ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๒

 
khampan.a
วันที่  9 ม.ค. 2565
หมายเลข  41897
อ่าน  1,124

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๒
* *





~ พระธรรมเป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่งแก่การได้ยินได้ฟังด้วยความเคารพในความลึกซึ้งของผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ด้วยพระมหากรุณาที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูก ได้เห็นถูก

~ ธรรมที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ นั้นต้องเป็นกุศล แต่ว่ายากที่จะเกิด เพราะเหตุว่าเมื่อสะสมอกุศลมามาก ก็ย่อมมีปัจจัยให้อกุศลธรรมเกิดมากกว่ากุศลธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นว่าธรรมใดเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ก็จะเข้าใจในคุณของธรรมนั้น กล่าวคือคุณของกุศลธรรม ก็ย่อมจะเป็นปัจจัยให้ได้เจริญกุศลในชีวิตประจำวัน

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่พระธรรมเป็นศาสดา เพราะฉะนั้น ที่ใดที่มีธรรม ที่นั้นเหมือนมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ด้วยตรงหน้า เพราะว่า ต้องมีความเคารพและระลึกถึงพระคุณ เมื่อมีคนที่เข้าใจธรรมแล้วระลึกถึงพระคุณของพระองค์ มีหรือที่จะกระทำผิดจากพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้และไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย

~ อวิชชา คือ ความไม่รู้ วิชชา คือ ความรู้ เพราะฉะนั้น เมื่อ วิชชา คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เกิด มีหรือที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะความรู้ แต่เนื่องจากความไม่รู้ ยังมีอยู่มาก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด ไม่ได้เกิดจากความรู้ความเข้าใจ ไม่ได้เกิดจากปัญญา แต่เกิดจากอวิชชาที่สะสมมา ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น ความที่จะประพฤติทางกาย ทางวาจา ที่ผิด ก็ยังมี จนกว่าจะดับอวิชชาหมด

~ ทุกอย่างที่จะเกิด เกิดตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเป็นเหตุที่ดี ก็ต้องนำผลที่ดีมาให้ ถ้าเหตุที่ไม่ดี จะนำผลที่ดีมาให้ได้อย่างไร แค่นี้ ในชีวิต ทำดี เพราะรู้ว่าจะเกิดอีกนานในสังสารวัฏฏ์ แล้วจะเป็นอะไรแล้วแต่การสะสม เพราะฉะนั้น คนต่อไปไม่ใช่คนนี้ แต่สืบต่อจากคนนี้ จะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่คนนี้ในชาตินี้ จะเห็นผิด ก็สะสมความเห็นผิดต่อไปในชาติหน้า ดีไหม? ไม่ดี อันตรายแค่ไหนของความเห็นผิด เป็นตอของสังสารวัฏฏ์ ออกไปไม่ได้เลย

~ จะเกิดเมื่อไหร่ จะตายเมื่อไหร่ จะเห็นเมื่อไหร่ จะสุขเมื่อไหร่ จะเจ็บไข้ได้ป่วยเมื่อไหร่ ล้วนเป็นเพราะมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้น จะหวั่นไหวไหมถ้าเป็นสิ่งที่ดีที่ได้กระทำแล้ว ต้องนำผลที่ดีมาให้ ถ้าไม่ชอบสิ่งที่ไม่ดี ก็จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะรู้ว่าสิ่งที่ไม่ดีเท่านั้นที่จะนำผลที่ไม่ดีมาให้ เปลี่ยนเหตุกับผลได้ไหม ให้เหตุไม่ดีนำมาซึ่งผลดี ได้ไหม หรือว่า เหตุดีนำมาซึ่งผลที่ไม่ดี ได้ไหม? ไม่มีทางเป็นไปได้เลย

~ สิ่งใดที่ล่วงไปแล้วไม่สามารถจะแก้ไขได้ แต่ต่อไปนี้ ก็จะทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะรู้ว่าสิ่งใดผิดก็ไม่ทำ นี่คือปัญญา ถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญาเห็นถูก จะไม่ทำสิ่งที่ผิด เพราะปัญญานำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นกุศล

~ กิเลสทั้งหลาย อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ใจ ใครก็เอาออกไม่ได้ ความไม่รู้และกิเลสทั้งหมดที่สะสมมา ดี ชั่ว อยู่ที่ใจ แต่สิ่งที่ควรพลัดพรากจากไป ก็คือ อกุศลและความไม่รู้ ใครเอาออกไปได้ไหม ถ้าไม่ใช่ปัญญา

~ เกิดมาแล้ว จากโลกนี้ไปแน่นอน แต่ว่าขอให้ได้เป็นคนดีและเข้าใจธรรม แต่ไม่ลืมความเป็นอนัตตา ทำอย่างดีที่สุด ผลจะเป็นอย่างไร ก็เป็นอนัตตา แต่จะห้ามไม่ให้ทำความดีได้ไหม ในเมื่อสะสมมาที่เห็นคุณของความดี คนนั้นก็จะทำสิ่งที่ดี

~ จะห้ามคนไม่ให้พูดอะไร ห้ามไม่ได้เลยใช่ไหม? (ห้ามไม่ได้) ไม่มีใครพ้นจากโลกธรรม ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ใจของเราไม่หวั่นไหว เพราะรู้ว่า ขณะที่หวั่นไหว เป็นอกุศล จะเที่ยวไปเก็บอกุศลจากที่เขาไม่ชอบแล้วเขาว่าต่างๆ มาเป็นขณะนั้นให้เพิ่มพูนอกุศลขึ้นทำไม ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น คนที่มั่นคงในเรื่องของความไม่มีเรา ก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นกุศลธรรมหรืออกุศลธรรม เพราะฉะนั้น จะไม่ไปเอาคำของคนอื่นมาทำให้เกิดอกุศลจิต

~ เกิดมาแล้วให้อะไรกันก็มากมาย สิ่งนั้นก็หมดไป ให้เงิน เงินก็หมดไปใช้หมดไป ให้อาหาร อิ่มแล้วก็หมดไป ทุกสิ่งทุกอย่างหมดไป แต่ถ้าให้ความเข้าใจถูก ย่อมเป็นประโยชน์ยิ่ง อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เพื่อประโยชน์สุขของชาวโลกซึ่งไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะตรัสรู้ความจริงให้คนอื่นได้รู้ตามด้วย เป็นกัลยาณมิตรที่ประเสริฐสุดที่ไม่มีใครเปรียบได้เลย

~ เกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่กรรม อยากเกิดเป็นหนอนไหม? ไม่อยากเกิดเป็นหนอน แต่อาจจะเกิดเป็นหนอนก็ได้ ถ้ามีเหตุที่ทำให้เกิดเป็นหนอนก็ต้องเกิดเป็นหนอน หนอนทั้งหลายไม่อยากเกิดเป็นหนอนเลยแต่ก็ต้องเป็นเพราะกรรม สุนัข แมว นก ไม่อยากเกิดเป็นสุนัข แมว นก แต่เมื่อมีเหตุที่ได้กระทำไว้ที่จะกระทำให้เป็นอย่างนั้น ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

~ ถ้าใครพูดผิด ทำผิด คิดผิด คนที่เข้าใจธรรม ก็พูดสิ่งที่ถูก เพื่อให้เขาได้เข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปโกรธหรือไปขุ่นเคืองใจ เพราะขณะนั้นเป็นอกุศล ซึ่งเมื่อเห็นโทษของอกุศลแล้ว การเข้าใจนั่นแหละ จะค่อยๆ ทำให้สิ่งที่เป็นกุศล เจริญขึ้น

~ มิตรคือเพื่อน เพื่อนที่หวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูล เป็นประโยชน์ ไม่คิดร้าย ไม่หวังร้าย ไม่ริษยา ไม่ทำร้ายเลยทั้งสิ้น นั่นคือเพื่อน เพื่อนที่ดี คือ กัลยาณมิตร (มิตรที่ดีงาม) ใครก็ตามที่เป็นเพื่อนที่ดีของใคร ก็คือ หวังดี หวังประโยชน์เกื้อกูล เมื่อเขาเข้าใจผิด ก็ให้เขาเข้าใจถูก เขาไม่เข้าใจธรรม ก็สามารถที่จะอนุเคราะห์ให้เขาเข้าใจ นั่นก็เป็นเพื่อนที่หวังดีกับผู้นั้น, ผู้ที่เป็นกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้น เราจะไม่ได้ยินสักคำเดียวที่เป็นคำสอนของพระองค์

~ หนทางเดียวที่จะทำให้เป็นคนดีได้ คือ ความเข้าใจพระธรรม

~ หนึ่งชาติที่เกิดมาเป็นคนนี้ แล้วก็จะเป็นคนนี้ได้อีกไม่นาน ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นคนนี้นานเท่าไหร่ ต่อไปก็จะเป็นคนใหม่ เพราะฉะนั้น คนใหม่ก็มาจากคนนี้ คนนี้ทำอะไรไว้สืบเนื่องมาจากแสนโกฏิกัปป์ ก็จะปรุงแต่งให้ขณะต่อไปจากโลกนี้ สู่โลกอื่น เป็นคนใหม่ และไม่รู้ว่ากรรมที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมด กรรมไหนจะให้ผล เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ละเว้นแต่ละโอกาส แต่ละขณะมีค่าอย่างยิ่งที่ได้เข้าใจพระธรรม เพราะว่า ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งขณะ จะไม่มีทางที่จะเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น

~ กิเลสสะสมมาประมาณไม่ได้เลย แล้วก็สะสมต่อไปอีกทุกๆ วันมากขึ้นๆ เพราะฉะนั้น ก็เห็นความละเอียดและก็ความยากและความไม่ประมาทว่าความเข้าใจเท่านั้นที่จะค่อยๆ รู้แล้วละ ไม่มีตัวตนที่จะไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น

~ เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่ทรงเว้นเพียงสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดที่จะเป็นโทษเป็นภัย ก็ได้กล่าวให้ชัดเจนว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ควรละ สำหรับเพศบรรพชิตก็ต้องขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าเพศของคฤหัสถ์

~ คนใดกำลังทุกข์ร้อน เดือดร้อน ท่านเกิดความกรุณาใคร่ที่จะให้บุคคลนั้น พ้นจากความทุกข์ มีการช่วยเหลือบุคคลที่ป่วยไข้ได้เจ็บ การรักษาพยาบาลบุคคลที่กำลังเจ็บป่วย นั่นคือ ความกรุณาที่ใคร่จะให้บุคคลนั้นพ้นทุกข์

~ ตราบใดยังเห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของพระธรรม แม้ว่าชาตินี้อาจจะได้เข้าใจธรรมขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ถูก ต่อไปข้างหน้าก็จะไม่หลงผิด ไม่ไปทางผิด และก็รู้ว่าสามารถอบรมเจริญปัญญาต่อไปได้

~ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลจริงๆ ว่า ถ้าวันนี้ยังไม่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย วันต่อๆ ไป อกุศลก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น

~ ที่จะเป็นคนดีได้ ก็ด้วยคุณความดี โดยอาศัยหลักธรรม คือ พระพุทธศศาสนา ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง



* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๑




...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ม.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 9 ม.ค. 2565

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 9 ม.ค. 2565

กราบ​อนุโมทนา​สาธุ​ค่ะ​

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
panasda
วันที่ 9 ม.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Sea
วันที่ 9 ม.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 10 ม.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
มังกรทอง
วันที่ 10 ม.ค. 2565

ธรรมที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ นั้นต้องเป็นกุศล แต่ว่ายากที่จะเกิด เพราะเหตุว่าเมื่อสะสมอกุศลมามาก ก็ย่อมมีปัจจัยให้อกุศลธรรมเกิดมากกว่ากุศลธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นว่าธรรมใดเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ก็จะเข้าใจในคุณของธรรมนั้น กล่าวคือคุณของกุศลธรรม ก็ย่อมจะเป็นปัจจัยให้ได้เจริญกุศลในชีวิตประจำวัน

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 10 ม.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Lai
วันที่ 10 ม.ค. 2565

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
มังกรทอง
วันที่ 10 ม.ค. 2565

ถ้าใครพูดผิด ทำผิด คิดผิด คนที่เข้าใจธรรม ก็พูดสิ่งที่ถูก เพื่อให้เขาได้เข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปโกรธหรือไปขุ่นเคืองใจ เพราะขณะนั้นเป็นอกุศล ซึ่งเมื่อเห็นโทษของอกุศลแล้ว การเข้าใจนั่นแหละ จะค่อยๆ ทำให้สิ่งที่เป็นกุศล เจริญขึ้น น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ