ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๔

 
khampan.a
วันที่  23 ม.ค. 2565
หมายเลข  41961
อ่าน  883

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๔
* *





~ ถ้าเรานับถือพระพุทธศาสนา หน้าที่ ก็คือ ต้องศึกษาพระธรรม คือ พระพุทธศาสนาที่เรานับถือให้เข้าใจถูกต้อง ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่ได้ไปติเตียนว่าร้ายศาสนาอื่น เพราะแล้วแต่อัธยาศัยว่าใครจะมีความคิดความเชื่ออย่างไร แต่ว่าในเมื่อเป็นผู้ที่ได้กล่าวว่าเรานับถือพระพุทธศาสนา ก็ต้องศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ถ้าเข้าใจพระพุทธศาสนาจริงๆ ไม่มีทางที่คนที่เข้าใจพระพุทธศาสนาแล้วจะเป็นคนไม่ดี

~ พระพุทธศาสนา สอนให้คนรู้จักความจริงถึงที่สุด สิ่งใดที่ถูก ก็ถูก สิ่งใดที่ดีก็ดี สิ่งใดที่เลวก็เลว ไม่ปะปนกัน เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจในโทษของความไม่ดี มีหรือที่คนที่รู้ความจริงแล้วจะทำชั่ว

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเรียกร้องให้ใครไปทำความดีกับพระองค์หรือเปล่า หรือว่า ทั้งหมดด้วยพระมหากรุณา เพื่อเขาเท่านั้น เพื่อทุกคนที่จะได้รู้ความจริง เพื่อทุกคนจะได้เป็นคนดีขึ้น เพื่อทุกคนจะได้ไม่มีความชั่วร้ายที่สะสมมามากมายมหาศาล

~ ถ้าได้พิจารณาตัวเองอย่างละเอียด และเห็นอกุศลธรรม เห็นกิเลสของตนเอง จะเป็นประโยชน์ ทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท และจะไม่คิดว่า ตัวเองดีพอแล้ว เพราะถ้าคิดว่าดีพอแล้ว กุศลกรรมก็ทำมากแล้ว จะทำให้ไม่เจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าเทียบกันระหว่างกุศลและอกุศล โดยสภาพของความเป็นปุถุชน กุศลมากเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ

~ ในขณะที่กำลังรู้จักอกุศลของคนอื่น ต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาจิตด้วยว่า ขณะนั้นเกิดเมตตา หรือว่าเกิดอกุศล ในขณะที่เห็นอกุศลของคนอื่น ถ้าจะเป็นผู้ที่ขาดทุน ก็คือว่า เมื่อเห็นอกุศลของคนอื่นแล้วตนเองเกิดอกุศล แต่ถ้าจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ ก็คือว่า เมื่อเห็นอกุศลของคนอื่นแล้ว เกิดเมตตา เพราะเหตุว่าแม้ตนเองก็มีอกุศลอย่างนั้นเหมือนกัน

~
สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้วไม่เปลี่ยน ได้ยินต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เห็นต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คิดนึกต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สติต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สุขต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทุกข์ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดตามความพอใจได้ แต่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยเฉพาะของสภาพธรรมนั้นๆ

~ พระผู้มีพระภาค ทรงเห็นประโยชน์และโทษแม้ของการคบค้าสมาคม เพราะเหตุว่า ถ้าท่านได้คบหาผู้ที่เป็นบัณฑิต ท่านก็ย่อมเป็นผู้ที่มีปัญญาเจริญขึ้น แต่ถ้าท่านสมคบกับคนพาลเที่ยวไป ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน

~ ขณะที่กำลังพอใจ ก็สะสมความพอใจนั้นไว้ เป็นพืชเชื้อที่จะให้เกิดความพอใจในสิ่งอื่นอีกต่อไปเรื่อยๆ ทุกภพทุกชาติ ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันหมดสิ้นความพอใจได้ ถ้าตราบใดยังคงมีความพอใจอยู่ ก็ยังคงต้องพอใจไปเรื่อยๆ ดีไหม? ไม่ดี พอที่จะเห็นโทษแม้ลางๆ ไหม ถึงแม้ว่าจะไม่ชัดเจน แต่ก็จะเห็นได้ว่า ความพอใจนี้ไม่มีวันจบ ยังจะเป็นพืชเชื้อให้เกิดความพอใจในสิ่งอื่นต่อไปอีกเรื่อยๆ คิดหรือว่า พอใจในชาตินี้แล้ว จะจบสิ้นเพียงชาตินี้ เกิดมาอีกจะไม่มีความพอใจอีก เป็นไปได้ไหม มีแต่ว่าจะพอใจอย่างอื่นต่อไปอีกเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ


~ สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ คือ ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะยากดีมีจน มีเกียรติยศมากมาย กำลังเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีอะไรประเสริฐเท่า "รู้ความจริง"

~ เห็นใจในความไม่รู้ของคนอื่น เพราะฉะนั้น มิตรดีจริงๆ ที่ประเสริฐกว่ามิตรทั้งหลาย คือ ผู้ที่ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นกัลยาณมิตรที่ดีสูงยิ่งกว่ามิตรคนไหนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การที่ได้เข้าใจความจริง จะหวังดีต่อคนอื่นไหม? เขาไม่รู้ แล้วเราสามารถที่จะค่อยๆ ให้เขาเข้าใจขึ้น พ้นจากความเห็นผิด โดยไม่ต้องการอะไรเลยทั้งหมด นอกจากขอให้เขาได้เข้าใจถูก เพราะว่า ยากเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ ถ้าผิด ก็ผิดไปเรื่อยๆ มากขึ้นๆ ยากที่จะไถ่ถอนได้

~ ทุกคนต่างกันตามการสะสม ใครที่มีกาย วาจา ไม่ดี เพราะไม่รู้ ถ้ารู้ เขาอยากจะเป็นอย่างนั้นไหม ทั้งหมดคือความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีเมตตา (ความเป็นมิตรเป็นเพื่อน) ไม่ว่าทางหนึ่งทางใดที่จะทำให้เข้ารู้ขึ้น เข้าใจถูกขึ้น นั่น เป็นประโยชน์สูงสุด

~ บางท่านมีความหวังร้ายต่อผู้ที่ประพฤติไม่ชอบ เพราะฉะนั้น ก็ลองพิจารณาสภาพจิตของท่านเอง ว่าเคยมุ่งหวังที่จะให้คนที่ประพฤติไม่ชอบ ได้รับโทษ ได้รับภัยอันตรายต่างๆ อย่างร้ายแรงหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น จิตของท่านเองทำร้ายตัวของท่านเอง เพราะบุคคลอื่นไม่ได้เป็นไปตามความคิดของท่าน แต่ย่อมเป็นไปตามกรรมของเขา เพราะฉะนั้น เขาย่อมได้รับผลของอกุศลกรรมนั้นเอง โดยที่ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องไปหวังร้าย หรือว่าคิดร้ายต่อบุคคลนั้นเลย

~ มีกาย วาจา ไว้สำหรับทำอะไร ไม่ควรที่จะมีไว้สำหรับเพื่อที่จะให้อกุศลเจริญขึ้น แต่ควรที่จะมีไว้สำหรับเจริญกุศลทุกประการ ซึ่งจะเป็นบารมี (ความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) สำหรับที่จะให้ดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด)

~ โกรธเกิดขึ้นขณะเดียว คิดว่าไม่มาก ใช่ไหม? แต่ทีละขณะ สองขณะไปเรื่อยๆ ก็ย่อมจะเป็นเหตุที่สามารถทำให้ไปสู่อบายภูมิได้

~ ใครที่มักโกรธในชาตินี้ ให้ทราบว่าชาติก่อนๆ ก็ต้องมักโกรธ แล้วถ้าชาตินี้ยังมักโกรธอย่างชาตินี้ต่อไปอีก ก็ให้นึกถึงภาพชาติหน้าได้ว่าจะเป็นอย่างไร อยากจะเป็นอย่างนั้นต่อไป หรือว่าอยากเป็นอย่างอื่น ที่ไม่ใช่อย่างนี้ ถ้าอยากจะเป็นอย่างอื่น ก็ต้องเริ่มสะสมทางฝ่ายกุศลไว้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้

~ ใครก็ตามที่มีอกุศล และไม่เห็นโทษของอกุศลนั้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเห็นได้ว่า ความดีที่คิดจะทำเพื่อที่จะละอกุศลในขณะนั้นยังทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมก็ต้องยากยิ่งกว่านั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ จะรีบทำความดีไหม จะรีบละอกุศลในขณะนั้นที่กำลังเกิดไหม?

~ ถ้าเป็นอกุศลแล้ว ต้องกล้าออกจากอกุศลอย่างเร็วที่สุดด้วยความไม่ประมาท เพราะว่า ถ้าช้า ก็จะทำให้ออกจากอกุศลนั้นยากขึ้น จนในที่สุดก็อาจจะสายเกินไปที่จะออกจากอกุศลนั้นได้ และอาจจะเป็นอย่างนี้ทุกๆ ชาติ

~ เมื่อสิ้นชีวิตจากชาตินี้แล้ว จะเป็นคนนั้นอีกต่อไปไม่ได้เลย ไม่มีทางที่จะเป็นคนนั้นอีกได้เลย ถ้าจะศึกษาจากพระชาติต่างๆ ของพระผู้มีพระภาค ก็จะเห็นได้ว่า แต่ละพระชาติก็คือการปรุงแต่งของจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ซึ่งจะไม่กลับไปเป็นบุคคลนั้นอีก เพราะฉะนั้น ในชาติก่อน ท่านจะเคยเป็นใครอยู่ที่ไหน หรือแม้แต่เพียงชาติก่อนชาตินี้ ก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้นโดยสิ้นเชิง และชาตินี้ก็กำลังใกล้ต่อการสิ้นสภาพของความเป็นบุคคลนี้ และจะไม่กลับมาเป็นบุคคลนี้อีก

~ ธรรมฝ่ายไหน เป็นฝ่ายดี ธรรมฝ่ายไหน เป็นฝ่ายชั่ว ธรรม ไหน ไม่ดี ไม่ชั่ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทั้งหมด ให้รู้ความจริง เพื่อจะค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก ว่า ไม่มีเรา

~ ความไม่รู้ ทำให้ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ นั่นคือ ความไม่รู้ แต่เมื่อมีปัญญา รู้ถูกต้องตามความเป็นจริง จะไม่ทำสิ่งที่ผิด เพราะรู้ว่าสิ่งที่ผิดจะทำให้เกิดผลอะไรบ้าง

~ เมตตา ไม่จำกัด เพราะเป็นประโยชน์กับผู้ที่มีเมตตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้นำสิ่งที่เป็นโทษมาให้ใครเลยแม้แต่นิดเดียว เล็กน้อยสักเท่าไหร่ ก็ไม่มี ทรงชี้ให้เห็นความเป็นจริง ว่า อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นประโยชน์

~ เขา ทำไม่ดี นั่งว่าเขา เป็นโทษหรือเปล่าที่ไปว่าเขา เดือดร้อนไหม? ก็ไม่รู้ ก็ทำอยู่ทุกวัน แต่ถ้ารู้ จะทำไหม? เขาเป็นอย่างไรนั้น เราไปทำอะไรไม่ได้ แต่ตรงนี้ (ขณะที่ว่าเขา) นำความทุกข์มาให้แล้ว ก็ไม่รู้ กำลังเดือดร้อน ก็ไม่รู้ ตัวเองไม่ดี ก็ไม่รู้

~ เขาไม่ดี เรื่องของเขา เราจะทำอะไร นอกจากถ้าสามารถให้เขาได้เข้าใจถูกต้อง นั่น เป็นประโยชน์ที่สุด



* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๓




...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 23 ม.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Sea
วันที่ 23 ม.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ม.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 24 ม.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Jans
วันที่ 24 ม.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มังกรทอง
วันที่ 24 ม.ค. 2565

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเรียกร้องให้ใครไปทำความดีกับพระองค์หรือเปล่า หรือว่า ทั้งหมดด้วยพระมหากรุณา เพื่อเขาเท่านั้น เพื่อทุกคนที่จะได้รู้ความจริง เพื่อทุกคนจะได้เป็นคนดีขึ้น เพื่อทุกคนจะได้ไม่มีความชั่วร้ายที่สะสมมามากมายมหาศาล

น้อามกรบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ม.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kukeart
วันที่ 24 ม.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Lai
วันที่ 25 ม.ค. 2565

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ