํ ยชิสฺสามิ ความว่า เราทำให้เคลื่อนแล้ว จักบูชายัญแก่พวกแมลงเป็นต้น, มีอธิบายว่า เราจักกล่าวบทมนต์อะไรบางอย่างแล้วให้.

คำว่า สคฺคํ คมิสฺสามิ ความว่า เราจักไปสวรรค์ด้วยการที่ปล่อยให้ทานแก่พวกแมลงเป็นต้น ด้วยบุญ หรือด้วยยัญวิธี.

คำว่า วีชํ ภวิสฺสติ ความว่า จักเป็นพืชเพื่อทารกผู้เป็นหน่อแห่งวงศ์สกุล. อธิบายว่า ย่อมปล่อยโดยประสงค์นี้ว่า บุตรจักเกิดด้วยพืชของเรานี้.

บทว่า วีมํสตฺถาย คือ เพื่อต้องการรู้.

ในคำว่า นีลํ ภวิสฺสติ เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบใจความอย่างนี้ว่า เราจักรู้ก่อนว่า สุกกะที่เราปล่อยแล้ว จักเป็นสีเขียว หรือสีอย่างใดอย่างหนึ่ง มีสีเหลืองเป็นต้น.

บทว่า ขิฑฺฑาธิปฺปาโย คือ ขวนขวายในการเล่น. มีคำอธิบายว่า ภิกษุย่อมปล่อยเล่นโดยความประสงค์นั้นๆ.

[อธิบายสุทธิกสังฆาทิเสส]

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงอาการที่ภิกษุให้สุกกะเคลื่อน ต้องอาบัติและจำนวนชนิดอาบัติ ด้วยอำนาจแห่งบทเหล่านั้น

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 110

ทั้งหมด ในพระดำรัสที่ตรัสไว้ว่า อชฺฌตฺตรูเป โมเจติ เป็นต้น จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ภิกษุจงใจ คือ พยายามในรูปภายใน, สุกกะเคลื่อน ต้องสังฆาทิเสส ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เจเตติ ความว่า ย่อมจงใจว่า สุกกะจงเคลื่อน ด้วยเจตนาที่ถึงความยินดีในการให้เคลื่อน.

บทว่า อุปกฺกมติ ความว่า ย่อมกระทำความพยายามอันสมควรแก่ความจงใจนั้น.

บทว่า มุจฺจติ ความว่า เมื่อภิกษุจงใจอยู่อย่างนั้น พยายามด้วยความพยายามอันสมควรแก่ความจงใจนั้น สุกกะย่อมเคลื่อนจากฐาน.

คำว่า อาปตฺติ สงฺฆาทิเสสสฺส ความว่า ย่อมเป็นอาบัติชื่อสังฆาทิเสส แก่ภิกษุนั้น ด้วยองค์ ๓ เหล่านี้.

แม้ใน ๒๘ บทที่เหลือมีบทว่า พหิทฺธารูเป เป็นต้น ก็นัยนี้.

ก็ในปัญจกะทั้ง ๔ นี้ บัณฑิตพึงนำอาบัติสองพันตัวออกแสดง.

แสดงอย่างไร? คือ เมื่อภิกษุปล่อยสุกกะสีเขียวเพื่อประสงค์ความไม่มีโรค ในเวลาเกิดความกำหนัดในรูปภายในก่อน ย่อมเป็นอาบัติตัวเดียว, เป็นอาบัติอีก ๙ ตัว ด้วยอำนาจปล่อยสุกกะสีเหลืองเป็นต้นในรูปภายในนั่นแล เพื่อประสงค์ความไม่มีโรค ในเวลามีความกำหนัด; ฉะนั้น จึงรวมเป็นอาบัติ ๑๐ ตัว.

เหมือนอย่างว่า เพื่อประสงค์ความไม่มีโรค มีอาบัติ ๑๐ ตัว ฉันใด, เพื่อประสงค์ ๙ บท มีสุขบทเป็นต้น ก็มีอาบัติ ๑๐ ตัว เพราะแบ่งออกไปแต่ละบทเป็นบทละ ๑๐ ตัวๆ ฉันนั้น. อาบัติ ๙๐ ตัวเหล่านี้ และอาบัติ ๑๐ ตัวก่อน ด้วยประการอย่างนี้; ฉะนั้น จึงเป็นอาบัติ ๑๐๐ ตัว ในเวลาเกิดความกำหนัดก่อน.

เหมือนอย่างว่า ในเวลา

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 111

เกิดความกำหนัด มีอาบัติ ๑๐๐ ตัว ฉันใด, แม้ในเหตุหนุน ๔ อย่าง มีปวดอุจจาระเป็นต้น ก็มีอาบัติ ๔๐๐ ตัว เพราะแบ่งเหตุหนุนแต่ละอย่างออกไปเป็นอย่างละ ๑๐๐ ตัวๆ ฉันนั้น. อาบัติ ๔๐๐ ตัวเหล่านี้ และอาบัติ ๑๐๐ ตัวก่อนดังกล่าวมานี้ จึงเป็นอาบัติ ๕๐๐ ตัว ด้วยอำนาจแห่งเหตุหนุน ๕ อย่าง ในรูปภายในก่อน.

เหมือนอย่างว่า ในรูปภายในมีอาบัติ ๕๐๐ ตัว ฉันใด, ในรูปภายนอกมีอาบัติ ๕๐๐ ตัว ในรูปทั้งที่เป็นภายในทั้งที่เป็นภายนอก มีอาบัติ ๕๐๐ ตัว, เมื่อภิกษุแอ่นสะเอวในอากาศ มีอาบัติ ๕๐๐ ตัว ฉันนั้น, บัณฑิตพึงทราบ อาบัติทั้งหมด ๒,๐๐๐ ตัว ด้วยอำนาจปัญจกะทั้ง ๔ ด้วยประการฉะนี้.

[อธิบายขัณฑจักรและพัทธจักรเป็นต้น]

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระบาลีมีความวิจิตรไปด้วยชนิดแห่งขัณฑจักรและพัทธจักรเป็นต้นว่า เพื่อความหายโรคและเพื่อความสุข ดังนี้ ก็เพื่อแสดงว่า เมื่อมีการปล่อยสุกกะให้เคลื่อนด้วยความพยายามโดยความจงใจ ของภิกษุผู้จับ (องคชาต) ตามลำดับ หรือผิดลำดับ หรือเบื้องต่ำใน ๑๐ บท มีบทว่า อาโรคฺยตฺถาย เป็นต้นก่อน แล้วจับเบื้องบนก็ดี จับเบื้องบนแล้วจับเบื้องต่ำก็ดี จับทั้งสองข้างแล้วหยุดอยู่ที่ตรงกลางก็ดี จับที่ตรงกลางแล้วขยับไปทั้งสองข้างก็ดี จับให้มีมูลรวมกันทั้งหมดก็ดี ชื่อว่าความผิดที่หมาย ย่อมไม่มี.

ในพระบาลีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสขัณฑจักรอันหนึ่ง ประกอบอาโรคยบท ด้วยทุกๆ บท อย่างนี้ว่า เพื่อความหายโรคและเพื่อ

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 112

ความสุข เพื่อความหายโรคและเพื่อเภสัช ดังนี้เป็นต้น ทรงประกอบสุขบทเป็นต้นด้วยทุกๆ บท นำมาจนถึงบทเป็นลำดับที่ล่วงไปแห่งตนๆ แล้วตรัส ๙ พัทธจักร, ด้วยประการดังกล่าวมานี้ จึงเป็นจักรมีมูลเดียวกัน ๑๐ จักร. จักรเหล่านั้นกับด้วยจักรมีมูลสองเป็นต้น อันผู้ศึกษาพึงทราบให้พิสดาร โดยความไม่งมงาย.

ส่วนใจความในเอกมูลกจักรแม้นี้ ปรากฏชัดแล้วแล. และตรัสจักรทั้งหลาย แม้ในสุกกะสีเขียวเป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุจงใจพยายามปล่อยสุกกะสีเขียวและสีเหลืองดังนี้ เหมือนใน ๑๐ บท มีบทว่า เพื่อความหายโรคเป็นต้น ฉะนั้น.

แม้จักรเหล่านั้น ก็ควรทราบให้พิศดารโดยความไม่งมงาย.

ส่วนใจความแม้ในจักรทั้งหลายเหล่านี้ ก็ปรากฏชัดแล้วเหมือนกัน. ตรัสมิสสกจักรอันหนึ่งอีกประกอบบทหลังกับบทหน้าอย่างนี้ คือ บทหนึ่งกับบทหนึ่ง สองบทกับสองบท ฯลฯ สิบบทกับสิบบทว่า อาโรคฺยตฺถญฺจ นีลญฺจ อาโรคฺยตฺถญฺจ สุขตฺถญฺจ นีลญฺจ ปีตกญฺจ ดังนี้ เป็นต้น.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสจักรโดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุจงใจพยายามว่า "เราจักปล่อยสุกกะสีเขียว" แต่สุกกะสีเหลืองเคลื่อน ดังนี้ เพื่อแสดงนัยแม้นี้ เพราะเมื่อภิกษุจงใจพยายามว่า "จักปล่อยสุกกะสีเขียว" ครั้นสุกกะสีเขียวเป็นต้นเคลื่อนก็ดี จงใจพยายามด้วยอำนาจแห่งสุกกะสีเหลืองเป็นต้น ครั้นสุกกะสีเหลืองเป็นต้นนอกนี้ เคลื่อนก็ดี ไม่มีความผิดสังเกตเลย.

ต่อจากนั้น ทรงประกอบบทหลังทั้งหมดด้วย ๙ บท มีนีลบทเป็นต้น แล้วตรัสให้ชื่อว่า กุจฉิจักร. ต่อจากนั้น ทรงประกอบ ๙ บท มีปีตกบทเป็นต้น เข้าด้วยนีลบทเพียงบทเดียว แล้วตรัสให้ชื่อว่า ปิฏฐิจักร. ต่อจากนั้น ทรงประกอบ ๙ บทมีโลหิตกะเป็นต้น เข้าด้วย

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 113

ปีตกบทเดียวเท่านั้น แล้วตรัสทุติยปิฏฐิจักร. ทรงประกอบ ๙ บทๆ นอกนี้ แม้กับด้วยโลหิตกบทเป็นต้นอย่างนั้น แล้วตรัส ๘ จักรแม้เหล่าอื่น; เพราะฉะนั้น พึงทราบปิฏฐิจักรมีคติ ๑๐ อย่าง ด้วยประการฉะนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงครุกาบัติอย่างเดียว โดยพิสดารด้วยอำนาจแห่งจักรมิใช่น้อย มีขัณฑจักรเป็นต้นอย่างนี้แล้ว เพื่อจะทรงแสดงครุกาบัติ ลหุกาบัติ และอนาบัติ ด้วยอำนาจแห่งองค์เท่านั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ย่อมจงใจ ย่อมพยายาม, สุกกะเคลื่อน ดังนี้.

บรรดานัยเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสครุกาบัติถึงพร้อมด้วยองค์ ๓ ในเพราะพยายามปล่อยอสุจิแห่งภิกษุผู้จงใจ เพื่อต้องการความหายโรคเป็นต้น ในเวลาเกิดมีความกำหนัดเป็นต้น ในอัชฌัตตรูปเป็นต้น แม้โดยนัยก่อนนั่นแล. ตรัสลหุกาบัติ คือ อาบัติถุลลัจจัย สำเร็จด้วยองก์ ๒ ในเมื่อไม่มีการปล่อยแห่งภิกษุผู้จงใจและพยายามโดยนัยที่สอง. ตรัสอนาบัติโดย ๖ นัย มีนัยว่า จงใจไม่พยายาม อสุจิเคลื่อน ดังนี้เป็นต้น.

ก็ความต่างแห่งอาบัติและอนาบัตินี้ ละเอียด สุขุม; เพราะฉะนั้น พระวินัยธรควรกำหนดหมายให้ดี ครั้นกำหนดให้ดีแล้ว ถูกซักถามถึงความรังเกียจ พึงบอกอาบัติ หรืออนาบัติ หรือพึงกระทำวินัยกรรม.

จริงอยู่ พระวินัยธรเมื่อกำหนดไม่ได้ ทำลงไป ย่อมถึงความลำบาก และไม่สามารถจะแก้ไขซึ่งบุคคลเช่นนั้นได้ ดุจหมอผู้ไม่รู้ต้นเหตุแห่งโรคแล้วปรุงยาฉะนั้น.

วิธีกำหนดในอธิการว่าด้วยความต่างแห่งอาบัติ และอนาบัตินั้น ดังต่อไปนี้:-

ภิกษุผู้มาเพราะความรังเกียจ อันพระวินัยธรพึงถามจนถึง ๓ ครั้งว่า ท่านต้องด้วยประโยคไหน ด้วยความกำหนัดไหน. ถ้า

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 114

ครั้งแรกเธอกล่าวอย่างหนึ่ง แล้วภายหลังกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ไม่กล่าวโดยทางเดียว, พึงกล่าวเตือนเธอว่า ท่านไม่พูดทางเดียวพูดเลี่ยงไป, เราไม่อาจเพื่อจะทำวินัยกรรมแก่ท่านได้, ท่านจงไปแสวงหาความสวัสดีเถิด.

ก็ถ้าเธอกล่าวยืนยันโดยทางเดียวเท่านั้นถึง ๓ ครั้ง, กระทำตนให้แจ้งตามความเป็นจริง, ลำดับนั้น พระวินัยธรพึงพิจารณาประโยค ๑๑ ด้วยอำนาจแห่งราคะ ๑๑ อย่าง เพื่อวินิจฉัย อาบัติ อนาบัติ ครุกาบัติและลหุกาบัติของเธอ.

[อธิบายราคะและประโยค ๑๑ อย่าง]

บรรดาราคะและประโยค ๑๑ นั้น ราคะ ๑๑ เหล่านี้ คือ ความยินดีเพื่อจะให้เคลื่อน ๑ ความยินดีในขณะเคลื่อน ๑ ความยินดีในเมื่ออสุจิเคลื่อนแล้ว ๑ ความยินดีในเมถุน ๑ ความยินดีในผัสสะ ๑ ความยินดีในความคัน ๑ ความยินดีในการดู ๑ ความยินดีในกิริยานั่ง ๑ ความยินดีในคำพูด ๑ ความรักอาศัยเรือน ๑ ความยินดีด้วยกิ่งไม้ที่พึงหักได้ ๑.

ในราคะ ๑๑ อย่างนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-

ความยินดีเพื่อจะให้สุกกะเคลื่อน ชื่อว่า โมจนัสสาทะ. ความยินดีในขณะอสุจิเคลื่อน ชื่อว่า มุจจนัสสาทะ. ความยินดีในเมื่ออสุจิเคลื่อนแล้ว ชื่อว่า มุตตัสสาทะ. ความยินดีในเมถุน ชื่อว่า เมถุนัสสาทะ. ความยินดีในผัสสะ ชื่อว่า ผัสสัสสาทะ. ความยินดีในความคัน ชื่อว่า กัณฑวนัสสาทะ. ความยินดีในการดู ชื่อว่า ทัสสนัสสาทะ. ความยินดีในกิริยานั่ง ชื่อว่า นิสสัชชัสสาทะ. ความยินดีในถ้อยคำ ชื่อว่า วาจัสสาทะ. ความรักอาศัยเรือน

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 115

ชื่อว่า เคหสิตเปมะ. รุกขาวัยวะอย่างใดอย่างหนึ่ง มีดอกไม้และผลไม้เป็นต้นที่เขาหักเอามาจากป่า ชื่อว่า วนภังคิยะ (ของขวัญ).

ก็บรรดาบททั้ง ๑๑ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสราคะ โดยยกความยินดีที่สัมปยุตเป็นประธานด้วย ๙ บท ตรัสโดยสรูปด้วยบทเดียว, ตรัสโดยวัตถุด้วยบทเดียว.

จริงอยู่ วนภังคะ เป็นที่ตั้งแห่งราคะ, ไม่ใช่เป็นตัวราคะทีเดียว. แต่ประโยค (ในการปล่อย) พระวินัยธรพึงทราบด้วยอำนาจแห่งราคะเหล่านี้ โดยนัยดังจะกล่าวต่อไปนี้:-

ในความยินดีเพื่อจะให้สุกกะเคลื่อน พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-

เมื่อภิกษุจงใจและยินดีอยู่ด้วยโมจนัสสาทเจตนา พยายาม, อสุจิเคลื่อน เป็นสังฆาทิเสส, เมื่อภิกษุจงใจและยินดีอยู่ด้วยเจตนาอย่างนั้นเหมือนกัน พยายาม, แต่อสุจิไม่เคลื่อน เป็นถุลลัจจัย, ถ้าว่าในเวลานอน ภิกษุเป็นผู้กลัดกลุ้มด้วยราคะ เอาขาอ่อน หรือกำมือบีบองคชาตให้แน่นแล้ว หลับไปทั้งที่ยังมีความอุตสาหะ เพื่อต้องการจะปล่อย ก็เมื่อภิกษุนั้นหลับอยู่ อสุจิเคลื่อน, เป็นสังฆาทิเสส, ถ้าหากว่า เธอยังความกลัดกลุ้มด้วยราคะให้สงบโดยมนสิการอสุภะ มีใจบริสุทธิ์หลับไป, แต่เมื่ออสุจิเคลื่อนขณะเธอหลับ ก็เป็นอนาบัติ.

ในความยินดีขณะเคลื่อน พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-

ภิกษุยินดีอสุจิที่กำลังเคลื่อนโดยธรรมดาของมัน ไม่พยายาม, อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. ก็ถ้าหากว่า เธอยินดีอสุจิที่กำลังจะเคลื่อนย่อมพยายาม, เมื่ออสุจิเคลื่อนแล้วด้วยความพยายามนั้น เป็นสังฆาทิเสส.

ในมหาปัจจรีกล่าวว่า เมื่ออสุจิเคลื่อนโดยธรรมดาของมัน เธอจับองคชาตไว้ด้วยคิดว่า "อย่าเปื้อนผ้ากาสาวะ หรือ เสนาสนะ" ไปสู่ที่มีน้ำ เพื่อทำความสะอาด ย่อมควร.

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 116

ในความยินดีเมื่ออสุจิเคลื่อนแล้ว พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-

เมื่ออสุจิเคลื่อน คือ เคลื่อนจากฐานโดยธรรมดาของมันแล้ว เมื่อภิกษุยินดีภายหลัง อสุจิเคลื่อนเว้นจากความพยายาม เป็นอนาบัติ. ถ้าเธอยินดีพยายามที่นิมิตเพื่อต้องการให้เคลื่อนอีก แล้วให้เคลื่อน, เป็นสังฆาทิเสส.

ในความยินดีในเมถุน พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-

ภิกษุจับมาตุคามด้วยความกำหนัดในเมถุน อสุจิเคลื่อนเพราะประโยคนั้น เป็นอนาบัติ แต่การจับต้อง (มาตุคาม) เช่นนั้น เป็นทุกกฏ เพราะเป็นประโยคแห่งเมถุนธรรม เมื่อถึงที่สุด เป็นปาราชิก.

ถ้าหากภิกษุกำหนัดด้วยความกำหนัดในเมถุน กลับยินดี พยายามที่นิมิต เพื่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย, เป็นสังฆาทิเสส.

พึงทราบวินิจฉัยในความยินดีในผัสสะ ดังต่อไปนี้:-

ผัสสะมี ๒ อย่าง ผัสสะที่เป็นภายใน ๑ ผัสสะที่เป็นภายนอก ๑.

พึงทราบวินิจฉัยในผัสสะที่เป็นภายในก่อน:-

เมื่อภิกษุเล่นนิมิตของตนโดยคิดว่า เรารู้จักว่า ตึง หรือ หย่อนก็ดี โดยความซุกซนก็ดี อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. ถ้าเธอเล่นอยู่ยินดี พยายามที่นิมิต เพื่อประสงค์จะปล่อย แล้วปล่อย, เป็นสังฆาทิเสส.

ส่วนในผัสสะภายนอก พึงทราบวินิจฉัยดังนี้:-

เมื่อภิกษุลูบคลำอวัยวะน้อยใหญ่ของมาตุคาม และสวมกอดด้วยความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่เธอต้องกายสังสัคคสังฆาทิเสส. ถ้าว่าภิกษุกำหนัดด้วยความกำหนัดในการเคล้าคลึงกายกลับยินดี พยายามในนิมิตเพื่อต้องการปล่อย แล้วปล่อย, เป็นสังฆาทิเสส แม้เพราะการปล่อยสุกกะเป็นปัจจัย.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 117

พึงทราบวินิจฉัยความยินดีในความคัน ดังนี้:-

เมื่อภิกษุเกานิมิตที่กำลังคัน ด้วยอำนาจแห่งหิตด้านและหิดเปื่อย ผื่นคัน และสัตว์เล็กเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยความยินดีในความคันเท่านั้น อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. ภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในความคัน กลับยินดีพยายามในนิมิต เพี่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.

พึงทราบวินิจฉัยความยินดีในการดู ดังนี้:-

ภิกษุเพ่งดูโอกาสอันไม่สมควร (กำเนิด) ของมาตุคามบ่อยๆ ด้วยอำนาจความยินดีในการดู อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่เป็นทุกกฏเพราะเพ่งดูที่ไม่ใช่โอกาสอันสมควรแห่งมาตุคาม. ถ้าภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในการดู กลับยินดีพยายามในนิมิต เพี่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.

พึงทราบวินิจฉัยความยินดีในการนั่ง ดังนี้:-

เมื่อภิกษุนั่งด้วยความกำหนัดยินดีการนั่งในที่ลับกับมาตุคาม อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่พระวินัยธร พึงปรับเธอด้วยอาบัติที่ต้องเพราะการนั่งในที่ลับเป็นปัจจัย. ถ้าภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในการนั่ง แล้วกลับยินดี พยายามที่นิมิตเพี่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย, เป็นสังฆาทิเสส.

พึงทราบวินิจฉันในความยินดีในคำพูด ดังนี้:-

ภิกษุพูดเกี้ยวมาตุคาม ด้วยคำพูดพาดพิงเมถุนด้วยความกำหนัดยินดีในถ้อยคำ อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่เธอต้องสังฆาทิเสส เพราะวาจาชั่วหยาบ. ถ้าภิกษุกำหนัดด้วยความยินดีในถ้อยคำแล้ว กลับยินดี พยายามที่นิมิต เพื่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.

พึงทราบวินิจฉัยในความรักอาศัยเรือน ดังนี้:-

เมื่อภิกษุลูบคลำและสวมกอดบ่อยๆ ซึ่งมารดาด้วยความรักฐานมารดาก็ดี ซึ่งพี่สาว น้อง

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 118

สาวด้วยความรักฉันพี่สาวน้องสาวก็ดี อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. แต่เป็นทุกกฏ เพราะถูกต้องด้วยความรักอาศัยเรือนเป็นปัจจัย. ถ้าหากว่า ภิกษุกำหนัดด้วยความรักอาศัยเรือนแล้วกลับยินดี พยายามที่นิมิตเพื่อต้องการจะปล่อย แล้วปล่อย เป็นสังฆาทิเสส.

พึงทราบวินิจฉัยในวนภังคะ (ของขวัญ) ดังนี้:-

หญิงกับชายย่อมส่งบรรณาการ (ของขวัญ) มีชนิด คือ หมากพลู ของหอมดอกไม้ และเครื่องอบกลิ่นเป็นต้นไรๆ ไปให้กันและกัน เพื่อต้องการความมีสันถวไมตรีที่มั่นคง นี้ชื่อว่า วนภังคะ. ถ้า มาตุคามส่งของขวัญเช่นนั้น ไปให้แก่ภิกษุผู้เข้าสู่ตระกูล ผู้อยู่ใกล้ชิดกันบางรูป, และเมื่อเธอกำหนัดหนักว่า ของนี้หญิงชื่อโน้นส่งมาให้ ดังนี้แล้ว เอามือลูบคลำของขวัญเล่นบ่อยๆ อสุจิเคลื่อน เป็นอนาบัติ. ถ้าว่า ภิกษุกำหนัดหนักในวนภังคะแล้วกลับยินดี พยายามที่นิมิตเพื่อประสงค์จะปล่อย แล้วปล่อย, เป็นสังฆาทิเสส. ถ้าแม้ เมื่อภิกษุพยายาม แต่อสุจิไม่เคลื่อน เป็นถุลลัจจัย.

พระวินัยธรพึงพิจารณาประโยค ๑๑ เหล่านี้ ด้วยอำนาจแห่งราคะ ๑๑ เหล่านี้แล้ว กำหนดอาบัติ หรืออนาบัติ ด้วยประการอย่างนี้ ครั้นกำหนดดีแล้ว ถ้าเป็นครุกาบัติ พึงบอกว่า "เป็นครุกาบัติ" ถ้าเป็นลหุกาบัติ พึงบอกว่า "เป็นลหุกาบัติ" และพึงกระทำวินัยกรรมให้สมควรแก่อาบัติเหล่านั้นๆ.

จริงอยู่ วินัยกรรมที่ทำแล้วอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นกรรมที่ทำดีแล้ว ดุจหมอรู้สมุฏฐานแห่งโรคแล้วปรุงยาฉะนั้น และย่อมเป็นไปเพื่อความสวัสดีแก่บุคคลผู้นั้น.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เจเตติ น อุปกฺกมติ เป็นต้น ดังนี้:-

ภิกษุจงใจด้วยเจตนายินดีที่จะปล่อย แต่ไม่พยายาม อสุจิเคลื่อน ไม่เป็น

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 119

อาบัติ. ภิกษุถูกความยินดีในการปล่อยบีบคั้นแล้ว จงใจว่า "ไฉนหนอ! อสุจิจะพึงเคลื่อน" แต่ไม่พยายาม, อสุจิไม่เคลื่อน ไม่เป็นอาบัติ.

ภิกษุไม่จงใจด้วยความยินดีในการปล่อย พยายามด้วยความยินดีในผัสสะก็ดี ด้วยความยินดีในการคันก็ดี อสุจิเคลื่อน ไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุไม่จงใจอย่างนั้นเหมือนกัน แต่พยายาม อสุจิไม่เคลื่อน ไม่เป็นอาบัติ.

ภิกษุเมื่อตรึกถึงกามวิตก ไม่จงใจ ไม่พยายาม เพื่อต้องการปล่อย แต่อสุจิเคลื่อน, ไม่เป็นอาบัติ. ถ้าแม้เมื่อภิกษุนั้นตรึกถึงกามวิตกอยู่ อสุจิไม่เคลื่อน. คำนี้ เป็นคำที่ชักมาอ้างในอรรถกถาโบราณว่า ภิกษุไม่จงใจ ไม่พยายาม อสุจิไม่เคลื่อน ไม่เป็นอาบัติ ดังนี้.

คำว่า อนาปคฺติ สุปินนฺเตน ความว่า เมื่อภิกษุหลับแล้ว ฝันเหมือนว่าเสพเมถุนธรรมก็ดี ฝันเหมือนว่าถึงความเคล้าคลึงกาย (มาตุคาม) เป็นต้นก็ดี ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีอสุจิเคลื่อนเพราะเหตุในความฝันนั้นเลย. แต่เมื่อเจตนายินดีบังเกิดในความฝัน ถ้าหากเป็นวิสัยของเธอ, (๑) อย่าพึงเคลื่อนไหว ไม่พึงเอามือจับนิมิตเล่น แต่เพื่อจะรักษาผ้ากาสาวะและผ้าปูที่นอน จะเอาอุ้งมือจับ ไปสู่ที่มีน้ำ เพื่อทำความสะอาค ควรอยู่.

บทว่า นโมจนาธิปฺปายสฺส มีความว่า เมื่อภิกษุใด พอกนิมิตด้วยเภสัชก็ดี กระทำการถ่ายอุจจาระเป็นต้นก็ดี ไม่มีความประสงค์ในการให้เคลื่อน อสุจิเคลื่อน, ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุนั้น. ไม่เป็นอาบัติ แม้แก่ภิกษุบ้าทั้งสองจำพวก.

ในสิกขาบทนี้ พระเสยยสกะเป็นต้นบัญญัติ. ไม่เป็นอาบัติ แก่พระเสยยสกะผู้เป็นต้นบัญญัตินั้น ฉะนี้แล.

บทภาชนียวรรณนา จบ


(๑) โยชนาปาฐะ ๑/๔๓๔. สจสฺสาสโยติ สเจ อสฺส ภิกฺขุสฺส อวิสโย.

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 120

พึงทราบวินิจฉัยในสมุฏฐานเป็นต้น ดังนี้:-

สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิกสิกขาบท ย่อมตั้งขึ้นทางกายกับจิตเป็นกิริยา เป็นสัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒ โดยเป็นสุขเวทนาและอุเบกขาเวทนาทั้งสองแล.

วินีตวัตถุในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑

บรรดาวินีตวัตถุทั้งหลาย เรื่องความฝันมีนัยดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ในอนุบัญญัตินั่นแล. เรื่องถ่ายอุจจาระปัสสาวะหลายเรื่อง มีเนื้อความชัดเจนทั้งนั้น.

ในเรื่องวิตก บทว่า กามวิตกฺกํ ได้แก่ ความตรึกถึงกามที่อาศัยเรือน.

ในเรื่องกามวิตกนั้น ตรัสอนาบัติไว้แม้โดยแท้, ถึงกระนั้น ภิกษุไม่ควรตกอยู่ในอำนาจแห่งวิตก. เรื่องน้ำร้อนเรื่องแรกง่ายแล. ในเรื่องที่ ๒ ภิกษุนั้นใคร่เพื่อจะปล่อย เอาน้ำร้อนสาดแล้วสาดอีกซึ่งนิมิต แล้วอาบน้ำ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงปรับอาบัติแก่เธอ. ในเรื่องที่ ๓ เป็นถุลลัจจัยเพราะมีความพยายาม. เรื่องยาและเรื่องเกา มีเนื้อความกระจ่างทั้งนั้นแล.

พึงทราบวินิจฉัยในมัคควัตถุหลายเรื่อง ดังนี้:-

เมื่อภิกษุรูปแรกมีขาล่ำกำลังเดินทาง อสุจิได้เคลื่อน เพราะความเสียดสีในที่แคบ ไม่เป็นอาบัติแก่เธอ เพราะไม่มีความประสงค์ในการให้เคลื่อน. สำหรับรูปที่สอง อสุจิได้เคลื่อนอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เป็นสังฆาทิเสส เพราะมี

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 121

ความประสงค์ในการให้เคลื่อน. รูปที่สาม อสุจิไม่เคลื่อน แต่เป็นถุลลัจจัย เพราะมีความพยายาม. เพราะเหตุนั้น ภิกษุกำลังเดินทาง เมื่อความกลัดกลุ้มเกิดขึ้น ไม่ควรเดินทาง พึงหยุดเดิน ยังจิตให้สงบ โดยมนสิการในอสุภเป็นต้น กำหนดกรรมฐานด้วยจิตบริสุทธิ์ แล้วจึงเดินต่อไป ถ้าหยุดยืนแล้วไม่อาจบรรเทาได้ พึงแวะออกจากหนทาง นั่งบรรเทาแล้วเดินกำหนดกรรมฐานด้วยจิตบริสุทธิ์นั่นแล.

ในเรื่องฝักหัวไส้หลายเรื่อง พวกภิกษุเหล่านั้น จับหัวไส้ (๑) ให้แน่น ปล่อย (เบา) ให้เต็มแล้วๆ ถ่ายปัสสาวะ เหมือนพวกเด็กชาวบ้าน.

ในเรื่องเรือนไฟ เมื่อภิกษุอังท้องอยู่ มีความประสงค์จะให้เคลื่อนก็ดี ไม่ประสงค์จะให้เคลื่อนก็ดี เมื่ออสุจิเคลื่อนแล้ว เป็นอนาบัติเหมือนกัน. เมื่อกระทำบริกรรมอยู่ อสุจิเคลื่อนด้วยอำนาจแห่งการยังนิมิตให้เคลื่อนไหว เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงปรับอาบัติในฐานะแห่งอาบัติ.

ในเรื่องเสียดสีด้วยขาหลายเรื่อง ท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีอรรถกถาอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับอาบัติแก่ภิกษุเหล่าใด, ภิกษุเหล่านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เสียดสีอยู่โดยรอบองคชาต ให้ถูกต้ององคชาตนั้นแล้ว. เรื่องสามเณรเป็นต้น มีเนื้อความกระจ่างทั้งนั้น.

ในเรื่องดัดกาย คำว่า กายํ ถมฺเภนฺตสฺส มีความว่า เมื่อภิกษุนั่งนานหรือนอนนานก็ดี กระทำนวกรรมก็ดี แล้วดัดกายเพื่อแก้ความเมื่อยขบ.


(๑) สารัตถทีปนี ๒/๒๖. วตฺถิํ ทฬฺหํ คเหตฺวาติ องฺคชาตสฺส อคฺเค ปสฺสาวนิคฺคมน าเน จมฺมํ ทฬฺหํ คเหตฺวา แปลว่า ข้อว่า จับหัวไส้ให้แน่นนั้น ได้แก่ จับที่ปลายองคชาต คือ หนังใน ที่ซึ่งปัสสาวะไหลออกให้แน่น.

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 122

พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องเพ่งดู ดังนี้:-

แม้ถ้าว่า หญิงนั้นนุ่งผ้าตั้งร้อยชั้น ภิกษุยืนข้างหน้าก็ตาม ข้างหลังก็ตาม เพ่งดูว่า "นิมิตอยู่ในโอกาสชื่อนี้" เป็นทุกกฏแท้.

ก็เมื่อเพ่งดูนิมิตแห่งพวกเด็กหญิงชาวบ้านผู้ไม่นุ่งผ้า จะต้องกล่าวอะไรเล่า? ในนิมิตแม้แห่งสัตว์เดียรัจฉาน ก็มีนัยเหมือนกันนี้. แต่เมื่อภิกษุไม่เหลียวไปข้างโน้นข้างนี้ เพ่งดูโดยประโยคเดียว แม้ตลอดทั้งวัน ก็เป็นทุกกฏตัวเดียวเท่านั้น. เมื่อเหลียวดูทางโน้นและทางนี้ เพ่งดูแล้วๆ เล่าๆ เป็นทุกกฏทุกๆ ประโยค.

พระวินัยธร ไม่พึงปรับด้วยอำนาจแห่งการลืมตาและหลับตา (กะพริบตา). เมื่อเพ่งดูโดยบังเอิญ กลับพิจารณาแล้วตั้งอยู่ในสังวรอีก เป็นอนาบัติ. เมื่อละสังวรนั้นแล้ว เพ่งดูอีก เป็นทุกกฏทีเดียว. เรื่องช่องลูกดาลเป็นต้น มีเนื้อความกระจ่างทั้งนั้น.

ในเรื่องอาบน้ำหลายเรื่อง พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับอาบัติแก่พวกภิกษุผู้เอานิมิตฟาดกระแสน้ำ. แม้เรื่องน้ำโคลนหลายเรื่อง ก็มีนัยเหมือนกันนี้.

ก็ในเรื่องน้ำโคลนนี้ น้ำโคลนท่านเรียกว่า อุทัญชละ. เรื่องอื่นๆ นอกนี้ทั้งหมดมีเรื่องวิ่งในน้ำเป็นต้น บัณฑิตพึงทราบโดยอุบายนี้เหมือนกัน.

ส่วนความแปลกกัน ในเรื่องบุปผาวลีย์ดังต่อไปนี้:-

ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่มีความประสงค์ในอันให้เคลื่อน. แต่กระนั้นก็เป็นทุกกฏ เพราะการเล่นเป็นปัจจัย ดังนี้แล.

สุกกวิสัฏฐิสิกขาบทวรรณนา ในอรรถกถาพระวินัย

ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ