พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. มหาปัญญากถา ว่าด้วยชนิดของปัญญา

 
บ้านธัมมะ
วันที่  26 พ.ย. 2564
หมายเลข  40974
อ่าน  1,301

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 657

ปัญญาวรรค

๑. มหาปัญญากถา

ว่าด้วยชนิดของปัญญา หน้า 657

อรรถกถามหาปัญญากถา หน้า 676

อรรถกถาโสฬสปัญญานิเทศ หน้า 682

อรรถกถาปุคคลวิเสสนิเทศ หน้า 704


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 657

ปัญญาวรรค

มหาปัญญากถา

ว่าด้วยชนิดของปัญญา

[๖๕๙] อนิจจานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ทุกขานุปัสสนา ฯ อนัตตานุปัสสนา ฯ นิพพิทานุปัสสนา ฯ วิราคานุปัสสนา ฯ นิโรธานุปัสสนา ฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์.

อนิจจานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวนปัญญา (ปัญญาเร็ว ปัญญาแล่นไป) ให้บริบูรณ์ ทุกขานุปัสสนา ฯ ย่อมยังนิพเพธิกปัญญา (ปัญญาทำลายกิเลส) ให้บริบูรณ์ อนัตตานุปัสสนา ฯ ย่อมยังมหาปัญญา (ปัญญามาก) ให้บริบูรณ์ นิพพิทานุปัสสนา ฯ ย่อมยังติกขปัญญา (ปัญญาคมกล้า) ให้บริบูรณ์ วิราคานุปัสสนา ฯ ย่อมยังวิปุลปัญญา (ปัญญากว้างขวาง) ให้บริบูรณ์ นิโรธานุปัสสนา ฯ ย่อมยังคัมภีรปัญญา (ปัญญาลึกซึ้ง) ให้บริบูรณ์ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังอัสสามันตปัญญา (ปัญญาไม่ใกล้) ให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ ฯ ย่อมยังปุถุปัญญา (ปัญญาแน่นหนา) ให้บริบูรณ์ ปัญญา ๙ ประการนี้ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังหาสปัญญา (ปัญญาร่าเริง) ให้บริบูรณ์ หาสปัญญาเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา อรรถปฏิสัมภิทาเป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดอรรถแห่งหาสปัญญานั้น ธรรมปฏิสัมภิทา เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้ง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 658

แล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดธรรมแห่งหาสปัญญานั้น นิรุตติปฏิสัมภิทาเป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดนิรุตติแห่งหาสปัญญานั้น ปฏิภาณปฏิสัมภิทาเป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดปฏิภาณแห่งหาสปัญญานั้น ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้ เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น.

[๖๖๐] การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯลฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์.

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวนปัญหาให้บริบูรณ์ ฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังอัสสามันตปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปุถุปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๙ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังหาสปัญญาให้บริบูรณ์ หาสปัญญาเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา ฯ ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้ เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น.

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯ ชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญา

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 659

อย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์.

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ ฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังอัสสามันตปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปุถุปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๙ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังหาสปัญญาให้บริบูรณ์ หาสปัญญาเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา ฯ ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้ เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น.

[๖๖๑] การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นทุกข์ในรูป ฯ การพิจารณาเห็นทุกข์ในรูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ การพิจารณาเห็นอนัตตาในรูป ฯ การพิจารณาเห็นอนัตตาในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ การพิจารณาเห็นความเบื่อหน่ายในรูปทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดในรูป ฯ การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดในรูปทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ การพิจารณาเห็นความดับในรูป ฯ การพิจารณาเห็นความดับในรูปทั้งเป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูปทั้งที่เป็น

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 660

ส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์.

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูปทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นทุกข์ในรูป ฯ ย่อมยังนิพเพธิกปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นทุกข์ในรูปทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นอนัตตาในรูป ฯ ย่อมยังมหาปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นอนัตตาในรูปทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความเบื่อหน่ายในรูป ฯ ย่อมยังติกขปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความเบื่อหน่ายในรูปทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดในรูป ฯ ย่อมยังวิปุลปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดในรูปทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความดับในรูป ฯ ย่อมยังคัมภีรปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความดับในรูปทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป ฯ ย่อมยังอัสสามันตปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูปทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๗ ประการนี้ ฯ ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ ปัญญา ๘ ประการนี้ ฯ ย่อมยังปุถุปัญญาให้บริบูรณ์ ปัญญา ๙ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังหาสปัญญาให้บริบูรณ์ หาสปัญญาเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา ฯ ปฏิสัมภิทา ๔

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 661

ประการนี้ เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น.

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ ฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังปัญญาอย่างไหนให้บริบูรณ์.

การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะ ฯ ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในชราและมรณะทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯ ย่อมยังชวนปัญญาให้บริบูรณ์ ฯ ปฏิสัมภิทา ๔ ประการนี้ เป็นคุณชาติอันบุคคลบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะหาสปัญญานั้น.

[๖๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ๔ ประการเป็นไฉน คือสัปปุริสสังเสวะ (คบสัตบุรุษ) ๑ สัทธัมสสวนะ (ฟังพระสัทธรรมคำสั่งสอนของท่าน) ๑ โยนิโสมนสิการ (ไตร่ตรองพิจารณาคำสั่งสอนของท่าน หรือการทำไว้ในใจโดยแยบคาย) ๑ ธรรมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมที่ได้ตรองเห็นแล้ว) ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 662

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล ฯ ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล ฯ ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ๔ ประการเป็นไฉน คือสัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธัมมัสสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธรรมานุธรรมปฏิปัตติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล.

[๖๖๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา เพื่อความเจริญแห่งปัญญา เพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาใหญ่ เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาหนา เพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไม่ใกล้ เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน เพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็ว เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาพลัน เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาร่าเริง เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่นไป เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาคมกล้า เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาทำลายกิเลส ๔ ประการเป็นไฉน คือสัปปุริสสังเสวะ ๑ สัทธัมมัสสวนะ ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ ธัมมานุธัมมปฏิปัติติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้แล ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา ฯ เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาทำลายกิเลส.

[๖๖๔] การได้เฉพาะซึ่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญาเป็นไฉน.

การได้ การได้เฉพาะ การถึง การถึงพร้อม การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การเข้าถึงพร้อม ซึ่งมรรคญาณ ๔ ผลญาณ ๔ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 663

อภิญญา ๖ ญาณ ๗๓ ญาณ ๗๗ นี้ เป็นการได้เฉพาะซึ่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อได้เฉพาะซึ่งปัญญา.

ความเจริญแห่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา เป็นไฉน.

ปัญญาของพระเสขะ ๗ จำพวกและของกัลยาณปุถุชน ย่อมเจริญ ปัญญาของพระอรหันต์ย่อมเจริญ นี้เป็นความเจริญ นี้เป็นความเจริญแห่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา.

ความไพบูลย์แห่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา เป็นไฉน.

ปัญญาของพระเสขะ ๗ จำพวกและของกัลยาณปุถุชน ย่อมถึงความไพบูลย์ ปัญญาของพระอรหันต์เป็นปัญญาไพบูลย์ นี้เป็นความไพบูลย์แห่งปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา.

[๖๖๕] มหาปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาใหญ่ (มหาปัญญา) เป็นไฉน.

ชื่อว่า ปัญญาใหญ่ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า กำหนดอรรถใหญ่ กำหนดธรรมใหญ่ กำหนดนิรุตติใหญ่ กำหนดปฏิภาณใหญ่ กำหนดศีลขันธ์ใหญ่ กำหนดสมาธิขันธ์ใหญ่ กำหนดปัญญาขันธ์ใหญ่ กำหนดวิมุตติขันธ์ใหญ่ กำหนดวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ใหญ่ กำหนดฐานะและอฐานะใหญ่ กำหนดวิหารสมาบัติใหญ่ กำหนดอริยสัจใหญ่ กำหนดสติปัฏฐานใหญ่ กำหนดสัมมัปปธานใหญ่ กำหนดอิทธิบาทใหญ่ กำหนดอินทรีย์ใหญ่ กำหนดพละใหญ่ กำหนดโพชฌงค์ใหญ่ กำหนดอริยมรรคใหญ่ กำหนดสามัญผลใหญ่ กำหนดอภิญญาใหญ่

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 664

กำหนดนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ นี้เป็นมหาปัญญา (ปัญญาใหญ่) ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อเป็นผู้มีปัญญาใหญ่.

[๖๖๖] ปุถุปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาหนา (ปุถุปัญญา) เป็นไฉน.

ชื่อว่า ปัญญาหนา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ญาณเป็นไปในขันธ์ต่างๆ มาก ในธาตุต่างๆ มาก ในอายตนะต่างๆ มาก ในปฏิจจสมุปบาทต่างๆ มาก ในความได้เนืองๆ ซึ่งความสูญต่างๆ มาก ในอรรถต่างๆ มาก ในธรรมต่างๆ มาก ในนิรุตติต่างๆ มาก ในปฏิภาณต่างๆ มาก ในศีลขันธ์ต่างๆ มาก ในสมาธิขันธ์ต่างๆ มาก ในปัญญาขันธ์ต่างๆ มาก ในวิมุตติขันธ์ต่างๆ มาก ในวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ต่างๆ มาก ในฐานะและอฐานะต่างๆ มาก ในวิหารสมาบัติต่างๆ มาก ในอริยสัจต่างๆ มาก ในสติปัฏฐานต่างๆ มาก ในสัมมัปปธานต่างๆ มาก ในอิทธิบาทต่างๆ มาก ในอินทรีย์ต่างๆ มาก ในพละต่างๆ มาก ในโพชฌงค์ต่างๆ มาก ในอริยมรรคต่างๆ มาก ในสามัญผลต่างๆ มาก ในอภิญญาต่างๆ มาก ในนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งมาก ล่วงธรรมที่ทั่วไปแก่ปุถุชน นี้เป็นปุถุปัญญา (ปัญญาหนา) ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาหนา.

[๖๖๗] วิปุลปัญญา (ปัญญากว้างขวาง) ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง เป็นไฉน.

ชื่อว่า ปัญญากว้างขวาง เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า กำหนดอรรถกว้างขวาง กำหนดธรรมกว้างขวาง ฯ กำหนดอภิญญากว้างขวาง กำหนดนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกว้างขวาง นี้เป็นวิปุลปัญญา ในคำว่า เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 665

[๖๖๘] คัมภีรปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง เป็นไฉน.

ชื่อว่า ปัญญาลึกซึ้ง เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ญาณเป็นไปในขันธ์ลึกซึ้ง ในธาตุลึกซึ้ง ฯ ในอภิญญาลึกซึ้ง ในนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งลึกซึ้ง นี้เป็นคัมภีรปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง.

[๖๖๙] อัสสามันตปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไม่ใกล้ เป็นไฉน.

อรรถปฏิสัมภิทาเป็นคุณชาติอันบุคคลผู้ใดบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดอรรถ ธรรมปฏิสัมภิทาเป็นคุณชาติอันบุคคลผู้ใดบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทาเป็นคุณชาติอันบุคคลใดบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา โดยการกำหนดนิรุตติ ปฏิภาณปฏิสัมภิทาเป็นคุณชาติอันบุคคลผู้ใดบรรลุแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องด้วยปัญญา โดยการกำหนดปฏิภาณ ใครอื่นย่อมไม่สามารถจะครอบงำ (เทียบทัน) อรรถ ธรรม นิรุตติ และปฏิภาณของบุคคลผู้นั้นได้ และบุคคลผู้นั้นก็เป็นผู้หนึ่งที่ใครๆ ครอบงำไม่ได้ เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นจึงเป็นปัญญาไม่ใกล้.

ปัญญาของกัลยาณปุถุชนห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของบุคคลที่ ๘ (ผู้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติมรรค) เมื่อเทียบกับกัลยาณปุถุชน บุคคลที่ ๘ มีปัญญาไม่ใกล้.

ปัญญาของบุคคลที่ ๘ ห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระโสดาบัน เมื่อเทียบกับบุคคลที่ ๘ พระโสดาบันมีปัญญาไม่ใกล้.

ปัญญาของพระโสดาบันห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระสกทาคามี เมื่อเทียบกับพระโสดาบัน

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 666

พระสกทาคามีมีปัญญาไม่ใกล้.

ปัญญาของพระสกทาคามีห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระอนาคามี เมื่อเทียบกับพระสกทาคามี พระอนาคามีมีปัญญาไม่ใกล้.

ปัญญาของพระอนาคามีห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระอรหันต์ เมื่อเทียบกับพระอนาคามี พระอรหันต์มีปัญญาไม่ใกล้.

ปัญญาของพระอรหันต์ห่างไกลแสนไกล ไม่ใกล้ ไม่ชิดกับปัญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อเทียบกับพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้ามีปัญญาไม่ใกล้.

เมื่อเทียบกับพระปัจเจกพุทธเจ้าและโลกพร้อมทั้งเทวโลก พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เลิศ ทรงมีปัญญาไม่ใกล้ ทรงฉลาดในประเภทแห่งปัญญา ทรงมีญาณแตกฉาน ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา ทรงถึงเวสารัชชญาณ ๔ ทรงพละ ๑๐ ทรงเป็นบุรุษองอาจ ทรงเป็นบุรุษสีหะ ทรงเป็นบุรุษนาค ทรงเป็นบุรุษอาชาไนย ทรงเป็นบุรุษนำธุระไป ทรงมีพระญาณหาที่สุดมิได้ ทรงมีพระเดชหาที่สุดมิได้ ทรงมีพระยศหาที่สุดมิได้ ทรงเป็นผู้มั่งคั่ง ทรงมีทรัพย์มาก ทรงมีอริยทรัพย์ ทรงเป็นผู้นำ ทรงเป็นผู้นำไ่ปให้วิเศษ ทรงนำไปเนืองๆ ทรงบัญญัติ ทรงพินิจ ทรงเพ่ง ทรงให้หมู่สัตว์เลื่อมใส แท้จริงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดพร้อมให้เกิดพร้อม ตรัสบอกมรรคที่ยังไม่มีใครบอก ทรงรู้จักมรรค ทรงทราบมรรค ทรงฉลาดในมรรค ก็แหละพระสาวกทั้งหลายในบัดนี้และที่จะมีมาในภายหลัง ย่อมเป็นผู้ดำเนินไปตามมรรค แท้จริงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ย่อมทรงทราบสิ่งที่ควรทราบ ย่อมทรงเห็นสิ่งที่ควรเห็น ทรงเป็นจักษุ ทรงเป็นญาณ ทรงเป็นธรรม ทรงเป็นพรหม ตรัสบอก ตรัสบอกทั่ว ทรงนำอรรถออก ทรงประทานอมตธรรม ทรงเป็นธรรมสามี (ทรงเป็นเจ้าของธรรม) เสด็จไปอย่างนั้น บทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 667

ไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ไม่ทรงทราบ ไม่ทรงทำให้แจ้ง ไม่ทรงถูกต้องแล้วด้วยปัญญามิได้มี ธรรมทั้งปวงรวมทั้งที่เป็นส่วนอดีต อนาคตและปัจจุบัน ย่อมมาสู่คลองในมุข คือพระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้เเล้วโดยอาการทั้งปวง ชื่อว่า บทที่ควรแนะนำซึ่งเป็นอรรถเป็นธรรมที่ควรรู้อย่างใดอย่างหนึ่ง และประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ประโยชน์ภพนี้ ประโยชน์ภพหน้า ประโยชน์ตื้น ประโยชน์ลึก ประโยชน์ลับ ประโยชน์ปกปิด ประโยชน์ที่ควรนำไป ประโยชน์ที่นำไปแล้ว ประโยชน์ไม่มีโทษ ประโยชน์ไม่มีกิเลส ประโยชน์ขาวผ่องหรือปรมัตถประโยชน์ ทั้งหมดนั้นย่อมเป็นไปภายในพระพุทธญาณ พระญาณของพระพุทธเจ้า กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรมทั้งปวงย่อมเป็นไปคล้อยตามพระญาณของพระพุทธเจ้า พระญาณของพระพุทธเจ้ามิได้ขัดข้องในอดีต อนาคต ปัจจุบัน เนยยบถ (เนยยะ สิ่งที่ควรรู้) มีเท่าใด พระญาณก็มีเท่านั้น พระญาณมีเท่าใด เนยยบถก็มีเท่านั้น พระญาณมีเนยยบถเป็นที่สุดรอบ เนยยบถมีพระญาณเป็นที่สุดรอบ พระญาณไม่เป็นไปเกินเนยยบถ เนยยบถก็ไม่เกินพระญาณ ธรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ในที่สุดรอบของกันและกัน เปรียบเหมือนผอบสองชั้นสนิทกันดี ผอบชั้นล่างไม่เกินผอบชั้นบน ผอบชั้นบนก็ไม่เกินผอบชั้นล่าง ผอบทั้งสองชั้นนั้นต่างก็ตั้งอยู่ในที่สุดของกันและกัน ฉันใด เนยยะและพระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ในที่สุดรอบของกันและกัน เนยยบถ (เนยยะ สิ่งที่ควรรู้) มีเท่าใด พระญาณก็มีเท่านั้น พระญาณมีเท่าใด ฯ เหล่านั้นตั้งอยู่ในที่สุดรอบของกันและกัน พระพุทธญาณย่อมเป็นไปในธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งปวงเนื่องด้วยความทรงคำนึง เนื่องด้วยทรงพระประสงค์ เนื่องด้วยทรงพระมนสิการ เนื่องด้วยพระจิตตุบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว พระพุทธญาณเป็นไปในสรรพสัตว์ พระพุทธเจ้าย่อมทรงทราบอัธยาศัย อนุสัย ความประพฤติ อธิมุตติของสรรพสัตว์ ย่อมทรงทราบหมู่สัตว์ผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ ผู้มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทราม

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 668

พึงให้รู้ได้ง่าย พึงให้รู้ได้ยาก เป็นภัพพสัตว์ เป็นอภัพพสัตว์ โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ย่อมเป็นไปภายในพระพุทธญาณเปรียบเหมือนปลาและเต่าทุกชนิด โดยที่สุดตลอดจนปลาติมิและปลาติมิงคละ ย่อมว่ายวนอยู่ภายในมหาสมุทร ฉันใด เปรียบเหมือนนกทุกชนิด โดยที่สุดตลอดจนนกครุฑตระกูลเวนเตยยะ ย่อมบินร่อนไปในประเทศอากาศ ฉันใด ดูก่อนสารีบุตร แม้บรรดาสัตว์ผู้มีปัญญาก็ย่อมเป็นไปในประเทศพุทธญาณ ฉันนั้นเหมือนกัน พุทธญาณแผ่ไป ขจัดปัญหาของเทวดาและมนุษย์แล้วตั้งอยู่ บรรดากษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สมณะ ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญาละเอียด แต่งวาทะโต้ตอบ มีปัญญาเปรียบด้วยนายขมังธนูผู้สามารถยิงขนทราย เที่ยวทำลายปัญญาและทิฏฐิ ด้วยปัญญา บัณฑิตเหล่านั้นแต่งปัญหาแล้ว พากันเข้ามาหาพระตถาคต ถามปัญหาทั้งลี้ลับและเปิดเผย ปัญหาเหล่านั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกและทรงแก้แล้ว มีเหตุที่ทรงแสดงไขให้เห็นชัด ก็บัณฑิตเหล่านั้นเข้าไปใกล้ ย่อมปรากฏ แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ความจริงพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงรุ่งเรืองยิ่งด้วยพระปัญญาในที่นั้น เพราะทรงแก้ปัญหาเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเป็นผู้เลิศ มีพระปัญญาไม่ใกล้ นี้เป็นอัสสามันตปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไม่ใกล้.

[๖๗๐] ภูริปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน เป็นไฉน.

ชื่อว่า ภูริปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ครอบงำอยู่ ครอบงำแล้วซึ่งราคะ ครอบงำอยู่ ครอบงำแล้วซึ่งโทสะ ครอบงำอยู่ ครอบแล้วซึ่งโมหะ ครอบงำอยู่ ครอบงำแล้วซึ่งโกธะ ฯ อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 669

กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง ฯ ครอบงำอยู่ ครอบงำแล้ว ซึ่งกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวง ชื่อว่า ภูริปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นปัญญาย่ำยีราคะอันเป็นข้าศึก เป็นปัญญาย่ำยีโทสะอันเป็นข้าศึก เป็นปัญญาย่ำยีโมหะอันเป็นข้าศึก เป็นปัญญาย่ำยีโกธะอันเป็นข้าศึก ฯ อุปนาหะ ฯ อภิสังขารทั้งปวง ฯ กรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวงอันเป็นข้าศึก แผ่นดินท่านกล่าวว่า ภูริ บุคคลประกอบด้วยปัญญาอันกว้างขวาง ไพบูลย์ เสมอด้วยแผ่นดินนั้น เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นจึงเป็นภูริปัญญา อีกประการหนึ่ง คำว่า ภูริ นี้ เป็นชื่อของปัญญา ปัญญาเป็นปริณายกเครื่องทำลาย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ภูริปัญญา (ปัญญาดังแผ่นดิน) นี้เป็นภูริปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน.

[๖๗๑] ปัญญาพาหุลละ ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก เป็นไฉน.

บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีปัญญาหนัก เป็นผู้มีปัญญาเป็นจริต มีปัญญาเป็นที่อาศัย น้อมใจเชื่อด้วยปัญญา มีปัญญาเป็นธงชัย มีปัญญาเป็นยอด มีปัญญาเป็นใหญ่ มีการเลือกเฟ้นมาก มีการค้นคว้ามาก มีการพิจารณามาก มีการเพ่งพินิจมาก มีการเพ่งพิจารณาเป็นธรรมดา มีธรรมเป็นเครื่องอยู่แจ่มแจ้ง มีปัญญาเป็นจริต มีปัญญาหนัก มีปัญญามาก โน้มไปในปัญญา น้อมไปในปัญญา เงื้อมไปในปัญญา น้อมจิตไปในปัญญา มีปัญญาเป็นอธิบดี เปรียบเหมือนภิกษุผู้หนักไปในคณะ ท่านกล่าวว่า มีคณะมาก ผู้หนักในจีวร ท่านกล่าวว่า มีจีวรมาก ผู้หนักในบาตร ท่านกล่าวว่า มีบาตรมาก ผู้หนักในเสนาสนะ ท่านกล่าวว่า มีเสนาสนะมาก ฉันใด ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ เป็นผู้มีปัญญาหนัก ฯ มีปัญญาเป็นอธิบดี ฉันนั้นเหมือนกัน นี้เป็นปัญญาพาหุลละ ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 670

[๖๗๒] สีฆปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็ว เป็นไฉน.

ชื่อว่า ปัญญาเร็ว เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ปัญญาเป็นเครื่องบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญอินทรียสังวรให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญโภชเนมัตตัญญุตาให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญชาคริยานุโยคให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญศีลขันธ์ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญสมาธิขันธ์ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญปัญญาขันธ์ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญวิมุตติขันธ์ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องแทงตลอดฐานะและอฐานะได้เร็วๆ เป็นเครื่องบำเพ็ญวิหารสมาบัติให้บริบูรณ์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องแทงตลอดอริยสัจได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญสติปัฏฐานได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญสัมมัปปธานได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญอิทธิบาทได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญอินทรีย์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญพละได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญโพชฌงค์ได้เร็วๆ เป็นเครื่องเจริญอริยมรรคได้เร็วๆ เป็นเครื่องทำให้แจ้งซึ่งสามัญผลได้เร็วๆ เป็นเครื่องแทงตลอดอภิญญาได้เร็วๆ เป็นเครื่องทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้เร็วๆ นี้เป็นสีฆปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็ว.

[๖๗๓] ลหุปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาพลัน เป็นไฉน.

ชื่อว่า ปัญญาพลัน เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ปัญญาเป็นเครื่องบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ได้พลันๆ ฯ เป็นเครื่องทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันเป็นประโยชน์

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 671

อย่างยิ่งได้พลันๆ นี้เป็นลหุปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาพลัน.

[๖๗๔] หาสปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาร่าเริง เป็นไฉน.

บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความร่าเริงมาก มีความพอใจมาก มีความยินดีมาก มีความปราโมทย์มาก บำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ บำเพ็ญอินทริยสังวรให้บริบูรณ์ ฯ ทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งให้บริบูรณ์ ด้วยปัญญานั้นๆ เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นๆ จึงชื่อว่า ปัญญาร่าเริง นี้เป็นหาสปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาร่าเริง.

[๖๗๕] ชวนปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่นไป เป็นไฉน.

ชื่อว่า ชวนปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ปัญญาแล่นไปสู่รูปทั้งปวง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต มีอยู่ในที่ไกลหรือมีอยู่ในที่ใกล้ โดยความเป็นของไม่เที่ยงไว แล่นไปโดยความเป็นทุกข์ไว แล่นไปโดยความเป็นอนัตตาไว แล่นไปสู่เวทนา ฯ สัญญา สังขาร วิญญาณทั้งปวง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต มีอยู่ในที่ไกลหรือมีอยู่ในที่ใกล้ โดยความเป็นของไม่เที่ยงไว แล่นไปโดยความเป็นทุกข์ไว แล่นไปโดยความเป็นอนัตตาไว แล่นไปสู่จักษุ ฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน โดยความเป็นของไม่เที่ยงไว แล่นไปโดยความเป็นทุกข์ไว แล่นไปโดยความเป็นอนัตตาไว ชื่อว่า ชวนปัญญา เพราะอรรถว่า ปัญญาเทียบเคียง พินิจ พิจารณา ทำให้แจ่มแจ้งว่า รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคต

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 672

และปัจจุบัน ไม่เที่ยงเพราะอรรถว่าสิ้นไป เป็นทุกข์เพราะอรรถว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นอนัตตาเพราะอรรถว่าไม่มีแก่นสาร แล้วแล่นไปในนิพพานเป็นที่ดับรูปไว ชื่อว่า ชวนปัญญา เพราะอรรถว่า ปัญญาเทียบเคียง พินิจ พิจารณา ทำให้เห็นแจ่มแจ้งว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ไม่เที่ยงเพราะอรรถว่าสิ้นไป เป็นทุกข์เพราะอรรถว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นอนัตตาเพราะอรรถว่าไม่มีแก่นสาร แล้วแล่นไปในนิพพานเป็นที่ดับชราและมรณะไว ชื่อว่า ชวนปัญญา เพราะอรรถว่า ปัญญาเทียบเคียง พินิจ พิจารณา ทำให้แจ่มแจ้งว่า รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นของไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา แล้วแล่นไปในนิพพานเป็นที่ดับรูปไว ชื่อว่า ชวนปัญญา เพราะอรรถว่า ปัญญาเทียบเคียง พินิจ พิจารณา ทำให้แจ่มแจ้งว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นของไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา แล้วแล่นไปในนิพพานอันเป็นที่ดับชราและมรณะไว นี้เป็นชวนปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่นไป.

[๖๗๖] ติกขปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาคมกล้า เป็นไฉน.

ชื่อว่า ติกขปัญญา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ทำลายกิเลสได้ไว ไม่รับไว้ ย่อมละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีต่อไป ซึ่งกามวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับไว้ ฯ ซึ่งพยาบาทวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับไว้ ฯ ซึ่งวิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับไว้ ฯ ซึ่งอกุศลธรรมอันลามก

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 673

ที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับไว้ ฯ ซึ่งราคะที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่รับไว้ ย่อมละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีต่อไป ซึ่งโทสะ ฯ โมหะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง ฯ กรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวงที่เกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่า ติกขปัญญา เพราะอรรถว่า ปัญญาเป็นเครื่องให้บุคคลได้บรรลุ ทำให้แจ้ง ถูกต้องอริยมรรค ๔ สามัญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ ณ อาสนะเดียว นี้เป็นติกขปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาคมกล้า.

[๖๗๗] นิพเพธิกปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเครื่องทำลายกิเลส เป็นไฉน.

บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มากไปด้วยความสะดุ้ง ความหวาดเสียว ความเบื่อหน่าย ความระอา ความไม่พอใจ เบือนหน้าออก ไม่ยินดีในสังขารทั้งปวง ย่อมเบื่อหน่าย ทำลายกองโลภะ กองโทสะ กองโมหะ ที่ไม่เคยเบื่อหน่าย ที่ไม่เคยทำลาย ย่อมเบื่อหน่าย ทำลายโกธะ ฯ อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง อภิสังขารทั้งปวง ฯ กรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่ภพทั้งปวง ที่ไม่เคยเบื่อหน่าย ไม่เคยทำลายด้วยปัญญา เพราะเหตุนั้น ปัญญานั้นๆ จึงชื่อว่า นิพเพธิกปัญญา นี้เป็นนิพเพธิกปัญญา ในคำว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเครื่องทำลายกิเลส.

นี้ปัญญา ๑๖ ประการ.

[๖๗๘] บุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญา ๑๖ ประการนี้ เป็นผู้บรรลุปฏิสัมภิทา บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ คือผู้หนึ่งถึงพร้อมด้วยความเพียร

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 674

มาก่อน ผู้หนึ่งไม่ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อน ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อน เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อน และมีญาณแตกฉาน.

บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนก็มี ๒ คือผู้หนึ่งเป็นพหูสูต ผู้หนึ่งไม่เป็นพหูสูต ผู้เป็นพหูสูตเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่เป็นพหูสูต และมีญาณแตกฉาน.

บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ แม้ผู้เป็นพหูสูตก็มี ๒ คือผู้หนึ่งมากด้วยเทศนา ผู้หนึ่งไม่มากด้วยเทศนา ผู้มากด้วยเทศนา เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ ไม่มากด้วยเทศนา และมีญาณแตกฉาน.

บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ และผู้มากด้วยเทศนาก็มี ๒ คือผู้หนึ่งอาศัยครู ผู้หนึ่งไม่อาศัยครู ผู้อาศัยครูเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่อาศัยครู และมีญาณแตกฉาน.

บุคคล ผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ และผู้อาศัยครูก็มี ๒ คือผู้หนึ่งมีวิหารธรรมมาก ผู้หนึ่งไม่มีวิหารธรรมมาก ผู้มีวิหารธรรมมาก เป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่มีวิหารธรรมมาก และมีญาณแตกฉาน.

บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ และผู้มีวิหารธรรมก็มี ๒ คือผู้หนึ่งมีความพิจารณามาก ผู้หนึ่งไม่มีความพิจารณามาก ผู้มีความพิจารณามากเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่มีความพิจารณามาก และมีญาณแตกฉาน.

บุคคลบรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมีก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูต

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 675

มี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ ผู้มีวิหารธรรมมากมี ๒ และผู้มีความพิจารณามากก็มี ๒ คือผู้หนึ่งเป็นพระเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา ผู้หนึ่งเป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา ผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทาเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้เป็นพระเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา และมีญาณแตกฉาน.

บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ ผู้มีวิหารธรรมมากมี ๒ ผู้มีความพิจารณามากมี ๒ และผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทาก็มี ๒ คือผู้หนึ่งบรรลุถึงสาวกบารมี ผู้หนึ่งไม่บรรลุถึงสาวกบารมี ผู้บรรลุถึงสาวกบารมีเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้ไม่บรรลุถึงสาวกบารมี และมีญาณแตกฉาน.

บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทามี ๒ ดังนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทาผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรมาก่อนมี ๒ ผู้เป็นพหูสูตมี ๒ ผู้มากด้วยเทศนามี ๒ ผู้อาศัยครูมี ๒ ผู้มีวิหารธรรมมากมี ๒ ผู้มีความพิจารณามากมี ๒ และผู้เป็นพระอเสขะบรรลุปฏิสัมภิทาก็มี ๒ คือผู้หนึ่งบรรลุถึงสาวกบารมี ผู้หนึ่งเป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่ง วิเศษกว่าผู้บรรลุถึงสาวกบารมี และมีญาณแตกฉาน.

เมื่อเทียบกับพระปัจเจกพุทธเจ้า และโลกพร้อมทั้งเทวโลกดังนี้ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เลิศ ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา ทรงเป็นผู้ฉลาดในประเภทแห่งปัญญา มีพระญาณแตกฉาน ทรงได้ปฏิสัมภิทา ทรงบรรลุถึงเวสารัชชญาณ ทรงพละ ๑๐ ทรงเป็นบุรุษองอาจ ทรงเป็นบุรุษสีหะ ฯ บรรดากษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สมณะผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญาละเอียด แต่งวาทะโต้ตอบ มีปัญญาเปรียบด้วยนายขมังธนูผู้สามารถยิงขนทราย เที่ยวทำลายปัญญาและทิฏฐิด้วย

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 676

ปัญญา บัณฑิตเหล่านั้นแต่งปัญหาแล้ว พากันเข้ามาหาพระตถาคต ถามปัญหาทั้งลี้ลับและเปิดเผย ปัญหาเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกและทรงแก้แล้ว มีเหตุที่ทรงแสดงไขให้เห็นชัด ก็บัณฑิตเหล่านั้นเข้าไปใกล้ ย่อมปรากฏแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ความจริงพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงรุ่งเรืองยิ่งด้วยพระปัญญาในที่นั้น เพราะทรงแก้ปัญหาเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเป็นผู้เลิศ ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา ฉะนี้แล.

จบมหาปัญญากถา

อรรถกถาปัญญาวรรค

อรรถกถามหาปัญญากถา

บัดนี้ จะพรรณนาตามความที่ยังไม่พรรณนาแห่งปัญญากถา อันพระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ในลำดับแห่งสุญญกถาอันเป็นปทัฏฐานแห่งปัญญาโดยพิเศษ.

ตอนต้นในปัญญากถานั้น ปัญญา ๗ ประการ มีอนุปัสสนาหนึ่งๆ ในอนุปัสสนา ๗ เป็นมูล พระสารีบุตรเถระชี้แจงทำคำถามให้เป็นเบื้องต้นก่อน ปัญญา ๓ มีอนุปัสสนา ๗ เป็นมูล และมีปัญญาเพิ่มขึ้นอย่างหนึ่งๆ เป็นมูล พระสารีบุตรเถระชี้แจงไม่ทำคำถาม ท่านชี้แจงความบริบูรณ์ของปัญญา ๑๐ แต่ต้นด้วยประการฉะนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในอนุปัสสนาเหล่านั้น ดังต่อไปนี้.

เพราะอนิจจานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นเป็นของไม่เที่ยง) แล่นไปในสังขารที่เห็นแล้ว

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 677

โดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ และโดยความเป็นอนัตตาว่า สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ฉะนั้น อนิจจานุปัสสนานั้น ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังชวนปัญญา (ปัญญาแล่นไป) ให้บริบูรณ์ จริงอยู่ ปัญญานั้นชื่อว่า ชวนะ เพราะแล่นไปในวิสัยของตน ชื่อว่า ชวนปัญญา เพราะปัญญานั้นแล่นไป.

ทุกขานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นเป็นทุกข์) มีกำลังเพราะอาศัยสมาธินทรีย์ ย่อมชำแรก ย่อมทำลายปณิธิ เพราะฉะนั้น ทุกขานุปัสสนา ย่อมยังนิพเพธิกปัญญา (ปัญญาทำลายกิเลส) ให้บริบูรณ์ ( นิพฺเพธิกปญฺญํ ปริปูเรติ ) จริงอยู่ ปัญญานั้นชื่อว่า นิพฺเพธิกะ เพราะทำลายกิเลส ชื่อว่า นิพฺเพธิกปฺา เพราะปัญญานั้นทำลายกิเลส.

อนัตตานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นว่าเป็นอนัตตา) ย่อมยังมหาปัญญา (ปัญญามาก) ให้บริบูรณ์ ( มหาปญฺญํ ปริปูเรติ ) เพราะการถึงความเจริญด้วยเห็นความเป็นของสูญเป็นการถึงความยิ่งใหญ่ จริงอยู่ ปัญญานั้นชื่อว่า มหาปญฺา ปัญญาใหญ่เพราะถึงความเจริญ.

เพราะนิพพิทานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความเบื่อหน่าย) เป็นปัญญาคมกล้าสามารถเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง เพราะความที่อนุปัสสนา ๓ นั่นแหละ เป็นที่ตั้งของการมีกำลังด้วยอาเสวนะแม้แต่ก่อน ฉะนั้น นิพพิทานุปัสสนาย่อมยังติกขปัญญา (ปัญญาคมกล้า) ให้บริบูรณ์ ( ติกฺขปญฺญํ ปริปูเรติ ).

เพราะแม้วิราคานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความคลายกำหนัด) ก็เป็นปัญญากว้างขวางสามารถคลายกำหนัดจากสังขารทั้งปวง เพราะอนุปัสสนา ๓ นั่นแหละ เป็นที่ตั้งอันเจริญกว่าการมีกำลังด้วยอาเสวนะแม้แต่ก่อน ฉะนั้น วิราคานุปัสสนาย่อมยังวิปุลปัญญา (ปัญญากว้างขวาง) ให้บริบูรณ์ ( วิปุลปญฺญํ ปริปูเรติ ).

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 678

เพราะแม้นิโรธานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นความดับ) ก็เป็นปัญญาลึกซึ้ง สามารถเห็นความดับทั้งปวงด้วยลักษณะของความเสื่อม เพราะอนุปัสสนา ๓ นั่นแหละเป็นที่ตั้งอันเจริญกว่าการมีกำลังด้วยอเสวนะแม้แต่ก่อน ฉะนั้น นิโรธานุปัสสนาย่อมยังคัมภีรปัญญา (ปัญญาลึกซึ้ง) ให้บริบูรณ์ ( คมฺภีรปญฺญํ ปริปูเรติ ) จริงอยู่ นิโรธชื่อว่า คมฺภีโร (ลึกซึ้ง) เพราะไม่ได้ตั้งอยู่ด้วยปัญญาอันตื้นๆ แม้ปัญญาที่ถึงความหยั่งลงในความลึกซึ้งนั้น ก็ชื่อว่า ลึกซึ้ง.

เพราะแม้ปฏินิสสัคคานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นการสละคืน) เป็นปัญญาไม่ใกล้สามารถสละคืนสังขารทั้งปวงด้วยลักษณะแห่งความเสื่อม เพราะอนุปัสสนา ๓ นั่นแหละเป็นที่ตั้งอันเจริญกว่าการมีกำลังด้วยอเสวนะแม้แต่ต้น เพราะพุทธิย่อมอยู่ไกลกว่าปัญญา ๖ เพราะยังไม่ถึงชั้นยอด ฉะนั้น ปฏินิสสัคคานุปัสสนาย่อมยังอสามันตปัญญา (ปัญญาไม่ใกล้) ให้บริบูรณ์ ( อสามนฺตปญฺญํ ปริปูเรติ ) เพราะไม่ใกล้เอง จริงอยู่ อสามันตปัญญานั้นชื่อว่า อสามนฺตา เพราะไกลจากปัญญาเบื้องต่ำ ชื่อว่า อสามนฺตปญฺา เพราะเป็นปัญญาไม่ใกล้.

บทว่า ปณฺฑิจฺจํ ปูเรนฺติ คือย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์ เพราะปัญญา ๗ ตามที่กล่าวแล้ว ผู้เจริญให้บริบูรณ์แล้ว ถึงลักษณะของบัณฑิต เป็นบัณฑิตด้วยสังขารุเปกขาญาณ อนุโลมญาณ และโคตรภูญาณ กล่าวคือวุฏฐานคามินีวิปัสสนาอันถึงยอด เป็นผู้ประกอบด้วยความเป็นบัณฑิต ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปณฺทิจฺจํ ปูเรนฺติ ย่อมยังความเป็นบัณฑิตให้บริบูรณ์.

บทว่า อฏฺ ปญฺา (ปัญญา ๘ ประการ) คือปัญญา ๘ ประการทั้งปวงพร้อมด้วยปัญญา คือความเป็นบัณฑิต.

บทว่า ปุถุปญฺํ ปริปูเรนฺติ คือย่อมยังปุถุปัญญา (ปัญญาแน่นหนา) ให้บริบูรณ์ เพราะบัณฑิตนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยความเป็นบัณฑิตนั้น กระทำนิพพานในลำดับ (ต่อจาก) โคตรภูญาณให้เป็นอารมณ์ ย่อมบรรลุปัญญา

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 679

คือมรรคผล ที่กล่าวว่า ปุถุปญฺา เพราะปัญญาบรรลุความเป็นโลกุตระแน่นหนากว่าโลกิยะ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญา ๘ ประการ ย่อมยังปุถุปัญญาให้บริบูรณ์.

พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า อิมา นว ปญฺา (ปัญญา ๙ ประการนี้) ดังต่อไปนี้.

การพิจารณา ๕ ประการ ย่อมเป็นไปแก่พระอริยบุคคลนั้น ผู้บรรลุมรรคและผลตามลำดับ ผู้มีจิตสันดานเป็นไปด้วยอาการร่าเริง เพราะมีจิตสันดานประณีต ด้วยการประกอบโลกุตรธรรมอันประณีต ผู้ออกจากภวังค์หยั่งลงในลำดับเเห่งผล การพิจารณาผลของพระอริยบุคคล ผู้หยั่งลงสู่ภวังค์แล้วออกจากภวังค์นั้น การพิจารณากิเลสที่ละได้แล้วโดยนัยนี้แหละ การพิจารณากิเลสที่เหลืออยู่ การพิจารณานิพพาน การพิจารณา ๕ ประการ ย่อมเป็นไปด้วยประการดังนี้แล.

ในการพิจารณาเหล่านั้น การพิจารณามรรค และการพิจารณาผล เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทาอย่างไร.

ท่านคล้อยตามบาลีในอภิธรรม แล้วกล่าวไว้ในอรรถกถานั้นว่า ธรรม ๕ ประการเหล่านี้ คือธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑ นิพพาน ๑ อรรถเเห่งภาษิต ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ เป็นอรรถ มรรคญาณและผลญาณอันมีนิพพานนั้นเป็นอารมณ์ เพราะพระนิพพานเป็นอรรถ จึงเป็น อรรถปฏิสัมภิทา เพราะพระดำรัสว่า ญาณในอรรถทั้งหลาย เป็นอรรถปฏิสัมภิทา ปัจจเวกขณญาณแห่งมรรคญาณและผลญาณ อันเป็นอรรถปฏิสัมภิทานั้น เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา เพราะพระดำรัสว่า ญาณในญาณทั้งหลาย เป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัจจเวกขณญาณนั้นชื่อว่า หาสปัญญา (ปัญญาร่าเริง) แห่งจิตสันดานอันเป็นไปด้วยอาการร่าเริง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญา ๙ ประการ ย่อมยังหาสปัญญาให้บริบูรณ์ ( นว ปญฺญา หาสปญฺํ ปริปูเรนฺติ ) และหาสปัญญาเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา ( หาสปญฺา ปฏิภาณปฏิสมฺภิทา ).

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 680

ปัญญาแม้มีประการทั้งปวง ชื่อว่า ปญฺา เพราะอรรถว่า ให้รู้ กล่าวคือทำเนื้อความนั้นๆ ให้ปรากฏ ชื่อว่า ปญฺา เพราะรู้ธรรมทั้งหลายโดยประการนั้นๆ.

บทว่า ตสฺส (อันบุคคลนั้น) คืออันพระอริยบุคคลมีประการดังกล่าวแล้วนั้น บทนั้นเป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ.

บทว่า อตฺถววตฺถานโต (โดยการกำหนดอรรถ) คือโดยกำหนดอรรถ ๕ อย่างตามที่กล่าวแล้ว อนึ่ง ท่านก็กล่าวไว้ในสมณกรณียกถา (กถาอันสมณะพึงกระทำ) ว่า ญาณอันมีประเภทเป็นที่สุด ส่วนที่ ๑ (อย่างแรก) ใน ๕ ประเภทในอรรถ คือเหตุผล ๑ นิพพาน ๑ อรรถแห่งคำ ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑.

บทว่า อธิคตา โหติ (อันบุคคลบรรลุแล้ว) คือได้แล้ว ปฏิสัมภิทานั้นแหละ อันบุคคลทำให้แจ้งแล้วด้วยการทำให้แจ้งการได้เฉพาะ ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ด้วยผัสสะที่ได้เฉพาะนั่นแหละ.

บทว่า ธมฺมววตฺถานโต (โดยกำหนดธรรม) คือโดยกำหนดธรรม ๕ อย่าง ที่ท่านกล่าวโดยทำนองแห่งบาลีในอภิธรรมว่า ธรรม ๕ อย่างเหล่านี้ คือเหตุอันยังผลให้เกิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑ อริยมรรค ๑ ภาษิต ๑ กุศล ๑ อกุศล ๑ ชื่อว่า ธรรม แม้บทนี้ท่านก็กล่าวไว้ในสมณกรณียกถาว่า ญาณอันมีประเภทเป็นที่สุด ส่วนที่ ๒ ใน ๕ ประเภทในธรรม คือเหตุ ๑ อริยมรรค ๑ คำพูด ๑ กุศล ๑ อกุศล ๑.

บทว่า นิรุตฺติววตฺถานโต (โดยการกำหนดนิรุตติ) คือโดยการกำหนดนิรุตติอันสมควรแก่อรรถนั้นๆ.

บทว่า ปฏิภาณววตฺถานโต (โดยการกำหนดปฏิภาณ) คือโดยการกำหนดปฏิสัมภิทาญาณ ๓ อันได้แก่ ปฏิภาณ.

บทว่า ตสฺสิมา ตัดบทเป็น ตสฺส อิมา นี้เป็นคำสรุป.

พระสารีบุตรเถระครั้นแสดงคุณวิเศษของอนุปัสสนาทั้งหลายด้วยการสงเคราะห์เข้าด้วยกันทั้งหมดอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงด้วยประเภทแห่งวัตถุ

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 681

จึงกล่าวคำมีอาทิว่า รูเป อนิจฺจานุปสฺสนา (การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป) บทนั้นมีความดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.

พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงชวนปัญญาด้วยสามารถแห่งอดีต อนาคตและปัจจุบันในรูปเป็นต้น จึงตั้งคำถามด้วยอำนาจรูปเป็นต้นอย่างเดียว และด้วยอำนาจรูปในอดีต อนาคตและปัจจุบัน แล้วได้แก้ไปตามลำดับของคำถาม ในชวนปัญญานั้น ปัญญาที่ท่านชี้แจงไว้ก่อนในการแก้รูปล้วนๆ เป็นต้น เป็นชวนปัญญา ด้วยสามารถแห่งการแล่นไปในอดีตเป็นต้นในการแก้ทั้งหมด อันมีรูปในอดีต อนาคตและปัจจุบันเป็นมูล.

พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงประเภทแห่งปัญญาอันมีพระสูตรไม่น้อยเป็นเบื้องต้นอีก จึงแสดงพระสูตรทั้งหลายก่อน.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สปฺปุริสสํเสโว (การคบสัตบุรุษ) คือการคบสัตบุรุษทั้งหลายมีประการดังกล่าวแล้วในหนหลัง.

บทว่า สทฺธมฺมสฺสวนํ (การฟังพระสัทธรรม) คือฟังคำสอนแสดงข้อปฏิบัติมีศีลเป็นต้น ในสำนักของสัตบุรุษทั้งหลายเหล่านั้น.

บทว่า โยนิโสมนสิกาโร (การทำไว้ในใจโดยแยบคาย) คือทำไว้ในใจโดยอุบายด้วยการพิจารณาอรรถแห่งธรรมที่ฟังแล้ว.

บทว่า ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) คือปฏิบัติธรรมอันเป็นข้อปฏิบัติมีศีลเป็นต้น อันเนื่องใน (มุ่งต่อ) โลกุตรธรรม.

คำ ๔ เหล่านั้น คือ ปญฺาปฏิลาภาย (เพื่อได้ปัญญา) ๑ ปญฺาวุทฺธิยา (เพื่อความเจริญแห่งปัญญา) ๑ ปญฺาเวปุลฺลาย (เพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา) ๑ ปญฺาพาหุลฺลาย (เพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก) ๑ เป็นคำแสดงภาวะด้วยอำนาจแห่งปัญญา.

คำ ๑๒ คำที่เหลือ เป็นคำแสดงภาวะด้วยอำนาจแห่งบุคคล.

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 682

อรรถกถาโสฬสปัญญานิเทศ

พึงทราบวินิจฉัยในสุตตันตนิเทศดังต่อไปนี้.

บทว่า ฉนฺนํ อภิญฺานํ (อภิญญา ๖) คืออิทธิวิธ (แสดงฤทธิได้) ๑ ทิพยโสต (หูทิพย์) ๑ เจโตปริยญาณ (รู้จักกำหนดใจผู้อื่น) ๑ ปุพเพนิวาสญาณ (ระลึกชาติได้) ๑ ทิพยจักขุ (ตาทิพย์) ๑ อาสวักขยญาณ (รู้จักทำอาสวะให้สิ้น) ๑.

บทว่า เตสตฺตตีนํ าณานํ (ญาณ ๗๓) คือญาณทั่วไปแก่สาวกที่ท่านชี้แจงไว้แล้วในญาณกถา.

ในบทว่า สุตฺตสตฺตตีนํ าณานํ (ญาณ ๗๗) มีพระบาลีว่า ดังนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงญาณวัตถุ ๗๗ อย่าง แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจไว้ให้ดี เราจักกล่าว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ญาณวัตถุ ๗๗ เป็นไฉน.

ญาณว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ญาณว่า เมื่อไม่มีชาติ ชราและมรณะก็ไม่มี ญาณว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยแม้ในอดีตกาล ก็มีชราและมรณะ ญาณว่า เมื่อไม่มีชาติ ชราและมรณะก็ไม่มี ญาณว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยแม้ในกาลอนาคต ก็มีชราและมรณะ ญาณว่า เมื่อไม่มีชาติ ชราและมรณะก็ไม่มี ญาณว่า ธัมมัฏฐิติญาณมีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความสำรอกกิเลสเป็นธรรมดา มีความดับเป็นธรรมดา ญาณว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ฯ.

ญาณว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ญาณว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ญาณว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ญาณว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ญาณว่า เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ญาณว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ญาณว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ญาณว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ญาณว่า เพราะอวิชชา

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 683

เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ญาณว่า เมื่อไม่มีอวิชชา สังขารก็ไม่มี ญาณว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย แม้ในกาลเป็นอดีตก็มีสังขาร ญาณว่า เมื่อไม่มีอวิชชา สังขารก็ไม่มี ญาณว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย แม้ในกาลอนาคตก็มีสังขาร ญาณว่า เมื่อไม่มีอวิชชา สังขารก็ไม่มี ญาณว่า ธัมมัฏฐิติญาณมีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความสำรอกกิเลสเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวญาณวัตถุ ๗๗ อย่างเหล่านี้ ญาณ ๗๗ อย่าง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในนิทานวรรคด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง ญาณวัตถุ ๔๔ อย่าง ที่พระองค์กล่าวอย่างละ ๔ ในองค์ ๑๑ โดยนัยนี้ว่า ญาณในชราและมรณะ ญาณในเหตุเกิดชราและมรณะ ญาณในความดับชราและมรณะ ญาณในปฏิปทาให้ถึงความดับชราและมรณะ มิได้ถือเอาในที่นี้ อนึ่ง ญาณ ในทั้งสองแห่งนั้น เป็นวัตถุแห่งประโยชน์เกื้อกูลและความสุข จึงชื่อว่า ญาณวัตถุ.

การได้ในบทมีอาทิว่า ลาโภ (การได้) ท่านกล่าวว่า ปฏิลาโภ (การได้เฉพาะ) เพราะเพิ่มอุปสรรคทำให้วิเศษ.

เพื่อขยายความแห่งบทนั้นอีก ท่านจึงกล่าวว่า ปตฺติ สมฺปตฺติ (การถึง การถึงพร้อม).

บทว่า ผสฺสนา (การถูกต้อง) คือการถูกต้องด้วยการบรรลุ.

บทว่า สจฺฉิกิริยา (การทำให้แจ้ง) คือการทำให้แจ้งด้วยการได้เฉพาะ.

บทว่า อุปสมฺปทา (การเข้าถึงพร้อม) คือการให้สำเร็จ.

บทว่า สตฺตนฺนญฺจ เสกฺขานํ (พระเสกขะ ๗ จำพวก) คือของพระเสกขะ ๗ จำพวก มีท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ซึ่งรู้กันว่า เป็นพระเสกขะเพราะยังต้องศึกษาสิกขา ๓.

บทว่า ปุถุชฺชนกลฺยาณกสฺส (ของกัลยาณปุถุชน) คือของปุถุชนที่รู้กันว่า เป็นคนดี โดยอรรถว่า เป็นผู้ดี เพราะประกอบปฏิปทาอันยังสัตว์ให้ถึงนิพพาน.

บทว่า วฑฺฒิตวฑฺฒนา (นี้เป็นความเจริญที่เจริญแล้ว) คือเป็นเหตุให้ความเจริญเจริญ

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 684

ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา ด้วยอำนาจแห่งปัญญา ๘ ตามที่กล่าวแล้ว และด้วยอำนาจแห่งปัญญาของพระอรหันต์โดยพิเศษ ย่อมเป็นไปเพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา ( ปฺญญาเวปุล์ลาย ) ก็เหมือนกัน.

ในบทมีอาทิว่า มหนฺเต อตฺเถ ปริคฺคณฺหาติ (ย่อมกำหนดอรรถใหญ่) มีความดังต่อไปนี้ พระอริยสาวกผู้บรรลุปฏิสัมภิทาย่อมกำหนดอรรถเป็นต้นด้วยทำให้เป็นอารมณ์ มหาปัญญาแม้ทั้งหมดก็เป็นของพระอริยสาวกทั้งหลายนั่นแหละ อนึ่ง มหาปัญญาเป็นวิสัยแห่งปัญญานั้น มีความดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ.

นานา ศัพท์ในบทมีอาทิว่า ปุถุนานาขนฺเธสุ (ในขันธ์ต่างๆ มาก) เป็นคำกล่าวถึงอรรถแห่ง ปุถุ ศัพท์.

บทว่า าณํ ปวตฺตตีติ ปุถุปญฺา (ชื่อว่า ปุถุปัญญา เพราะญาณเป็นไป) ความว่า ญาณนั้น ชื่อว่า ปุถุปัญญา (ปัญญาหนา) เพราะญาณเป็นไปในขันธ์เป็นต้นตามที่กล่าวแล้วนั่น.

บทว่า นานาปฏิจฺจสมุปฺปาเทสุ (ในปฏิจจสมุปบาทต่างๆ) ท่านกล่าวเพราะเป็นปัจจัยมากด้วยอำนาจแห่งธรรมอาศัยกันเกิดขึ้น.

บทว่า นานาสุญฺตมนุลพฺเภสุ (ในความได้เนืองๆ ซึ่งความสูญต่างๆ) คือการเข้าไปได้ชื่อว่า อุปลัพภะ อธิบายว่า การถือเอา การไม่เข้าไปได้ ชื่อว่า อนุปลัพภะ เพราะการไม่เข้าไปได้มีมาก ชื่อว่า อนุปลัพภา เป็นพหุวจนะ อีกอย่างหนึ่ง การไม่เข้าไปได้ซึ่งตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนในความสูญต่างๆ ด้วยสุญญตา ๒๕ ชื่อว่า นานาสุญญตานุปลัพภา (ความไม่เข้าไปได้ซึ่งความสูญต่างๆ) นั้น เมื่อควรจะกล่าวว่า นานาสุญฺตามนุปลพฺเภสุ ท่านกล่าว อักษรด้วยบทสนธิ ดุจในบทว่า อทุกฺขมสุขา (ไม่ทุกข์ไม่สุข) ปัญญา ๕ อย่างเหล่านี้ ทั่วไปด้วยกัลยาณปุถุชน

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 685

ปัญญาในบทมีอาทิว่า นานาอตฺถา (อรรถต่างๆ) ทั่วไปแก่พระอริยเจ้าเท่านั้น.

บทว่า ปุถุชฺชนสาธารเณ ธมฺเม (ในธรรมทั่วไปแก่ปุถุชน) คือโลกิยธรรม ท่านกล่าวว่า ชื่อว่า ปุถุชนปัญญา เพราะปัญญาหนา เพราะมีนิพพานอันเป็นของใหญ่เป็นอารมณ์ และเป็นปัญญาแยกตัวจากโลกิยะโดยปริยายในที่สุดนี้.

บทว่า วิปุลปญฺา พึงทราบโดยนัยแห่งมหาปัญญา พึงทราบความที่ธรรมและปัญญากว้างขวาง เมื่อกำหนดธรรมตามที่กล่าวแล้วเป็นผู้มีคุณใหญ่ เพราะปัญญากำหนดธรรมเหล่านั้นใหญ่ และเพราะความยิ่งใหญ่ด้วยตนเองนั่นแหละ.

คัมภีรปัญญา พึงทราบโดยนัยแห่งปุถุปัญญา ธรรมเหล่านั้น อันไม่พึงได้ และปัญญานั้น ชื่อว่า คัมภีรา (ลึกซึ้ง) เพราะปกติชนไม่พึงได้.

บทว่า ยสฺส ปุคฺคลสฺส (อันบุคคลใด) คืออันพระอริยบุคคลนั่นแหละ.

บทว่า อญฺโ โกจิ (ใครอื่น) คือปุถุชน.

บทว่า อภิสมฺภวิตุํ (เพื่อครอบงำได้ จะเทียบทัน) คือเพื่อถึงพร้อมได้ (เพื่อตามทันได้).

บทว่า อนภิสมฺภวนีโย (อันใครๆ ครอบงำไม่ได้ อันใครๆ เทียบทันไม่ได้) คืออันใครๆ ไม่สามารถบรรลุได้ (อันใครๆ ไม่สามารถตามทันได้).

บทว่า อญฺเหิ (อื่น) คือปุถุชนนั่นแหละ.

บทว่า อฏฺมกสฺส (ของบุคคลที่ ๘) คือของท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาบัติมรรค เป็นบุคคลที่ ๘ นับตั้งแต่ท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตผล.

บทว่า ทูเร (ห่าง) คือในที่ไกล.

บทว่า วิทูเร (ไกล) คือไกลเป็นพิเศษ.

บทว่า สุวิทูเร (แสนไกล) คือไกลแสนไกล.

บทว่า น สนฺติเก คือไม่ใกล้.

บทว่า น สามนฺตา (ไม่ชิด) คือในส่วนไม่ใกล้. คำประกอบ คำปฏิเสธทั้งสองนี้ กำหนดถึงความไกลนั่นเอง.

บทว่า อุปาทาย (เมื่อเทียบ) คืออาศัย

บทว่า โสตาปนฺนสฺส (ของพระโสดาบัน) คือท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวว่า มรรคปัญญานั้นๆ ห่างไกลจากผลปัญญานั้นๆ.

บทว่า ปจฺเจกสมฺพุทฺโธ (พระปัจเจกพุทธเจ้า) แปลกกันด้วยอุปสรรค ทั้งสองบทนี้ บ่งถึงผู้บริสุทธิ์เหมือนกัน.

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 686

พระสารีบุตรเถระครั้นกล่าวคำมีอาทิว่า ปัญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้าและชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก ห่างไกลจากปัญญาของพระตถาคต แล้วประสงค์จะแสดงปัญญาอันตั้งอยู่ไกลนั้นโดยประการไม่น้อย จึงกล่าวบทมีอาทิว่า ปญฺาปเภทกุสโล (พระตถาคตทรงเป็นผู้ฉลาดในประเภทแห่งปัญญา) ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺาปเภทกุสโล คือทรงฉลาดในประเภทแห่งปัญญาอันมีกำหนดมากมาย (อันมีกำหนดไม่มีที่สุด) ของพระองค์.

บทว่า ปภินฺนาโณ (ทรงมีญาณแตกฉาน) คือมีพระญาณถึงความแตกฉานหาที่สุดมิได้ ด้วยบทนี้ แม้เมื่อมีความฉลาดในประเภทแห่งปัญญา พระสารีบุตรเถระก็แสดงความที่ปัญญาเหล่านั้นมีประเภทหาที่สุดมิได้.

บทว่า อธิคตปฏิสมฺภิโท (ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา) คือทรงได้ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ อันเลิศ.

บทว่า จตุเวสารชฺชปฺปตฺโต (ทรงถึงเวสารัชชญาณ ๔) คือทรงถึงญาณ กล่าวคือความกล้าหาญ ๔ สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่พิจารณาเห็นนิมิตนั้นว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ธรรมเหล่านั้น สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกนี้ จักท้วงเราได้โดยชอบแก่เหตุในข้อนั้นว่า ท่านปฏิญญาว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ธรรมเหล่านี้ ท่านยังมิได้ตรัสรู้แล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรามิได้พิจารณาเห็นนิมิตนั้นเลย เป็นผู้ถึงความเกษม ถึงความไม่มีภัย ถึงความกล้าหาญอยู่.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่พิจารณาเห็นนิมิตนั้นว่า สมณะ พราหมณ์ ฯลฯ หรือใครๆ ในโลก จักท้วงเราได้โดยชอบแก่เหตุในข้อนั้นว่า ท่านปฏิญญาว่าเป็นขีณาสพ แต่อาสวะเหล่านี้ยังไม่สิ้นไป.

ว่า ท่านกล่าวธรรมเหล่าใดว่าทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่อาจทำอันตรายแก่ผู้ซ่องเสพได้จริง.

ว่า ธรรมที่ท่านแสดงแล้วเพื่อประโยชน์

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 687

แก่บุคคลใด ธรรมนั้นย่อมไม่นำออก เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่บุคคลผู้กระทำตามนั้นเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่เห็นนิมิตนั้นเลย จึงอยู่อย่างถึงความเกษม ถึงความไม่มีภัย ถึงความกล้าหาญ.

บทว่า ทสพลธารี (ทรงพละ ๑๐) ชื่อว่า ทสพละ เพราะมีพละ ๑๐ พละของท่านผู้มีพละ ๑๐ ชื่อว่า ทสพลพลานิ ชื่อว่า ทสพลพลธารี เพราะทรงพละของผู้มีพละ ๑๐ อธิบายว่า ทรงกำลังทศพลญาณ ด้วยคำทั้ง ๓ เหล่านี้ ท่านแสดงเพียงหัวข้อประเภทของเวไนยสัตว์อันมีประเภทมากมาย (ประเภทไม่มีที่สิ้นสุด).

พระตถาคตทรงเป็น บุรุษองอาจ ด้วยได้สมมติเป็นมงคลยิ่ง โดยประกอบด้วยปัญญา (ด้วยอรรถว่า ได้รับสมมติว่าเป็นมงคลยิ่งด้วยอำนาจประกอบด้วยปัญญา) ทรงเป็น บุรุษสีหะ ด้วยอรรถว่า ความไม่หวาดสะดุ้ง ทรงเป็น บุรุษนาค ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ ทรงเป็น บุรุษอาชาไนย ด้วยอรรถว่า เป็นผู้รู้ทั่ว ทรงเป็น บุรุษนำธุระไป ด้วยอรรถว่า นำกิจธุระของโลกไป.

ครั้งนั้น พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงคุณวิเศษที่ได้จากอนันตญาณ มีเดชเป็นต้น เพื่อจะแสดงความที่เดชเป็นต้นเหล่านั้นมีอนันตญาณเป็นราก (เป็นมูล) จึงกล่าว อนนฺตาโณ (ทรงมีพระญาณหาที่สุดมิได้) แล้วกล่าวบทมีอาทิว่า อนนฺตเตโช (ทรงมีเดชหาที่สุดมิได้).

ในบทเหล่านั้น บทว่า อนนฺตาโน คือทรงมีญาณปราศจากที่สุด ด้วยการคำนวณและด้วยความเป็นผู้มีอำนาจ (ด้วยอำนาจการนับและด้วยอำนาจกำลัง).

บทว่า อนนฺตเตโช ทรงมีพระเดชคือพระญาณหาที่สุดมิได้ ด้วยการกำจัดความมืด คือโมหะ ในสันดานของเวไนยสัตว์.

บทว่า อนนฺตยโส (ทรงมีพระยศหาที่สุดมิได้) คือทรงมีการประกาศเกียรติคุณหาที่สุดมิได้ แผ่ไป ๓ โลกด้วยพระปัญญาคุณ.

บทว่า อฑฺโฆ (ทรงเป็นผู้มั่งคั่ง) คือทรงเพียบพร้อมด้วยทรัพย์ คือปัญญา.

บทว่า มหทฺธโน (ทรงมีทรัพย์มาก) ชื่อว่า มหทฺธโน เพราะมีทรัพย์คือปัญญามากโดยความเป็นผู้มากด้วยอำนาจ แม้ในเพราะความเป็นผู้เจริญด้วยทรัพย์คือปัญญา ปาฐะว่า มหาธโน ดังนี้ก็มี.

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 688

บทว่า ธนวา (ทรงมีอริยทรัพย์) ชื่อว่า ธนวา เพราะมีทรัพย์คือปัญญาอันควรสรรเสริญ เพราะมีทรัพย์คือปัญญาอันประกอบอยู่เป็นนิจ เพราะมีทรัพย์คือปัญญาอันเป็นความยอดเยี่ยม ในอรรถทั้ง ๓ เหล่านี้ ผู้รู้ศัพท์ทั้งหลายย่อมปรารถนาคำนี้.

พระสารีบุตรเถระครั้นแสดงความสำเร็จในอัตตสมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยพระปัญญาคุณอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงความสำเร็จแห่งสมบัติอันเป็นประโยชน์แก่โลกด้วยพระปัญญาคุณอีก จึงกล่าวบทมีอาทิว่า เนตา (ทรงเป็นผู้นำ).

พึงทราบความในบทเหล่านั้นดังต่อไปนี้.

ทรงเป็นผู้นำเวไนยสัตว์ทั้งหลายไปสู่ฐานะอันเกษม คือนิพพาน จากฐานะอันน่ากลัว คือสงสาร ในเวลานำไปในนิพพานนั้น วิเนตา (ทรงเป็นผู้นำไปให้วิเศษ) ซึ่งเวไนยสัตว์ทั้งหลายด้วยอำนาจสังวรนัยและปหานวินัย.

ในเวลาทรงแนะนำ อนุเนตา (ทรงนำไปเนืองๆ) ด้วยการตัดความสงสัยในขณะทรงแสดงธรรม.

ทรงตัดความสงสัยแล้ว ปญฺญาเปตา (ทรงบัญญัติ) อรรถที่ควรให้รู้ (อรรถที่ควรบัญญัติ).

บทว่า นิชฺฌาเปตา (ทรงพินิจ) ด้วยทำการตัดสินข้อที่บัญญัติไว้อย่างนั้น.

บทว่า เปกฺขตา (ทรงเพ่ง) อรรถที่ทรงพินิจแล้วอย่างนั้น ด้วยการประกอบในการปฏิบัติ.

บทว่า ปสาเทตา ทรงให้หมู่สัตว์ (ผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนั้น) เลื่อมใส ด้วยผลของการปฏิบัติ.

หิ อักษรในบทนี้ว่า โส หิ ภควา (แท้จริงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น) เป็นนิบาตลงในการแสดงอ้างถึงเหตุแห่งอรรถที่กล่าวไว้แล้วในลำดับ.

บทว่า อนุปฺปนฺนสฺส มคฺคสฺส อุปฺปาเทตา (ทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น) คือยังอริยมรรคอันเป็นเหตุแห่งอสาธารณญาณ ๖ ซึ่งยังไม่เคยเกิดในสันดานของตน ให้เกิดขึ้นในสันดานของตน เพื่อประโยชน์แก่โลก ณ โคนต้นโพธิ์.

บทว่า อสญฺชาตสฺส มคฺคสฺส สญฺชาเนตา (ทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดพร้อมให้เกิดพร้อม) คือยังอริยมรรคอันเป็นเหตุแห่งสาวกปารมิญาณที่ยังไม่เคยเกิดพร้อมในสันดานของ

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 689

เวไนยสัตว์ ให้เกิดพร้อมในสันดานของเวไนยสัตว์ ตั้งแต่ทรงประกาศพระธรรมจักรจนตราบเท่าถึงทุกวันนี้ จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า สัญชาเนตา (ทรงให้เกิดพร้อม) เพราะทรงยังอริยมรรคให้เกิดพร้อมในสันดานของเวไนยผู้เป็นสาวกด้วยพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้นั่นแหละ.

บทว่า อนกฺขาตสฺส มคฺคสฺส อกฺขาตา (ตรัสบอกมรรคที่ยังไม่มีใครบอก) คือทรงให้คำพยากรณ์เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้สะสมบุญกุศลไว้เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยธรรม ๘ ประการแล้ว ทรงบอกมรรค คือการบำเพ็ญบารมีที่ยังไม่เคยบอก หรือทรงบอกอริยมรรคที่ควรให้เกิดขึ้น ณ โคนต้นโพธิ โดยเพียงพยากรณ์ว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า นัยนี้ย่อมได้แม้ในการพยากรณ์พระปัจเจกโพธิสัตว์เหมือนกัน.

บทว่า มคฺคญฺญู (ทรงรู้จักมรรค) คือทรงรู้อริยมรรคอันตนให้เกิดขึ้นด้วยการพิจารณา (ด้วยอำนาจปัจจเวกขณญาณ).

บทว่า มคฺควิทู (ทรงทราบมรรค) คือทรงฉลาดในอริยมรรคอันพึงให้เกิดขึ้นในสันดานของเวไนยสัตว์.

บทว่า มคฺคโกวิโท (ทรงฉลาดในมรรค) คือทรงเห็นแจ้งมรรคที่ควรบอกแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย.

อีกอย่างหนึ่ง ทรงรู้มรรคอันเป็นข้อปฏิบัติเพื่ออภิสัมโพธิ ทรงทราบมรรคอันเป็นข้อปฏิบัติเพื่อปัจเจกโพธิ ทรงฉลาดในมรรคอันเป็นข้อปฏิบัติเพื่อสาวกโพธิ.

อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์ทั้งหลายย่อมทำการประกอบอรรถตามลำดับ ด้วยอำนาจแห่งมรรคของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกในอดีต อนาคตและปัจจุบัน ด้วยอำนาจแห่งสุญญตมรรค อนิมิตตมรรค และอัปปณิหิตมรรค และด้วยอำนาจเเห่งมรรคของอุคฆฏิตัญญูบุคคล วิปจิตัญญูบุคคล และไนยบุคคล ตามควร เพราะบาลีว่า ด้วยมรรคนี้ สาวกทั้งหลายข้ามแล้วในก่อน จักข้าม ย่อมข้ามซึ่งโอฆะ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 690

บทว่า มคฺคานุคามี จ ปน (ก็และพระสาวกเป็นผู้ดำเนินไปตามมรรค) คือเป็นผู้ดำเนินไปตามมรรคที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำเนินไปแล้ว ศัพท์ในบทนี้เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งเหตุ ด้วยบทนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเหตุแห่งการบรรลุคุณมียังมรรคให้เกิดเป็นต้น ปน ศัพท์เป็นนิบาตลงในอรรถว่าทำแล้ว ด้วยบทนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงเหตุแห่งมรรคที่ทรงทำแล้ว.

บทว่า ปจฺฉา สมนฺนาคตา (พระสาวกที่จะมาภายหลัง) คือเมื่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปแล้วก่อน พระสาวกก็ประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้นตามหลังไป ด้วยเหตุดังนี้ เพราะคุณมีศีลเป็นต้นแม้ทั้งหมดของพระผู้มีพระภาคเจ้าอาศัยอรหัตมรรคนั่นแหละมาแล้วด้วยบทมีอาทิว่า ด้วยยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นดังนี้ ฉะนั้น พระเถระจึงกล่าวถึงคุณเพราะอาศัยอรหัตมรรคนั่นแหละ.

บทว่า ชานํ ชานาติ (พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงทราบ ก็ย่อมทรงทราบ) คือย่อมทรงทราบสิ่งที่ควรทรงทราบ อธิบายว่า ธรรมดาสิ่งที่ควรทราบด้วยปัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อพระสัพพัญญุตญาณยังมีอยู่ ย่อมทรงทราบสิ่งที่ควรทราบทั้งหมดนั้นอันเป็นทางแห่งข้อควรแนะนำ ๕ ประการด้วยปัญญา.

บทว่า ปสฺสํ ปสฺสติ (พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงเห็น ก็ย่อมทรงเห็น) คือทรงเห็นสิ่งที่ควรเห็น อธิบายว่า ทรงกระทำทางอันควรแนะนำนั้นแหละ ดุจเห็นด้วยจักษุเพราะเห็นทั้งหมด ชื่อว่า ย่อมเห็นด้วยปัญญาจักษุ หรือว่าพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้เป็นเหมือนคนบางพวกแม้ถือเอาสิ่งวิปริต รู้อยู่ก็ย่อมไม่รู้ แม้เห็นก็ย่อมไม่เห็น แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือตามสภาพที่เป็นจริง ทรงทราบก็ย่อมทรงทราบ ทรงเห็นก็ย่อมทรงเห็น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชื่อว่า จกฺขุภูโต (ทรงเป็นจักษุ) เพราะอรรถว่า ทรงเป็นผู้นําในการเห็น ชื่อว่า ญาณภูโต (ทรงเป็นญาณ) เพราะอรรถว่า มีความเป็นผู้ทรงรู้แจ้งเป็นต้น ชื่อว่า ธมฺมภูโต (ทรงเป็นธรรม)

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 691

เพราะอรรถว่า มีสภาพไม่วิปริต หรือสำเร็จด้วยธรรมที่พระองค์ทรงคิดด้วยพระทัย แล้วทรงเปล่งด้วยพระวาจา เพราะทรงชำนาญทางปริยัติธรรม ชื่อว่า พฺรหฺมภูโต (ทรงเป็นพรหม) เพราะอรรถว่า ทรงเป็นผู้ประเสริฐที่สุด.

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ทรงเป็นจักษุ เพราะทรงเป็นดุจจักษุ ชื่อว่า ทรงเป็นญาณ เพราะทรงเป็นดุจญาณ ชื่อว่า ทรงเป็นธรรม เพราะทรงเป็นดุจธรรม ชื่อว่า ทรงเป็นพรหม เพราะทรงเป็นดุจพรหม.

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชื่อว่า วตฺตา (ตรัสบอก) เพราะตรัสบอกพระธรรม หรือเพราะยังพระธรรมให้เป็นไป ชื่อว่า ปวตฺตา (ตรัสบอกทั่ว) เพราะตรัสบอกโดยประการต่างๆ หรือให้เป็นไปโดยประการต่างๆ ชื่อว่า อตฺถสฺส นินฺเนตา (ทรงนำอรรถออก) เพราะทรงนำอรรถออกแล้วจึงทรงแนะนำ ชื่อว่า อมตสฺสทาตา (ทรงประทานอมตธรรม) เพราะทรงแสดงข้อปฏิบัติเพื่อบรรลุอมตธรรม หรือเพราะทรงให้บรรลุอมตธรรมด้วยการแสดงธรรมประกาศอมตธรรม ชื่อว่า ธมฺมสฺสามี (ทรงเป็นธรรมสามี หรือทรงเป็นเจ้าของธรรม) เพราะทรงให้โลกุตรธรรมเกิด ด้วยการประทานโลกุตรธรรมตามความสุขโดยสมควรแก่เวไนยสัตว์ และทรงเป็นอิสระในธรรมทั้งหลาย (ทรงเป็นใหญ่ในธรรมทั้งหลาย) บทว่า ตถาคโต (เสด็จไปอย่างนั้น) มีอรรถดังได้กล่าวแล้วในหนหลัง.

บัดนี้ พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงคุณดังที่กล่าวแล้วด้วยบทมีอาทิว่า ชานํ ชานาติ (ย่อมทรงทราบสิ่งที่ควรทราบ) เมื่อทรงทราบก็ย่อมทรงให้วิเศษยิ่งขึ้นโดยความเป็น พระสัพพัญญุตญาณ เมื่อจะยังพระสัพพัญญุตญาณให้สำเร็จ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า นตฺถิ (มิได้มี) ดังนี้.

ชื่อว่าบทธรรมที่พระผู้มีพระภาญเจ้าพระองค์นั้นผู้ทรงเป็นอย่างนั้น อสจฺฉิกตํ (มิได้ทำให้แจ้ง) มิได้มี เพราะทรงกำจัดความหลงพร้อมด้วยวาสนาในธรรมทั้งปวง ด้วยอรหัตมรรคญาณอันสำเร็จด้วยอำนาจกำลังบุญที่ทรงบําพ็ญมาแล้ว.

ชื่อว่าบทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า อญฺญาตํ (ไม่ทรงทราบ) มิได้มี เพราะทรงทราบธรรมทั้งปวงโดยความไม่หลง.

ชื่อว่าบทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า อทิฏฺฐํ (มิได้ทรงเห็น)

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 692

มิได้มี เพราะธรรมทั้งปวงพระองค์ทรงเห็นด้วยญาณจักษุ ดุจทรงเห็นด้วยจักษุ.

อนึ่ง ชื่อว่าบทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า อวิทิตํ (ไม่ทรงทราบ) มิได้มี เพราะพระองค์ทรงบรรลุแล้วด้วยญาณ.

ชื่อว่าบทธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า อสจฺฉิกตํ (ไม่ทรงทำให้แจ้ง) มิได้มี เพราะพระองค์ทรงทำให้แจ้ง ด้วยการทำให้แจ้งด้วยการไม่หลง.

ชื่อว่าบทธรรมที่พระองค์ อผสฺสิตํ (ไม่ทรงถูกต้องด้วยปัญญา) มิได้มี เพราะพระองค์ทรงถูกต้องด้วยปัญญาอันไม่หลง.

บทว่า ปจฺจุปฺปนฺนํ (ปัจจุบัน) ได้แก่ กาลหรือธรรมเป็นปัจจุบัน.

บทว่า อุปาทาย (รวม) คือถือเองแล้ว ถือเอา ความว่า ทำไว้ในภายใน แม้นิพพานพ้นกาลไปแล้ว ท่านก็ถือเอาด้วยคำว่า อุปาทาย นั่นแหละ อนึ่ง คำว่า อตีต (ส่วนอดีต) ล่วงไปแล้วเป็นต้น ย่อมสืบเนื่อง (เชื่อม) กับคำมีอาทิ นตฺถิ (มิได้มี) หรือกับคำมีอาทิว่า สพฺเพ (ทั้งปวง).

บทว่า สพฺเพ ธมฺมา (ธรรมทั้งหลายทั้งปวง) รวมสังขตธรรมและอสังขตธรรมทั้งหมด.

บทว่า สพฺพากาเรน (โดยอาการทั้งปวง) คือรวมอาการทั้งปวงมีอาการไม่เที่ยงเป็นต้นแห่งธรรมอย่างหนึ่งๆ ในบรรดาธรรมทั้งหมด.

บทว่า าณมุเข (ในมุขคือพระญาณ) ได้แก่ ในเฉพาะหน้าคือพระญาณ (มุ่งหน้าเฉพาะพระญาณ).

บทว่า อาปาถํ อาคจฺฉติ (ย่อมมาสู่คลอง) คือย่อมถึงการรวมกัน (ย่อมถึงการรวมลง).

บทว่า ชานิตพฺพํ (ควรรู้) ท่านกล่าวเพื่อขยายความแห่งบทว่า เนยฺยํ (ควรแนะนำ).

วา ศัพท์ในบทมีอาทิว่า อตฺตตฺโถ วา (และประโยชน์ตน) เป็นสมุจจยัตถะ (ความรวมกัน).

บทว่า อตฺตตฺโถ (ประโยชน์ตน) คือประโยชน์ของตน.

บทว่า ปรตฺโถ (ประโยชน์ของผู้อื่น) คือประโยชน์ของโลก ๓ อื่น.

บทว่า อุภยตฺโถ (ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย) ได้แก่ ประโยชน์ของทั้ง ๒ ฝ่ายคราวเดียวกัน คือของตนและของคนอื่น.

บทว่า ทิฏฺธมฺมิโก (ประโยชน์ภพนี้) คือประโยชน์ประกอบในภพนี้ หรือประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ประกอบแล้วในภพหน้าหรือประโยชน์ในสัมปรายภพ ชื่อว่า สมฺปรายิโก (ประโยชน์ภพหน้า).

พึงทราบความในบทมีอาทิว่า อุตฺตาโน (ตื้น) ดังต่อไปนี้ ประโยชน์ที่พูดด้วยใช้โวหาร ชื่อว่า อุตฺตาโน (ประโยชน์ตื้น) เพราะเกิดได้ง่าย ประโยชน์ที่พูดเกินโวหาร

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 693

ปฏิสังยุตด้วยสุญญตา ชื่อว่า คมฺภีโร (ประโยชน์ลึก) เพราะเกิดได้ยาก ประโยชน์อันเป็นโลกุตระ ชื่อว่า คุฬฺโห (ประโยชน์ลับ) เพราะพูดอยู่แต่ภายนอกส่วนเดียว ประโยชน์มีความไม่เที่ยงเป็นต้น ชื่อว่า ปฏิจฺฉนฺโน (ประโยชน์ปกปิด) เพราะปกปิดด้วยฆนะ (ก้อน) เป็นต้น ประโยชน์ที่พูดโดยไม่ใช้โวหารมาก (พูดโดยใช้โวหารพิเศษ) ชื่อว่า เนยฺโย (ประโยชน์ที่ควรนำไป) เพราะไม่ถือเอาตามความพอใจ (ไม่ถือเอาเพียงคำพูด) อธิบายแล้วควรนำไปตามความประสงค์ ประโยชน์ที่พูดด้วยใช้โวหารทั่วไป ชื่อว่า นีโต (ประโยชน์ที่นำไปแล้ว) เพราะนำความประสงค์ไปโดยเพียงคำพูด (อธิบายเพียงคำพูดก็นำไปได้แล้ว) ประโยชน์คือศีล สมาธิและวิปัสสนาอันบริสุทธิ์ด้วยดี ชื่อว่า อนวชฺโช (ประโยชน์ไม่มีโทษ) เพราะปราศจากโทษด้วยตทังคะและวิกขัมภนะ ประโยชน์คืออริยมรรค ชื่อว่า นิกฺกิเลโส (ประโยชน์ไม่มีกิเลส) เพราะตัดกิเลสได้เด็ดขาด ประโยชน์คืออริยผล ชื่อว่า โวทาโน (ประโยชน์ผ่องแผ้ว) เพราะกิเลสสงบระงับ นิพพาน ชื่อว่า ปรมตฺโถ (ประโยชน์อย่างยิ่ง) เพราะนิพพานเป็นธรรมเลิศในสังขตธรรมและอสังขตธรรมทั้งหลาย.

บทว่า ปริวตฺตติ (ย่อมเป็นไป) คือแทรกซึมคลุกเคล้าโดยรอบย่อมเป็นไปโดยวิเศษในภายในพุทธญาณ เพราะไม่เป็นภายนอกจากความเป็นวิสัยแห่งพุทธญาณ.

พระสารีบุตรเถระย่อมแสดงความที่กายกรรมเป็นต้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำเร็จมาแต่พระญาณ ด้วยบทมีอาทิ สพฺพํ กายกมฺมํ (ตลอดกายกรรมทั้งปวง).

บทว่า าณานุปริวตฺตติ (พระญาณย่อมเป็นไปตลอด ย่อมเป็นไปคล้อยตามพระญาณ) ความว่า เป็นไปไม่ปราศจากพระญาณ.

บทว่า อปฺปฏิหิตํ (มิได้ขัดข้อง) ท่านแสดงถึงความที่ไม่มีอะไรกั้นไว้.

พระสารีบุตรเถระประสงค์จะยังพระสัพพัญญุตญาณให้สำเร็จด้วยอุปมาอีก จึงกล่าวบทมี อาทิว่า ยาวตกํ (มีเท่าใด) เนยยบทมีเท่าใด.

ในบทเหล่านั้น ชื่อว่า เนยฺยํ (เพราะควรรู้) ชื่อว่า เนยฺยปริยนฺติกํ (มีเนยยะเป็นที่สุดรอบ) เพราะพระญาณมีเนยยบท (เนยยะ) เป็นที่สุด มีเนยยะเป็นสุดท้าย อนึ่งผู้ไม่เป็นสัพพัญญูไม่มีเนยยบทเป็นที่สุด แม้ใน ญาณปริยนฺติกํ (เนยยบทมีพระญาณเป็นที่สุด) ก็มี

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 694

ดังนี้เหมือนกัน.

พระสารีบุตรเถระแสดงความที่ได้กล่าวไว้แล้วในคู่ต้นให้พิเศษไปด้วยคู่นี้ แสดงกำหนดด้วยการปฏิเสธด้วยคู่ที่ ๓.

อนึ่ง เนยยะในบทนี้ ชื่อว่า เนยฺยปโถ (เนยยบถ) เพราะเป็นคลองแห่งพระญาณ.

บทว่า อญฺมญฺํ ปริยนฺตฏฺายิโน (ธรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ในที่สุดรอบของกันและกัน) คือมีปกติยังเนยยะและพระญาณให้สิ้นไปแล้วตั้งอยู่ในที่สุดรอบของกันและกันโดยฐานะ.

บทว่า อาวชฺชนปฏิพทฺธา (เนื่องด้วยความทรงคํานึง) คือเนื่องด้วยมโนทวาราวัชชนะ ความว่า ย่อมรู้ลำดับแห่งความคำนึงนั่นเอง.

บทว่า อากงฺขปฏิพทฺธา (เนื่องด้วยทรงพระประสงค์) คือเนื่องด้วยความพอใจ ความว่า ย่อมรู้ลำดับแห่งอาวัชชนจิตด้วยชวนญาณ.

ท่านกล่าวบททั้ง ๒ นอกนี้ เพื่อประกาศเนื้อความตามลำดับบททั้ง ๒ นี้.

บทว่า พุทฺโธ อาสยํ ชานาติ (พระพุทธเจ้าย่อมทรงทราบอัธยาศัย) เป็นต้น ท่านพรรณนาไว้ในญาณกถาแล้ว แต่มาในมหานิเทศว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบอัธยาศัย ก็ในบทนั้น (มหานิเทศนั้น) มาในอาคตสถานว่า พุทฺธสฺส ภควโต ในที่นี้ในที่บางเเห่งว่า พุทฺธสฺส.

บทว่า อนฺตมโส (โดยที่สุด) ได้แก่ โดยที่สุดเบื้องบน.

ในบทว่า ติมิติมิงฺคลํ (ปลาติมิและปลาติมิงคละ) นี้ พึงทราบดังต่อไปนี้ ปลาชนิดหนึ่งชื่อว่า ติมิ ปลาชนิดหนึ่งชื่อว่า ติมิงคละ เพราะตัวใหญ่กว่าปลาติมินั้น สามารถกลืนกินปลาติมิได้ ปลาชนิดหนึ่งชื่อว่า ติมิติมิงคละ มีลำตัวประมาณ ๕๐๐ โยชน์ สามารถกลืนกนปลาติมิงคละได้ ในบทนี้ พึงทราบว่า เป็นเอกวจนะด้วยถือเอากำเนิด.

ในบทว่า ครุฬํ เวนเตยยํ (ครุฑตระกูลเวนไตย) นี้พึงทราบว่า ชื่อว่า ครุฬ เป็นชื่อโดยกำเนิด ชื่อว่า เวนไตย เป็นชื่อโดยโคตร.

บทว่า ปเทเส (ในประเทศ) คือในบางส่วน.

บทว่า สารีปุตฺตสมา (มีปัญญาเสมอด้วยพระสารีบุตร) พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายถึงพระเถระผู้เป็นพระธรรมเสนาบดีของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เพราะพระสาวกที่เหลือไม่มีผู้เสมอด้วยพระธรรมเสนาบดีเถระทางปัญญา

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 695

สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสาวกของเราผู้มีปัญญามาก อนึ่ง ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า

สัตว์ทั้งหลายอื่นใดมีอยู่ เว้นพระโลกนาถ สัตว์เหล่านั้นย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งปัญญาของพระสารีบุตร.

บทว่า ผริตฺวา (แผ่ไป) คือพุทธญาณบรรลุถึงปัญญาแม้ของเทวดาและมนุษย์ทั้งปวงแล้วเเผ่ไปแทรกซึมเข้าไปสู่ปัญญาของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นโดยฐานะแล้วตั้งอยู่.

บทว่า อติฆํสิตฺวา (ขจัดแล้ว) คือพุทธญาณก้าวล่วงปัญญาแม้ของเทวดาและมนุษย์ทั้งปวง แผ่ไปกำจัดทำลายเนยยะทั้งปวงแม้ไม่ใช่วิสัยของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นแล้วตั้งอยู่ ปาฐะในมหานิเทศว่า อภิภวิตฺวา (ครอบงำแล้ว) คือย่ำยีแล้ว.

ด้วยบทว่า เยปิเต เป็นต้น ท่านแสดงเหตุที่พุทธญาณแผ่ไปขจัดด้วยประการนี้แล้ว แสดงเหตุให้ประจักษ์แห่งฐานะ.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปณฺฑิตา (ผู้เป็นบัณฑิต) คือผู้ประกอบด้วยความเป็นบัณฑิต.

บทว่า นิปุณา (ละเอียด) คือมีปัญญาละเอียดสุขุมสามารถแทงตลอดในระหว่างอรรถอันลึกซึ้งได้.

บทว่า กตปรปฺปวาทา (แต่งวาทะโต้ตอบ) คือรู้วาทะโต้ตอบและแต่งวาทะต่อสู้กับชนเหล่าอื่น.

บทว่า วาลเวธิรูปา (มีปัญญาเปรียบด้วยนายขมังธนูผู้สามารถยิงขนทราย) คือมีปัญญาเช่นนายขมังธนูผู้สามารถยิงขนทราย.

บทว่า เต ภินฺทนฺตา ปญฺา จรนฺติ ปญฺาคเตน ทิฏฺิคตานิ (เที่ยวทำลายปัญญาและทิฏฐิด้วยปัญญา) ความว่า เที่ยวไปดุจทำลายทิฏฐิของคนอื่นแม้อันสุขุมด้วยปัญญาของตน ดุจนายขมังธนูยิงขนทรายฉะนั้น.

อีกอย่างหนึ่ง ปัญญานั่นแหละ คือปัญญาคตะ ทิฏฐินั้นแหละ คือทิฏฐิคตะ ดุจในคำว่า คูถคตํ มุตฺตคตํ (คูถ มูตร) เป็นต้น.

บทว่า ปญฺหํ อภิสงฺขริตฺวา (แต่งปัญหา) คือแต่งคำถาม ๒ บทบ้าง ๓ บทบ้าง ๔ บทบ้าง ท่านกล่าว ๒ ครั้ง

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 696

เพื่อสงเคราะห์ทั้งหมดเข้าด้วยกันเพราะปัญญาเหล่านั้นมีมากอย่างยิ่ง.

บทว่า คุฬฺหานิ จ ปฏิจฺฉนฺนานิ จ (ปัญหาทั้งลี้ลับและอำพราง) มีปาฐะที่เหลือว่า อตฺถชาตานิ (เนื้อความ ทั้งลี้ลับและอำพราง) บัณฑิตทั้งหลายถามปัญหาเพราะบัณฑิตเหล่านั้นเห็นข้อแนะนำซึ่งเนื้อความเหล่านั้นอย่างนั้นแล้วย่อมถามปัญหา อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระประสงค์อย่างนี้ว่า จงถามปัญหาที่ตนแต่งมา อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงประทานโอกาสเพื่อให้ผู้อื่นถาม ทรงแสดงธรรมแก่ผู้เข้าไปเฝ้าเท่านั้น สมดังที่ปิโลติกปริพาชกกล่าวไว้ว่า

บัณฑิตเหล่านั้นพากันแต่งปัญหาด้วยหมายใจว่า จักเข้าไปหาพระสมณโคดมแล้วทูลถามปัญหานี้ หากว่าพระสมณโคดมนั้นถูกพวกเราถามแล้วอย่างนี้ จักพยากรณ์อย่างนี้ พวกเราจักยกวาทะนั้นโต้ตอบพระองค์อย่างนี้ แม้หากว่าพระสมณโคดมนั้นถูกพวกเราถามแล้วอย่างนี้ จักพยากรณ์อย่างนี้ พวกเราจักยกวาทะนั้นโต้ตอบพระองค์แม้อย่างนี้ ดังนี้ บัณฑิตเหล่านั้นพากันเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ พระสมณโคดมก็ทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา บัณฑิตเหล่านั้นถูกพระสมณโคดมทรงชี้แจง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ก็ไม่ถามปัญหากะพระสมณโคดมเลย บัณฑิตเหล่านั้นจักยกวาทะแก่พระสมณโคดมที่ไหนได้ ย่อมกลายเป็นสาวกของพระสมณโคดมไปโดยแท้.

หากถามว่า เพราะเหตุไร บัณฑิตทั้งหลายจึงไม่ทูลถามปัญหา ตอบว่า นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัท ทรงตรวจดูอัธยาศัยของบริษัท แต่นั้นทรงเห็นว่า บัณฑิตเหล่านี้พากันมาทำปัญหาซ่อนเร้น ลี้ลับ ให้มีสาระเงื่อนงำ ครั้นบัณฑิตเหล่านั้นไม่ทูลถามพระองค์เลย พระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า บุคคลนี้ทราบอยู่ว่า มีโทษประมาณเท่านี้ในการถามปัญหา มีประมาณเท่านี้ในการแก้ปัญหา มีประมาณเท่านี้ในอรรถ ในบท ในอักขระ ดังนี้ เมื่อ

 
  ข้อความที่ 41  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 697

จะถามปัญหาเหล่านั้น พึงถามอย่างนี้ เมื่อจะแก้ปัญหาควรแก้อย่างนี้ ดังนั้น พระองค์จึงทรงใส่ปัญหาที่บัณฑิตเหล่านั้นนำมาทำให้มีสาระซับซ้อน ไว้ในระหว่างธรรมกถาแล้วจึงทรงแสดง บัณฑิตเหล่านั้นย่อมพอใจว่า เราไม่ถามปัญหาเหล่านั้น เป็นความประเสริฐของเรา หากว่าเราพึงถามพระสมณโคดม จะพึงทรงทำให้เราตั้งตัวไม่ติดได้เลย.

อีกประการหนึ่ง ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเมื่อทรงแสดงธรรม ย่อมทรงแผ่เมตตาไปยังบริษัท ด้วยการเเผ่เมตตา มหาชนย่อมมีจิตเลื่อมใสในพระทศพล ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงมีรูปโฉมงดงาม น่าทัศนา มีพระสุรเสียงไพเราะ มีพระชิวหาอ่อนนุ่ม มีช่องพระทนต์สนิท (มีริมฝีปากปิดสนิทดี) ทรงกล่าวธรรมดุจรดหทัยด้วยน้ำอมฤต ในการทรงกล่าวธรรมนั้น ผู้มีจิตเลื่อมใสด้วยการทรงแผ่เมตตา ย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราไม่สามารถจะจับสิ่งตรงกันข้ามกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงกล่าวกถาไม่มีสอง กถาไม่เป็นโมฆะ กถานำสัตว์ออกไป เห็นปานนี้ได้เลย บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ถามปัญหา เพราะความที่ตนเลื่อมใสนั่นแหละ.

บทว่า กถิตา วิสชฺชตา จ (ปัญหาเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกล่าวและทรงแก้แล้ว) ความว่า ปัญหาเหล่านั้นเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกล่าวด้วยการตรัสถึงปัญหาที่บัณฑิตทั้งหลายถามว่า พวกท่านจงถามอย่างนี้ เป็นอันทรงแก้โดยประการที่ควรแก้นั่นเอง.

บทว่า นิทฺทิฏฺิการณา (มีเหตุที่ทรงแสดงไขให้เห็นชัด) ความว่า ปัญหาเหล่านั้นย่อมมีเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไขให้เห็นชัด ด้วยการแก้ทำให้มีเหตุอย่างนี้ว่า การแก้ย่อมมีด้วยเหตุการณ์อย่างนี้.

บทว่า อุปกฺขิตฺตกา จ เต ภควโต สมฺปชฺชนฺติ (บัณฑิตเหล่านั้นเข้าไปหมอบเฝ้า ย่อมปรากฏแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า) ความว่า บัณฑิตเหล่านั้นมีกษัตริย์บัณฑิตเป็นต้น เข้าเฝ้าแทบพระบาท ย่อมปรากฏแก่

 
  ข้อความที่ 42  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 698

พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยการแก้ปัญหาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมสำเร็จเป็นสาวกหรืออุบาสก อธิบายว่า บัณฑิตเหล่านั้นย่อมถึงสาวกสมบัติหรืออุบาสกสมบัติ.

บทว่า อถ (ความจริง) เป็นนิบาตลงในอรรถว่า ลำดับ อธิบายว่า ในลำดับพร้อมด้วยสมบัติที่บัณฑิตเหล่านั้นเข้าไปเฝ้า.

บทว่า ตตฺถ คือในที่นั้น หรือในอธิการนั้น.

บทว่า อภิโรจติ (ย่อมทรงรุ่งเรืองยิ่ง) คือโชติช่วง สว่างไสวอย่างยิ่ง.

บทว่า ยทิทํ ปญฺาย คือด้วยปัญญา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงรุ่งเรืองด้วยปัญญาของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

อิติ ศัพท์ (เพราะเหตุนั้น) ลงในอรรถแห่งเหตุ ความว่า อคฺโค อสฺสามนฺตปญฺโญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้เลิศ มีพระปัญญาไม่ใกล้ ด้วยเหตุนี้.

บทว่า ราคํ อภิภุยฺยตีติ ภูริปญฺา (ปัญญาดังแผ่นดิน เพราะครอบงำอยู่ซึ่งราคะ) ชื่อว่า ภูริปญฺา มีปัญญาดังแผ่นดิน เพราะอรรถว่า ครอบงำราคะ ความว่า ชื่อว่า ภูริปญฺา เพราะมรรคปัญญานั้นๆ ครอบงำ ข่ม ย่ำยีราคะอันเป็นโทษกับตน.

บทว่า ภูริ (แผ่นดิน) มีอรรถว่า สัมผัสได้ ผ่องใส ฉลาด เฉียบแหลม ความฉลาดย่อมครอบงำสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ สัมผัสไม่ได้ ความไม่ฉลาดย่อมครอบงำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวอรรถแห่งความครอบงำ ด้วยภูริปัญญา.

บทว่า อภิภวิตา (ครอบงำอยู่ ครอบงำแล้ว) คือปัญญาในผลนั้นๆ ครอบงำได้แล้ว ย่ำยีราคะนั้นๆ ได้แล้ว ปาฐะว่า อภิภวตา ก็มี แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

ในบทมีราคะเป็นต้นพึงทราบความดังต่อไปนี้.

ราคะ มีลักษณะกำหนัด.

โทสะ มีลักษณะประทุษร้าย.

โมหะ มีลักษณะหลง.

โกธะ มีลักษณะโกรธ.

อุปนาหะ มีลักษณะผูกโกรธไว้ โกธะเกิดก่อน อุปนาหะเกิดภายหลัง.

มักขะ มีลักษณะลบหลู่คุณผู้อื่น.

ปลาสะ มีลักษณะตีเสมอ.

อิสสา มีลักษณะทำสมบัติผู้อื่นให้สิ้นไป.

มัจฉริยะ มีลักษณะหลงสมบัติของตน แอบซ่อนสมบัติของตน.

มายา มีลักษณะปกปิดความชั่วที่ตนทำ.

สาเยยะ มีลักษณะประกาศคุณอันไม่มีอยู่ของตน.

ถัมภะ มีลักษณะจิตกระด้าง.

สารัมภะ มี

 
  ข้อความที่ 43  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 699

ลักษณะกระทำเกินกว่าที่กระทำ.

มานะ มีลักษณะถือตัว อติมานะ มีลักษณะถือตัวยิ่ง.

มทะ มีลักษณะมัวเมา.

ปมาทะ มีลักษณะปล่อยจิตในกามคุณ ๕.

ด้วยบทว่า ราโค อริ ตํ อริํ มทฺทนิปญฺา (เป็นปัญญาย่ำยีราคะอันเป็นข้าศึก) เป็นต้น ท่านอธิบายไว้อย่างไร กิเลสมีราคะเป็นต้น ชื่อว่า ภูอริ เพราะอรรถว่า เป็นข้าศึกในจิตสันดาน ท่านกล่าวว่า ภูริ เพราะลบ อักษรด้วยอำนาจบทสนธิ พึงทราบว่า เมื่อควรจะกล่าวว่า ปัญญาย่ำยี ภูริ นั้น ชื่อว่า ภูริมทฺทนิปญฺา ท่านกล่าวว่า ภูริปญฺา เพราะลบ มทฺทนิ ศัพท์เสีย.

อนึ่ง บทว่า ตํ อริํ มทฺทนิ ท่านกำหนดบทว่า เตสํ อรีนํ มทฺทนี (การย่ำยีข้าศึกเหล่านั้น).

บทว่า ปวีสมาย (เสมอด้วยแผ่นดิน) ชื่อว่า เสมอด้วยแผ่นดิน เพราะอรรถว่า กว้างขวางไพบูลย์นั่นเอง.

บทว่า วิตฺถตาย (กว้างขวาง) คือแผ่ไปในวิสัยที่ควรรู้ได้ ไม่เป็นไปในเอกเทศ.

บทว่า วิปุลาย (ไพบูลย์) คือโอฬาร แต่มาในมหานิเทศว่า วิปุลาย วิตฺถตาย (ไพบูลย์ กว้างขวาง).

บทว่า สมนฺนาคโต คือบุคคลผู้ประกอบแล้ว.

อิติ ศัพท์ ลงในอรรถว่า เหตุ ความว่า ด้วยเหตุนี้ปัญญาของบุคคลนั้น ชื่อว่า ภูริปัญญา เพราะบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยภูริปัญญา เพราะเหตุนั้น บุคคลย่อมยินดีในอรรถที่เจริญแล้ว.

เมื่อควรจะกล่าวว่า ภูริปญฺสฺส ปญฺา ภูริปญฺปญฺา (ปัญญาของบุคคลผู้ประกอบด้วยภูริปัญญา ชื่อว่า ภูริปัญญปัญญา) ท่านกล่าว ภูริปญฺา เพราะลบ ปญฺญา ศัพท์เสียศัพท์หนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ภูริปญฺา เพราะมีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน.

บทว่า อปิจ (อีกประการหนึ่ง) ท่านกล่าวเพื่อให้เห็นปริยายอย่างอื่น.

บทว่า ปญฺายเมตํ (คำว่า ภูริ นี้ เป็นชื่อของปัญญา) ตัดคำเป็น ปญฺญาย เอตํ.

บทว่า อธิวจนํ (เป็นชื่อ) เป็นคำกล่าวยิ่งนัก.

บทว่า ภูริ ชื่อว่า ภูริ เพราะอรรถว่า ย่อมยินดีในอรรถที่เจริญแล้ว.

บทว่า เมธา (เครื่องทำลาย) ปัญญา ชื่อว่า เมธา

 
  ข้อความที่ 44  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 700

เพราะอรรถว่า กำจัดทำลายกิเลสทั้งหลาย ดุจสายฟ้าทำลายสิ่งที่ก่อด้วยหิน ฉะนั้น อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เมธา เพราะอรรถว่า ถือเอาทรงไว้เร็วพลัน.

บทว่า ปริณายิกา (ปริณายก) ปัญญาเป็นปริณายก ชื่อว่า ปริณายิกา เพราะอรรถว่า ปัญญาย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์ใด ย่อมนำสัตว์นั้นไปในธรรมอันสัมปยุต ในการปฏิบัติอันเป็นประโยชน์และในปฏิเวธอันมีลักษณะแน่นอน ด้วยบทเหล่านี้ เป็นอันท่านกล่าวถึงคำอันเป็นปริยายแห่งปัญญาแม้อย่างอื่นด้วย.

บทว่า ปญฺาพาหุลฺลํ (ความเป็นผู้มีปัญญามาก) ชื่อว่า ปญฺาพหุโล (มีปัญญามาก) เพราะปัญญามีมาก ความเป็นแห่งบุคคลผู้มีปัญญามากนั้น ชื่อว่า ปัญญาพาหุลละ (ปัญญามาก) คือปัญญานั่นแหละเป็นไปมาก.

ในบทมีอาทิว่า อิเธกจฺโจ (บุคคลบางคนในโลกนี้) ได้แก่ กัลยาณปุถุชน หรืออริยบุคคล.

ชื่อว่า ปญฺาครุโก (ผู้มีปัญญาหนัก) เพราะเป็นผู้มีปัญญาหนัก.

ชื่อว่า ปญฺาจริโต (ผู้มีปัญญาเป็นจริต) เพราะเป็นผู้มีปัญญาเป็นจริตเป็นไป.

ชื่อว่า ปญฺาสโย (มีปัญญาเป็นที่อาศัย) เพราะมีปัญญาเป็นที่อาศัย.

ชื่อว่า ปญฺญาธิมุตฺโต (น้อมใจเชื่อด้วยปัญญา) เพราะน้อมใจเชื่อด้วยปัญญา.

ชื่อว่า ปญฺาธโช (มีปัญญาเป็นธงชัย) เพราะมีปัญญาเป็นธงชัย.

ชื่อว่า ปญฺาเกตุ (มีปัญญาเป็นยอด) เพราะมีปัญญาเป็นยอด.

ชื่อว่า ปญฺาธิปติ (ความเป็นใหญ่ คือปัญญา) เพราะมีปัญญาเป็นใหญ่.

ชื่อว่า ปญฺาธิปเตยฺโย (มีปัญญาเป็นใหญ่) เพราะมาจากความเป็นผู้มีปัญญาเป็นใหญ่.

ชื่อว่า วิจยพหุโล (มีการเลือกเฟ้น) เพราะมีการเลือกเฟ้นสภาวธรรมมาก.

ชื่อว่า ปวิจยพหุโล (มีการค้นคว้ามาก) เพราะมีการค้นคว้าสภาวธรรมโดยประการต่างๆ มาก.

การหยั่งลงด้วยปัญญาแล้ว ปรากฏธรรมนั้นๆ คือให้แจ่มแจ้ง ชื่อว่า โอกขายนะ.

ชื่อว่า โอกฺขายนพหุโล (มีการพิจารณามาก) เพราะมีการพิจารณามาก.

การเพ่งพิจารณาธรรมนั้นๆ ด้วยปัญญาโดยชอบ ชื่อว่า สมฺเปกฺขา (สัมเปกขะ).

การดำเนินไป การเป็นไปด้วยการเพ่งพิจารณาโดยชอบ ชื่อว่า สมฺเปกฺขายน (มีการเพ่งพินิจ).

ชื่อว่า สมฺเปกฺขายนธมฺโม (มีการเพ่งพินิจเป็นธรรมดา) เพราะมีการ

 
  ข้อความที่ 45  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 701

เพ่งพิจารณาโดยชอบเป็นธรรมดา เป็นปกติ.

ชื่อว่า วิภูตวิหารี (มีธรรมเป็นเครื่องอยู่แจ่มแจ้ง) เพราะทำธรรมนั้นๆ ให้แจ่มแจ้ง ให้ปรากฏอยู่ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วิภูตวิหารี เพราะมีธรรมเป็นเครื่องอยู่แจ่มแจ้ง.

ชื่อว่า ตจฺจริโต (มีปัญญาเป็นจริต) เพราะมีปัญญาเป็นจริต.

ชื่อว่า ตคฺครุโก (มีปัญญาหนัก) เพรามีปัญญาหนัก.

ชื่อว่า ตพฺพหุโล (มีปัญญามาก) เพราะมีปัญญามาก.

โน้มไปในปัญญานั้น ชื่อว่า ตนฺนินโน (โน้มไปในปัญญา).

น้อมไปในปัญญานั้น ชื่อว่า ตปฺโปโณ (น้อมไปในปัญญา).

เงื้อมไปในปัญญานั้น ชื่อว่า ตปฺปพฺภาโร (เงื้อมไปในปัญญา).

น้อมจิตไปในปัญญานั้น ชื่อว่า ตทธิมุตฺโต (น้อมจิตไปในปัญญา).

ปัญญานั้นเป็นใหญ่ ชื่อว่า ตทธิปติ (ปัญญาเป็นใหญ่).

ผู้มาจากปัญญาเป็นใหญ่นั้น ชื่อว่า ตทธิปเตยฺโย (มีปัญญาเป็นอธิบดี).

บทมีอาทิว่า ปญฺาครุโก (มีปัญญาหนัก) ท่านกล่าวจำเดิมแต่เกิดในชาติก่อน ดุจในประโยคมีอาทิว่า ย่อมรู้ผู้เสพกามว่า บุคคลนี้เป็นผู้หนักในกาม.

บทมีอาทิว่า ตจฺจริโต (มีปัญญาเป็นจริต) ท่านกล่าวถึงในชาตินี้.

สีฆปัญญา (ปัญญาเร็ว) ลหุปัญญา (ปัญญาพลัน) หาสปัญญา (ปัญญาร่าเริง) และชวนปัญญา (ปัญญาแล่นไป) เป็นปัญญาเจือด้วยโลกิยะและโลกุตระ.

ชื่อว่า สีฆปญฺา (ปัญญาเร็ว) ด้วยอรรถว่า เร็ว.

ชื่อว่า ลหุปญฺา (ปัญญาพลัน) ด้วยอรรถว่า เบา (* ดูในข้อ ๖๗๓ มหาปัญญากถา ว่าด้วยชนิดของปัญญา).

ชื่อว่า หาสปญฺา (ปัญญาร่าเริง) ด้วยอรรถว่า ร่าเริง.

ชื่อว่า ชวนปญฺา (ปัญญาแล่นไป) ด้วยอรรถว่า แล่นไปในสังขารอันเข้าถึงวิปัสสนา และในวิสังขาร.

บทว่า สีฆํ สีฆํ (เร็วๆ) ท่านกล่าว ๒ ครั้ง เพื่อสงเคราะห์ศีลเป็นต้นมาก.

บทว่า สีลานิ (ศีล) คือปาติโมกขสังวรศีลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ ด้วยสามารถแห่งจาริตศีลและวาริตศีล.

บทว่า อินฺทฺริยสํวรํ (อินทรียสังวร) คือการไม่ทำให้ราคะปฏิฆะเข้าไปสู่อินทรีย์ ๖ มีจักขุนทรีย์เป็นต้นแล้ว ปิดกั้นด้วยหน้าต่าง คือสติ.

บทว่า โภชเน มตฺตญฺญุตํ (โภชเนมัตตัญญุตา) คือความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ

 
  ข้อความที่ 46  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 702

ด้วยพิจารณาแล้วจึงบริโภค.

บทว่า ชาคริยานุโยคํ (ชาคริยานุโยค) ประกอบความเพียร ด้วยความเป็นผู้ตื่นอยู่ คือชื่อว่า ชาคโร (ชาคระ) เพราะตื่น คือไม่หลับใน ๓ ส่วนของวันและในส่วนปฐมยาม มัชฌิมยามของราตรี บำเพ็ญสมณธรรมอย่างเดียว ความเป็นผู้ตื่น กรรมคือความเป็นผู้ตื่น ชื่อว่า ชาคริยะ (ความเป็นผู้ตื่น) การประกอบเนืองๆ ของความเป็นผู้ตื่น ชื่อว่า ชาคริยานุโยค ยังชาคริยานุโยคนั้นให้บริบูรณ์.

บทว่า สีลกฺขนฺธํ (ศีลขันธ์) คือศีลขันธ์อันเป็นของพระเสขะหรือพระอเสขะ ขันธ์แม้นอกนี้ก็พึงทราบอย่างนี้.

บทว่า ปญฺากฺขนฺธํ (ปัญญาขันธ์) คือมรรคปัญญา และโลกิยปัญญาของพระเสขะและพระอเสขะ.

บทว่า วิมุตฺติกฺขนฺธํ (วิมุตติขันธ์) คือผลวิมุตติ.

บทว่า วิมุตฺติาณทสฺสนกฺขนฺธํ (วิมุตติญาณทัสสนขันธ์) คือปัจจเวกขณญาณ.

บทว่า หาสพหุโล (มีความร่าเริงมาก) เป็นผู้มีความร่าเริง เป็นมูลบท.

บทว่า เวทพหุโล (มีความพอใจมาก) เป็นผู้มีความพอใจมาก เป็นบทชี้แจงด้วยการเสวยโสมนัสเวทนาอันสัมปยุตด้วยปีตินั่นแหละ.

บทว่า ตุฏฺิพหุโล (มีความยินดีมาก) เป็นผู้มีความยินดีมาก เป็นบทชี้แจงด้วยอาการยินดีแห่งปีติมีกำลังไม่มากนัก.

บทว่า ปามุชฺชพหุโล (มีความปราโมทย์มาก) เป็นผู้มีความปราโมทย์มาก เป็นบทชี้แจงด้วยความปราโมทย์แห่งปีติมีกำลัง.

บทว่า ยงฺกิญฺจิ รูปํ (สู่รูปทั้งปวง) เป็นอาทิ มีความดังได้กล่าวแล้วในสัมมสนญาณนิเทศ.

บทว่า ตุลยิตฺวา (เทียบเคียง) คือเทียบเคียงด้วยกลาปสัมมสนะ (การพิจารณาเป็นกลุ่มเป็นกอง).

บทว่า ตีรยิตฺวา (พินิจ) คือพินิจด้วยอุทยัพพยานุปัสสนา.

บทว่า วิภาวยิตฺวา (พิจารณา) คือทำให้ปรากฏด้วยภังคานุปัสสนาเป็นต้น.

บทว่า วิภูตํ กตฺวา (ทำให้แจ่มแจ้ง) คือทำให้ฉลาด (ทำให้สัมผัสต้อง) ด้วยสังขารุเบกขาญาณ.

ติกขปัญญา (ปัญญาคมกล้า) เป็นโลกุตระอย่างเดียว.

บทว่า อุปฺปนฺนํ (เกิดขึ้นแล้ว) คือแม้ที่ละได้แล้วด้วยวิกขัมภนปหานและตทังคปหานด้วยอำนาจสมถะและวิปัสสนา ท่านก็กล่าวว่า เกิดขึ้นยังถอนไม่ได้ เพราะไม่ล่วงเลยความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

 
  ข้อความที่ 47  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 703

เพราะยังถอนไม่ได้ด้วยอริยมรรค ในที่นี้ท่านประสงค์เอาที่เกิดขึ้นยังถอนไม่ได้นั้น.

บทว่า นาธิวาเสติ (ไม่รับรองไว้ ไม่รับไว้) คือไม่ยกขึ้นสู่สันดานแล้วให้อยู่.

บทว่า ปชหติ (ย่อมละ) คือละด้วยตัดขาด.

บทว่า วิโนเทติ (ย่อมบรรเทา) คือย่อมซัดไป.

บทว่า พฺยนฺตีกโรติ (ย่อมทำให้สิ้นสุด) คือทำให้ปราศจากที่สุด.

บทว่า อนภาวํ คเมติ (ให้ถึงความไม่มีต่อไป) คือให้ถึงความไม่มีในภายหลัง ความว่า ถึงอริยมรรคตามลำดับวิปัสสนา แล้วให้ถึงความไม่มีด้วยการตัดขาด.

ก็ในคำเหล่านี้ วิตกประกอบด้วยกาม ชื่อว่า กามวิตก วิตกประกอบด้วยความตายของผู้อื่น (โดยคิดว่า ขอให้สัตว์เหล่านี้จงตาย) ชื่อว่า พยาบาทวิตก วิตกประกอบด้วยความเบียดเบียนผู้อื่น (โดยคิดว่า ขอสัตว์เหล่านี้จงถูกเบียดเบียน) ชื่อว่า วิหิงสาวิตก.

บทว่า ปาปเก (อันลามก) ได้แก่ อันชั่วช้า.

บทว่า อกุสเล ธมฺเม (อกุศลธรรม) คือธรรมอันไม่เป็นความฉลาด (ธรรมอันเกิดจากความไม่ฉลาด).

บทว่า นิพฺเพธิกปญฺา (ปัญญาเครื่องทำลายกิเลส) คือมรรคปัญญาอันเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มากด้วยความเบื่อหน่าย.

บทว่า อุพฺเพคพหุโล (เป็นผู้มากด้วยความสะดุ้ง) คือเป็นผู้มากด้วยความหวาดกลัวภัยในเพราะญาณ.

บทว่า อุตฺตาสพหุโล (เป็นผู้มากไปด้วยความหวาดเสียว) คือมากไปด้วยความกลัวอย่างแรง บทนี้ ขยายความบทก่อนนั่นเอง.

บทว่า อุกฺกณฺพหุโล (เป็นผู้มากไปด้วยความเบื่อหน่าย) ได้แก่ ผู้มากด้วยความระอา เพราะมุ่งเฉพาะวิสังขาร นอกเหนือไปจากสังขาร.

บทว่า อนภิรติพหุโล (เป็นผู้มากไปด้วยความไม่พอใจ) ท่านแสดงถึงความไม่มีความยินดียิ่งด้วยความเบื่อหน่าย.

แม้บัดนี้ พระสารีบุตรเถระไขความนั้นด้วยคำทั้งสอง ในบทเหล่านั้น บทว่า พหิมุโข (เบือนหน้าออก) คือมุ่งหน้าเฉพาะนิพพานอันเป็นภายนอกจากสังขาร.

บทว่า น รมติ (ไม่ยินดี) คือไม่ยินดียิ่ง.

บทว่า อนิพฺพิทฺธปุพฺพํ (ไม่เคยเบื่อหน่าย) คือไม่เคยถึงที่สุดในสังสารอันไม่รู้เบื้องต้นและที่สุด แล้วเบื่อหน่าย.

บทว่า อปฺปทาลิตปุพฺพํ (ไม่เคยทำลาย)

 
  ข้อความที่ 48  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 704

เป็นคำกล่าวถึงอรรถของบทนั้น ความว่า ไม่เคยทำลายด้วยการกระทำที่สุดนั่นเอง.

บทว่า โลภกฺขนฺธํ (กองโลภะ) คือกองโลภะ หรือมีส่วนแห่งโลภะ.

บทว่า อิมาหิ โสฬสหิ ปญฺาหิ สมนฺนาคโต (บุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญา ๑๖ ประการเหล่านี้) ท่านกล่าวถึงพระอรหันต์โดยกำหนดอย่างอุกฤษฏ์ แม้พระโสดาบัน พระสกทาคามีและพระอนาคามีก็ย่อมได้เหมือนกัน เพราะท่านกล่าวไว้ในตอนก่อนว่า เอโก เสขปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต (ผู้หนึ่งเป็นพระเสขะบรรลุปฏิสัมภิทา).

จบอรรถกถาโสฬสปัญญานิเทศ

อรรถกถาปุคคลวิเสสนิเทศ

พระสารีบุตรเถระแสดงถึงลำดับของบุคคลวิเศษผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ด้วยบทมีอาทิว่า เทฺว ปุคฺคลา (บุคคล ๒ ประเภท).

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺพโยโค (ผู้มีความเพียรก่อน) คือประกอบด้วยบุญอันเป็นเหตุบรรลุปฏิสัมภิทาในอดีตชาติ.

บทว่า เตน (เพราะความเพียรในก่อนนั้น) คือเหตุที่มีความเพียรมาก่อนนั้น แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนั้น.

บทว่า อติเรโก โหติ (เป็นผู้ประเสริฐ) คือมากเกินหรือเพราะมีความเพียรมากเกิน ท่านจึงกล่าวว่า อติเรโก.

บทว่า อธิโก โหติ (เป็นผู้ยิ่ง) คือเป็นผู้เลิศ.

บทว่า วิเสโส โหติ (เป็นผู้วิเศษ) คือวิเศษที่สุด หรือเพราะมีความเพียรวิเศษ (เพราะประกอบด้วยสิ่งวิเศษ) ท่านจึงกล่าวว่า วิเสโส.

บทว่า าณํ ปภิชฺชติ (ญาณแตกฉาน) คือถึงความแตกฉานปฏิสัมภิทาญาณ.

บทว่า พหุสฺสุโต (เป็นพหูสูต) คือเป็นพหูสูตด้วยอำนาจแห่งพุทธพจน์.

บทว่า เทสนาพหุโล (เป็นผู้มากด้วยเทศนา) คือด้วยอำนาจแห่งธรรมเทศนา.

บทว่า ครูปนิสฺสิโต


มมร. พิมพ์ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๑: คำว่า อติเรโก โหติ (เป็นผู้ประเสริฐ) ได้แก่ เป็นผู้ล้ำเลิศ อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ประเสริฐ เพราะประกอบด้วยสิ่งประเสริฐ.

 
  ข้อความที่ 49  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 705

(เป็นผู้อาศัยครู) คือเข้าไปอาศัยครูผู้ยิ่งด้วยปัญญา.

บทว่า วิหารพหุโล (เป็นผู้มีวิหารธรรมมาก) ได้แก่ เป็นผู้มีวิหารธรรม คือวิปัสสนามาก หรือเป็นผู้มีวิหารธรรม คือผลสมาบัติมาก.

บทว่า ปจฺจเวกฺขณาพหุโล (เป็นผู้มีความพิจารณามาก) ได้แก่ เมื่อมีวิหารธรรม คือวิปัสสนา ย่อมเป็นผู้มีความพิจารณาวิปัสสนามาก เมื่อมีวิหารธรรม คือผลสมาบัติ ย่อมเป็นผู้มีความพิจารณาผลสมาบัติมาก.

บทว่า เสกฺขปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต (เป็นพระเสกขะบรรลุปฏิสัมภิทา) คือยังพระเสกขะอยู่ บรรลุปฏิสัมภิทา อเสกฺขปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต (เป็นพระอเสกขะบรรลุปฏิสัมภิทา) ก็อย่างนั้น.

ในบทว่า สาวกปารมิปฺปตฺโต (เป็นผู้บรรลุสาวกบารมี) นี้วินิจฉัยดังต่อไปนี้ การถึงฝั่งแห่งสาวกญาณ ๖๗ ของพระมหาสาวกผู้เลิศกว่าสาวกผู้มีปัญญามากทั้งหลาย ชื่อว่า ปารมี บารมีของพระสาวก ชื่อว่า สาวกบารมี ผู้ถึงสาวกบารมีนั้น ชื่อว่า สาวกปารมิปฺปตฺโต ปาฐะว่า สาวกปารมิตาปฺปตฺโต บ้าง มหาสาวกนั้นเป็นผู้รักษาและเป็นผู้บำเพ็ญสาวกญาณ ๖๗ ชื่อว่า ปรโม (ปรมะ) ความเป็น (ภาวะ) หรือกรรมแห่งปรมะนั้นด้วยญาณกิริยา ๖๗ อย่างนี้ของปรมะนั้น ชื่อว่า ปารมี บารมีของพระสาวกนั้น ชื่อว่า สาวกบารมี ผู้ถึงสาวกบารมีนั้น ชื่อว่า สาวกปารมิปฺปตฺโต.

บทว่า สาวกปารมิปฺปตฺโต ได้แก่ พระสาวกรูปใดรูปหนึ่งมีพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นต้น.

พระสารีบุตรเถระกล่าวว่า เอโก ปจฺเจกสมฺพุทฺโธ (ผู้หนึ่งเป็นพระปัจเจกสัมพุทธะ) เพราะไม่มีพระสาวกอื่นยิ่งกว่า เมื่อว่าโดยพระสาวกผู้บรรลุสาวกบารมี.

พระสารีบุตรเถระแสดงสรุปความที่กล่าวแล้ว ด้วยบทมีอาทิว่า ปญฺาปเภทกุสโล (ทรงเป็นผู้ฉลาดในประเภทแห่งปัญญา) อีก.

ท่านชี้แจงญาณหลายอย่างแห่งญาณกาโดยมาก ท่านกล่าวทำปัญญาแม้อย่างหนึ่งแห่งปัญญากถาโดยมากให้ต่างๆ กัน โดยอาการต่างๆ กัน นี้เป็นความพิเศษด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถามหาปัญญากถา