พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๐. สุญญกถา ว่าด้วยสุญญตา

 
บ้านธัมมะ
วันที่  26 พ.ย. 2564
หมายเลข  40973
อ่าน  770

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 634

ยุคนัทธวรรค

๑๐. สุญญกถา

ว่าด้วยสุญญตา หน้า 634

อรรถกถาสุญญกถา หน้า 641


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 634

ยุคนัทธวรรค

สุญญกถา

ว่าด้วยสุญญตา

[๖๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเขตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า โลกสูญ โลกสูญ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหตุเพียงเท่าไรหนอแล พระองค์จึงตรัสว่า โลกสูญ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เพราะว่าสูญจากตนและจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน ฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า โลกสูญ ดูก่อนอานนท์ อะไรเล่า สูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน ดูก่อนอานนท์ จักษุสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน รูปสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน จักษุวิญญาณสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน จักษุสัมผัสสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ก็สูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน หูสูญ ฯ เสียงสูญ จมูกสูญ กลิ่นสูญ ลิ้นสูญ รสสูญ กายสูญ โผฏฐัพพะสูญ ใจสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน ธรรมารมณ์สูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน มโนวิญาณสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน แม้สุขเวทนา

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 635

ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ก็สูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน เพราะฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า โลกสูญ.

[๖๓๔] สิ่งที่สูญสูญ (สุญญสูญ) สังขารสูญ วิปริณามธรรมสูญ อัคคสูญ ลักษณสูญ วิกขัมภนสูญ ตทังคสูญ สมุจเฉทสูญ ปฏิปัสสัทธิสูญ นิสสรณสูญ ภายในสูญ (อัชฌัตตสูญ) ภายนอกสูญ (พหิทธาสูญ) ทั้งภายในและภายนอกสูญ (ทุภโตสูญ) ส่วนที่เสมอกันสูญ (สภาคสูญ) ส่วนที่ไม่เสมอกันสูญ (วิสภาคสูญ) ความแสวงหาสูญ (เอสนาสูญ) ความกำหนดสูญ (ปริคคหสูญ) ความได้เฉพาะสูญ (ปฏิลาภสูญ) การแทงตลอดสูญ (ปฏิเวธสูญ) ความเป็นอย่างเดียวสูญ (เอกัตตสูญ) ความเป็นต่างๆ สูญ (นานัตตสูญ) ความอดทนสูญ (ขันติสูญ) ความอธิษฐานสูญ (อธิฏฐานสูญ) ความมั่นคงสูญ (ปริโยคาหนสูญ) การครอบงำความเป็นไปแห่งสัมปชานบุคคลสูญ เป็นปรมัตถสูญแห่งความสูญทั้งปวง.

[๖๓๕] สิ่งที่สูญสูญ (สูญญสูญ) เป็นไฉน จักษุสูญจากตน จากสิ่งที่เนื่องด้วยตน จากความเที่ยง ความยั่งยืน ความมั่นคง และจากความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา หูสูญ ฯ จมูกสูญ ลิ้นสูญ กายสูญ ใจสูญจากตน จากสิ่งที่เนื่องด้วยตน จากความเที่ยง ความยั่งยืน ความมั่นคง และจากความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา นี้สิ่งที่สูญสูญ (สูญญสูญ).

[๖๓๖] สังขารสูญเป็นไฉน สังขาร ๓ คือปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร ปุญญาภิสังขารสูญจากอปุญญาภิสังขารและอเนญชาภิสังขาร อปุญญาภิสังขารสูญจากปุญญาภิสังขารและอเนญชาภิสังขาร อเนญชาภิสังขารสูญจากปุญญาภิสังขารและอปุญญาภิสังขาร นี้สังขาร ๓.

สังขาร ๓ อีกประการหนึ่ง คือกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร กายสังขารสูญจากวจีสังขารและจิตตสังขาร วจีสังขารสูญจากกายสังขารและจิตตสังขาร จิตตสังขารสูญจากกายสังขารและวจีสังขาร นี้สังขาร ๓.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 636

สังขาร ๓ อีกประการหนึ่ง คือสังขารส่วนอดีต สังขารส่วนอนาคต สังขารส่วนปัจจุบัน สังขารส่วนอดีตสูญจากสังขารส่วนอนาคตและสังขารส่วนปัจจุบัน สังขารส่วนอนาคตสูญจากสังขารส่วนอดีตและสังขารส่วนปัจจุบัน สังขารส่วนปัจจุบันสูญจากสังขารส่วนอดีตและสังขารส่วนอนาคต นี้สังขาร ๓ นี้เป็นสังขารสูญ.

[๖๓๗] วิปริณามธรรมสูญ (วิปริณามสูญ) เป็นไฉน รูปเกิดแล้วสูญไปจากสภาพ (ปกติเดิม) รูปหายไป แปรปรวนไปและสูญไป เวทนาเกิดแล้ว ฯ สัญญาเกิดแล้ว สังขารเกิดแล้ว วิญญาณเกิดแล้ว จักษุเกิดแล้ว ฯ ภพเกิดแล้วสูญไปจากสภาพ ภพหายไป แปรปรวนไปและสูญไป นี้วิปริณามธรรมสูญ.

[๖๓๘] อัคคบทสูญ (อัคคสูญ) เป็นไฉน บทนี้ คือความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกกิเลส (วิราคะ) ความดับ (นิโรธ) นิพพาน เป็นบทเลิศ เป็นบทประเสริฐ เป็นบทวิเศษ นี้อัคคบทสูญ.

[๖๓๙] ลักษณสูญ (ลักขณสูญ) เป็นไฉน ลักษณะ ๒ คือพาลลักษณะ ๑ บัณฑิตลักษณะ ๑ พาลลักษณะสูญจากบัณฑิตลักษณะ บัณฑิตลักษณะสูญจากพาลลักษณะ ลักษณะ ๓ คืออุปปาทลักษณะ (ลักษณะความเกิดขึ้น) วยลักษณะ (ลักษณะความเสื่อมไป) ฐิตัญญถัตตลักษณะ (ลักษณะเมื่อยังตั้งอยู่แปรเป็นอื่นไป) อุปปาทลักษณะสูญจากวยลักษณะและฐิตัญญถัตตลักษณะ วยลักษณะสูญจากอุปปาทลักษณะและฐิตัญญถัตตลักษณะ ฐิตัญญถัตตลักษณะสูญจากอุปปาทลักษณะและวยลักษณะ ลักษณะความเกิดขึ้นแห่งรูปสูญจากลักษณะความเสื่อมไปและจากลักษณะเมื่อยังตั้งอยู่แปรเป็นอื่นไป ลักษณะความเสื่อมไปแห่งรูปสูญจากลักษณะความเกิดขึ้นและจากลักษณะเมื่อยังตั้งอยู่แปรเป็นอื่นไป ลักษณะเมื่อยังตั้งอยู่แปรเป็นอื่นไปแห่งรูปสูญจากลักษณะความ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 637

เกิดขึ้นและจากลักษณะความเสื่อมไป ลักษณะความเกิดขึ้นแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯ ชราและมรณะสูญจากลักษณะความเสื่อมไปและจากลักษณะเมื่อตั้งอยู่แปรเป็นอื่นไป ลักษณะความเสื่อมไปแห่งชราและมรณะสูญจากลักษณะความเกิดขึ้นและจากลักษณะเมื่อยังตั้งอยู่แปรเป็นอื่นไป ลักษณะเมื่อตั้งอยู่แปรเป็นอื่นไปแห่งชราและมรณะสูญจากลักษณะความเกิดขึ้นและจากลักษณะความเสื่อมไป นี้เป็นลักษณสูญ.

[๖๔๐] วิกขัมภนสูญเป็นไฉน กามฉันทะอันเนกขัมมะข่มแล้วและสูญจากเนกขัมมะ พยาบาทอันความไม่พยาบาทข่มแล้วและสูญจากความไม่พยาบาท ถีนมิทธะอันอาโลกสัญญาข่มแล้วและสูญจากอาโลกสัญญา อุทธัจจะอันความไม่ฟุ้งซ่านข่มแล้วและสูญจากความไม่ฟุ้งซ่าน วิจิกิจฉาอันการกำหนดธรรมข่มแล้วและสูญจากการกำหนดธรรม อวิชชาอันญาณข่มแล้วและสูญจากญาณ อรติอันความปราโมทย์ข่มแล้วและสูญจากความปราโมทย์ นิวรณ์อันปฐมฌานข่มแล้วและสูญจากปฐมฌาน ฯ กิเลสทั้งปวงอันอรหัตมรรคข่มแล้วและสูญจากอรหัตมรรค นี้วิกขัมภนสูญ.

[๖๔๑] ตทังคสูญเป็นไฉน กามฉันทะเป็นตทังคสูญ (สูญเพราะองค์นั้นๆ) เพราะเนกขัมมะ ฯ นิวรณ์เป็นตทังคสูญเพราะปฐมฌาน ฯ ความถือผิดเพราะกิเลสเครื่องประกอบไว้เป็นตทังคสูญเพราะวิวัฏฏนานุปัสสนา นี้ตทังคสูญ.

[๖๔๒] สมุจเฉทสูญเป็นไฉน กามฉันทะอันเนกขัมมะตัดแล้วและสูญไปจากเนกขัมมะ ฯ นิวรณ์อันปฐมฌานตัดแล้วและสูญจากปฐมฌาน ฯ กิเลสทั้งปวงอันอรหัตมรรคตัดแล้วและสูญจากอรหัตมรรค นี้สมุจเฉทสูญ.

[๖๔๓] ปฏิปัสสัทธิสูญเป็นไฉน กามฉันทะอันเนกขัมมะระงับแล้วและสูญจากเนกขัมมะ ฯ นิวรณ์อันปฐมฌานระงับแล้วและสูญจากปฐมฌาน ฯ กิเลสทั้งปวงอันอรหัตมรรคระงับแล้วและสูญจากอรหัตมรรค นี้ปฏิปัสสัทธิสูญ.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 638

[๖๔๔] นิสสรณสูญเป็นไฉน กามฉันทะอันเนกขัมมะสลัดออกแล้วและสูญจากเนกขัมมะ ฯ นิวรณ์อันปฐมฌานสลัดออกแล้วและสูญจากปฐมฌาน ฯ กิเลสทั้งปวงอันอรหัตมรรคสลัดออกแล้วและสูญจากอรหัตมรรค นี้นิสสรณสูญ.

[๖๔๕] ภายในสูญ (อัชฌัตตสูญ) เป็นไฉน จักษุภายในสูญจากตน จากสิ่งที่เนื่องด้วยตน จากความเที่ยง ความยั่งยืน ความมั่นคง และจากความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา หูภายใน ฯ จมูกภายใน ลิ้นภายใน กายภายใน ใจภายในสูญจากตน จากสิ่งที่เนื่องด้วยตน จากความเที่ยง ความยั่งยืน ความมั่นคง และจากความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา นี้ภายในสูญ.

[๖๔๖] ภายนอกสูญ (พหิทธาสูญ) เป็นไฉน รูปภายนอกสูญ ฯ ธรรมารมณ์ภายนอกสูญจากตน จากสิ่งที่เนื่องด้วยตน จากความเที่ยง ความยั่งยืน ความมั่นคง และจากความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา นี้ภายนอกสูญ.

[๖๔๗] ทั้งภายในและภายนอกสูญ (ทุภโตสูญ) เป็นไฉน จักษุภายในและรูปภายนอก ทั้งสองนั้นสูญจากตน จากสิ่งที่เนื่องด้วยตน จากความเที่ยง ความยั่งยืน ความมั่นคง และจากความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา หูภายในและเสียงภายนอก ฯ จมูกภายในและกลิ่นภายนอก ลิ้นภายในและรสภายนอก กายภายในและโผฏฐัพพะภายนอก ใจภายในและธรรมารมณ์ภายนอก ทั้งสองนั้นสูญจากตน จากสิ่งที่เนื่องด้วยตน จากความเที่ยง ความยั่งยืน ความมั่นคง และจากความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา นี้ทั้งภายในและภายนอกสูญ.

[๖๔๘] ส่วนเสมอกันสูญ (สภาคสูญ) เป็นไฉน อายตนะภายใน ๖ เป็นส่วนเสมอกันและสูญไป อายตนภายนอก ๖ ฯ หมวดวิญญาณ ๖ ฯ หมวดผัสสะ ๖ ฯ หมวดเวทนา ๖ ฯ หมวดสัญญา ๖ ฯ หมวดเจตนา ๖ เป็นส่วนเสมอกันและสูญไป นี้ส่วนเสมอกันสูญ.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 639

[๖๔๙] ส่วนไม่เสมอกันสูญ (วิสภาคสูญ) เป็นไฉน อายตนะภายใน ๖ เป็นส่วนไม่เสมอกันกับอายตนะภายนอก ๖ และสูญจากอายตนะภายนอก ๖ อายตนะภายนอก ๖ เป็นส่วนไม่เสมอกันกับหมวดวิญญาณ ๖ และสูญจากหมวดวิญญาณ ๖ หมวดวิญญาณ ๖ เป็นส่วนไม่เสมอกันกับหมวดผัสสะ ๖ และสูญจากหมวดผัสสะ ๖ หมวดผัสสะ ๖ เป็นส่วนไม่เสมอกันกับหมวดเวทนา ๖ และสูญจากหมวดเวทนา ๖ หมวดเวทนา ๖ เป็นส่วนไม่เสมอกันกับหมวดสัญญา ๖ และสูญจากหมวดสัญญา ๖ หมวดสัญญา ๖ เป็นส่วนไม่เสมอกันกับหมวดเจตนา ๖ และสูญจากหมวดเจตนา ๖ นี้ส่วนไม่เสมอกันสูญ.

[๖๕๐] ความแสวงหาสูญ (เอสนาสูญ) เป็นไฉน ความแสวงหาเนกขัมมะสูญจากกามฉันทะ ความแสวงหาความไม่พยาบาทสูญจากพยาบาท ความเเสวงหาอาโลกสัญญาสูญจากถีนมิทธะ ความแสวงหาความไม่ฟุ้งซ่านสูญจากอุทธัจจะ ความแสวงหาการกำหนดธรรมสูญจากวิจิกิจฉา ความแสวงหาญาณสูญจากอวิชชา ความแสวงหาปฐมฌานสูญจากนิวรณ์ ฯ ความแสวงหาอรหัตมรรคสูญจากกิเลสทั้งปวง นี้ความแสวงหาสูญ.

[๖๕๑] ความกำหนดสูญ (ปริคคหสูญ) เป็นไฉน ความกำหนดเนกขัมมะสูญจากกามฉันทะ ฯ ความกำหนดอรหัตมรรคสูญจากกิเลสทั้งปวง นี้ความกำหนดสูญ.

[๖๕๒] ความได้เฉพาะสูญ (ปฏิลาภสูญ) เป็นไฉน ความได้เฉพาะเนกขัมมะสูญจากกามฉันทะ ฯ ความได้เฉพาะอรหัตมรรคสูญจากกิเลสทั้งปวง นี้ความได้เฉพาะสูญ.

[๖๕๓] การแทงตลอดสูญ (ปฏิเวธสูญ) เป็นไฉน การแทงตลอดเนกขัมมะสูญจากกามฉันทะ ฯ การแทงตลอดอรหัตมรรคสูญจากกิเลสทั้งปวง นี้การแทงตลอดสูญ.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 640

[๖๕๔] ความเป็นอย่างเดียวสูญ (เอกัตตสูญ) ความเป็นต่างๆ สูญ (นานัตตสูญ) เป็นไฉน กามฉันทะเป็นความต่าง เนกขัมมะเป็นอย่างเดียว ความที่เนกขัมมะเป็นอย่างเดียวของบุคคลผู้คิดอยู่ สูญจากกามฉันทะ พยาบาทเป็นความต่าง ความไม่พยาบาทเป็นอย่างเดียว ความที่ความไม่พยาบาทเป็นอย่างเดียวของบุคคลผู้คิดอยู่ สูญจากพยาบาท ถีนมิทธะเป็นความต่าง อาโลกสัญญาเป็นอย่างเดียว ความที่อาโลกสัญญาเป็นอย่างเดียวของบุคคลผู้คิดอยู่ สูญจากถีนมิทธะ อุทธัจจะเป็นความต่าง วิจิกิจฉาเป็นความต่าง อวิชชาเป็นความต่าง อรติเป็นความต่าง นิวรณ์เป็นความต่าง ปฐมฌานเป็นอย่างเดียว ความที่ปฐมฌานเป็นอย่างเดียวของบุคคลผู้คิดอยู่ สูญจากนิวรณ์ ฯ กิเลสทั้งปวงเป็นความต่าง อรหัตมรรคเป็นอย่างเดียว ความที่อรหัตมรรคเป็นอย่างเดียวของบุคคลผู้คิดอยู่ สูญจากกิเลสทั้งปวง นี้ความเป็นอย่างเดียวสูญ ความเป็นต่างๆ สูญ.

[๖๕๕] ความอดทนสูญ (ขันติสูญ) เป็นไฉน ความอดทน (ความชอบใจ) ในเนกขัมมะสูญจากกามฉันทะ ฯ ความอดทน (ความชอบใจ) ในอรหัตมรรคสูญจากกิเลสทั้งปวง นี้ความอดทนสูญ.

[๖๕๖] อธิฏฐานสูญเป็นไฉน ความอธิษฐานในเนกขัมมะสูญจากกามฉันทะ ฯ ความอธิษฐานในอรหัตมรรคสูญจากกิเลสทั้งปวง นี้ความอธิฏฐานสูญ.

[๖๕๗] ความมั่นคงสูญ (ปริโยคาหนสูญ) เป็นไฉน ความมั่นคง (ความหยั่งลง) แห่งเนกขัมมะสูญจากกามฉันทะ ฯ ความมั่นคง (ความหยั่งลง) แห่งอรหัตมรรคสูญจากกิเลสทั้งปวง นี้ความมั่นคงสูญ.

[๖๕๘] การครอบงำความเป็นไปแห่งสัมปชานบุคคล เป็นปรมัตถสูญแห่งความสูญทั้งปวงเป็นไฉน สัมปชานบุคคลครอบงำความเป็นไป

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 641

แห่งกามฉันทะด้วยเนกขัมมะ ครอบงำความเป็นไปแห่งพยาบาทด้วยความไม่พยาบาท ครอบงำความเป็นไปแห่งถีนมิทธะด้วยอาโลกสัญญา ครอบงำความเป็นไปแห่งอุทธัจจะด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ครอบงำความเป็นไปแห่งวิจิกิจฉาด้วยการกำหนดธรรม ครอบงำความเป็นไปแห่งอวิชชาด้วยญาณ ครอบงำความเป็นไปแห่งอรติด้วยความปราโมทย์ ครอบงำความเป็นไปแห่งนิวรณ์ด้วยปฐมฌาน ฯ ครอบงำกิเลสทั้งปวงด้วยอรหัตมรรค.

อีกประการหนึ่ง เมื่อสัมปชานบุคคลปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความเป็นไปแห่งจักษุนี้ย่อมหมดสิ้นไป และความเป็นไปแห่งจักษุอื่นก็ไม่เกิดขึ้น ความเป็นไปแห่งหู ฯ ความเป็นไปแห่งจมูก ความเป็นไปแห่งลิ้น ความเป็นไปแห่งกาย ความเป็นไปแห่งใจนี้ย่อมหมดสิ้นไป และความเป็นไปแห่งใจอื่นก็ไม่เกิดขึ้น นี้ความครอบงำความเป็นไปแห่งสัมปชานบุคคล เป็นปรมัตถสูญแห่งความสูญทั้งปวง ฉะนี้แล.

จบสุญญกถา

จบยุคนัทธวรรคที่ ๒

อรรถกถาสุญญกถา

บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพิจารณาแห่งสุญญกถา อันมีพระสูตรเป็นเบื้องต้น มีโลกุตรสุญญตาเป็นที่สุด อันพระสารีบุตรเถระกล่าวแล้วในลำดับแห่งพลกถาอันมีโลกุตรพละเป็นที่สุด.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 642

พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรดังต่อไปนี้ก่อน.

บทว่า อถ (ครั้งนั้น) เป็นนิบาต ลงใน (ใช้ใน) ความถือมั่น (เชื่อถือได้) ในถ้อยคำ.

ด้วยบทนั้นท่านทำการถือมั่นถ้อยคำมีอาทิว่า อายสฺมา (ท่าน).

บทว่า โข เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งบทบูรณ์ (ทำบทให้เต็ม).

บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ (ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ) พระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ เพราะฉะนั้นพึงเห็นอรรถในบทนี้อย่างนี้ว่า ยตฺถ ภควา ตตฺถ อุปสงฺกมิ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ ที่ใด เข้าไปเฝ้าแล้ว ณ ที่นั้น อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นอรรถในบทนี้อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายพึงเข้าไปเฝ้าด้วยเหตุใด เข้าไปเฝ้าแล้วด้วยเหตุนั้น อนึ่ง พึงเห็นอรรถในบทนี้อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเทวดาและมนุษย์พึงเข้าไปเฝ้าด้วยเหตุอะไร ด้วยประสงค์บรรลุคุณวิเศษมีประการต่างๆ ดุจต้นไม้ใหญ่ซึ่งผลิตผลอยู่เป็นนิจ อันหมู่นกทั้งหลายพึงเข้าไปด้วยประสงค์กินผลไม้มีรสอร่อย ฉะนั้น เข้าไปหาแล้วด้วยเหตุนั้น.

อนึ่ง บทว่า อุปสงฺกมิ (ได้เข้าไปเฝ้า) ท่านอธิบายว่า เข้าไปแล้ว.

บทว่า อุปสงฺกมิตฺวา (ครั้นแล้ว) ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว เป็นบทแสดงถึงที่สุดแห่งการเข้าเฝ้า อีกอย่างหนึ่ง ท่านอธิบายว่า ไปแล้วอย่างนี้ คือไปยังที่ระหว่างอาสนะจากที่นั้น (ไปสู่ที่ใกล้กว่านั้น) กล่าวคือใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า.

บทว่า อภิวาเทตฺวา (ได้ถวายบังคม) คือถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์.

บัดนี้ พระอานนทเถระประสงค์จะทูลถามข้อความที่ตนมาอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นบุคคลเลิศในโลก จึงยกมือขึ้นถวายบังคมเหนือศีรษะ แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.

บทว่า เอกมนฺตํ (ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง) แสดงถึงเป็นภาวนปุงสกลิงค์ดุจในประโยคมีอาทิว่า วิสมํ จนฺทิมสุริยา ปริหรนฺติ (ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เดินไม่สม่ำเสมอ) เพราะฉะนั้น พึงเห็นอรรถในบทนี้ อย่างนี้ว่า (บุคคลนั่ง เป็นผู้นั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่งโดยประการใด) พระอานนท์นั่งโดยอาการที่นั่ง ณ ที่สมควร

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 643

ส่วนหนึ่งโดยประการนั้น บทนี้เป็นทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถสัตตมีวิภัตติ.

บทว่า นิสีทิ (นั่ง) คือสำเร็จการนั่ง จริงอยู่ เทวดาและมนุษย์ผู้ฉลาด ครั้นเข้าไปหาท่านผู้ที่เคารพ ย่อมนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง เพราะเป็นผู้ฉลาดในอาสนะ (ในการนั่ง) พระเถระนี้ ก็เป็นรูปหนึ่งของบรรดาผู้ฉลาดเหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง.

ก็นั่งอย่างไรเล่าจึงชื่อว่า นั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง คือเว้นโทษของการนั่ง ๖ ประการ คือไกลเกินไป ๑ ใกล้เกินไป ๑ เหนือลม ๑ ที่ไม่มีระหว่าง (ที่สูงกว่า) ๑ ตรงหน้าเกินไป ๑ หลังเกินไป ๑ เพราะนั่งไกลเกินไป หากประสงค์จะพูดก็ต้องพูดด้วยเสียงดัง นั่งใกล้เกินไป ย่อมเบียดเสียด นั่งเหนือลม ก็จะรบกวนด้วยกลิ่นตัว นั่งไม่มีระหว่าง (นั่งในที่สูงกว่า) ย่อมประกาศความไม่เคารพ นั่งตรงหน้าเกินไป หากประสงค์จะเห็น ตาต่อตาก็จะจ้องกัน นั่งหลังเกินไป หากประสงค์จะเห็น ก็ต้องเหยียดคอ (ชะโงกหน้า) มองดู เพราะฉะนั้น พระอานนทเถระนี้ จึงนั่งเว้นโทษของการนั่ง ๖ ประการเหล่านี้ ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เอกมนฺตํ นิสีทิ (นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง).

บทว่า เอตทโวจ (ได้ทูลถามว่า) คือได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ตัดคำเป็น เอตํ อโวจ.

บทว่า สุญฺโ โลโก สุญฺโ โลโกติ ภนฺเต วุจฺจติ (ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า โลกสูญ โลกสูญ) ดังนี้ ความว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติในศาสนานี้ย่อมกล่าวว่า โลกสูญ โลกสูญ ดังนี้ เพราะคำเช่นนั้น พูดกันมากในที่นั้นๆ เพื่อสงเคราะห์ภิกษุทั้งหมดเหล่านั้น จึงพูดซ้ำๆ เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็เป็นอันรวมคำเหล่านั้นทั้งหมด.

บทว่า กิตฺตาวตา (ด้วยเหตุเพียงเท่าไร) คือด้วยประมาณเท่าไร.

ศัพท์ว่า นุ (หนอ) เป็นนิบาต ลงในอรรถแห่งความสงสัย.

บทว่า สุญฺํ อตฺเตน วา อตฺตนิเยน วา (สูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน) คือสูญจากตนที่โลกกำหนดไว้อย่างนี้ว่า ผู้ทำ ผู้เสวย ผู้มีอำนาจเอง

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 644

และสูญจากบริขารอันเป็นของตน เพราะความไม่มีตนนั่นแหละ จักษุเป็นต้นทั้งหมด เป็นธรรมชาติของโลก (โลกิยธรรมชาติ) จักษุเป็นต้นนั่นแหละ ชื่อว่า โลก เพราะอรรถว่า สลายไป อนึ่ง เพราะตนไม่มีในโลกนี้และสิ่งที่เนื่องด้วยตนก็ไม่มีในโลกนี้ ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า โลกสูญ (ตสฺมา สุญฺโ โลโกติ วุจฺจติ) แม้โลกุตรธรรมก็สูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเหมือนกัน แต่ตรัสถึงโลกิยธรรมเท่านั้นโดยสมควรแก่คำถาม.

อนึ่ง บทว่า สุญฺโ (สูญ) พระองค์ไม่ตรัสว่า ธรรมไม่มี ตรัสถึงความไม่มีตนและสาระอันเนื่องด้วยตนในธรรมนั้น อนึ่ง เมื่อชาวโลกพูดว่า เรือนสูญ (ว่าง) หม้อสูญ (ว่าง) ก็มิใช่กล่าวถึงความไม่มีเรือนและหม้อ แต่กล่าวถึงความไม่มีสิ่งอื่นในเรือนและในหม้อนั้น อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสความนี้ไว้ว่า ก็สิ่งใดแลไม่มีในสิ่งนั้น ภิกษุย่อมพิจารณาสิ่งนั้นว่าสูญด้วยเหตุนั้น แต่สิ่งใดมีเหลืออยู่ในสิ่งนั้น สิ่งนั้นมีอยู่ ภิกษุย่อมรู้ว่าสิ่งนี้มีอยู่ดังนี้ ในญายคันถะ (คัมภีร์เพื่อความรู้) และในสัททคันถะ (คัมภีร์ศัพท์) ก็มีความอย่างนี้เหมือนกัน ในพระสูตรนี้ พระองค์ตรัสถึงอนัตตลักขณสูตร (ลักษณะที่เป็นอนัตตา) เหล่านั้น ด้วยประการดังนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในสุตตันตนิเทศดังต่อไปนี้.

ท่านพระสารีบุตรยกบทมาติกา ๒๕ บท มีอาทิว่า สุญฺํ สุญฺํ (สูญญสูญ) ขึ้นด้วยเชื่อมคำว่า สูญ แล้วชี้แจงบทมาติกาเหล่านั้น.

พึงทราบความในมาติกานั้น ดังต่อไปนี้.

ชื่อว่า สุญฺํ สุญฺํ เพราะสูญ คือว่างเปล่า ไม่แปลกไปจากบทอื่น อนึ่ง ในบทนี้เพราะไม่ชี้แจงว่า อสุกํ (โน้น เป็นสิางโน้น) หรือเพราะเพ่งถึงความเป็นของสูญเท่านั้น ท่านจึงทำให้เป็นคำนปุงสกลิงค์ แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนี้.

ชื่อว่า สังขารสูญ เพราะสังขารนั่นแหละสูญจากสังขารที่เหลือ.

ชื่อว่า วิปริณามสูญ เพราะสูญผิดรูป เปลี่ยนแปลง

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 645

แปรปรวนไปด้วยชราและความดับ สูญเพราะวิปริณามธรรมนั้น.

ชื่อว่า อัคคสูญ เพราะอัคคบทนั้นเป็นเลิศและสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน หรือสูญจากสังขารทั้งปวง.

ชื่อว่า ลักษณสูญ เพราะลักษณะนั่นแหละสูญจากลักษณะที่เหลือ.

ชื่อว่า วิกขัมภนสูญ ความสูญเพราะการข่มมีเนกขัมมะเป็นต้น.

แม้ในสุญญะ ๔ มี ตทังคสูญ (สูญเพราะองค์นั้นๆ) เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

ชื่อว่า อัชฌัตตสูญ (ภายในสูญ) เพราะสิ่งนั้นเป็นภายในและสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นต้น.

ชื่อว่า พหิทธาสูญ (ภายนอกสูญ) เพราะสิ่งนั้นเป็นภายนอกและสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นต้น.

ชื่อว่า ทุภโตสูญ (ทั้งภายในและภายนอกสูญ) เพราะทั้งสองนั้นสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นต้น.

ชื่อว่า สภาคสูญ (ส่วนที่เสมอกันสูญ) ชื่อว่า สภาคะ เพราะมีส่วนเสมอกัน เพราะสิ่งนั้นเป็นสภาคและสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นต้น ความว่า สูญเหมือนกัน เสมอกันสูญ.

ชื่อว่า วิสภาคสูญ (ส่วนที่ไม่เสมอกันสูญ) ชื่อว่า วิสภาคะ เพราะปราศจากส่วนเสมอกัน (ส่วนเสมอกันไปปราศแล้ว) เพราะสิ่งนั้นเป็นวิสภาคะและสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน ความว่า สูญไม่เหมือนกัน (ไม่เสมอกันสูญ).

ในบางคัมภีร์เขียนไว้ว่า สภาคสุญฺํ วิสภาคสุญฺํ (สภาคสูญ วิสภาคสูญ) อยู่ในลำดับ นิสฺสรณสุญฺํ (นิสสรณสูญ สูญเพราะสลัดออก).

ชื่อว่า เอสนาสูญ (ความแสวงหาสูญ) เพราะการแสวงหาเนกขัมมะเป็นต้น สูญจากกามฉันทะเป็นต้น แม้ในสุญญะ ๓ มี ปริคฺคหสุญฺา (ปริคคหสูญ ความกำหนดสูญ) เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

ชื่อว่า เอกัตตสูญ (ความเป็นอย่างเดียวสูญ) เพราะความเป็นอย่างเดียวกันและสูญจากความเป็นต่างกัน เพราะตั้งอยู่ในอารมณ์เดียวกัน เพราะไม่มีความฟุ้งซ่านในอารมณ์ต่างๆ กัน.

ชื่อว่า นานัตตสูญ (ความเป็นต่างๆ สูญ) เพราะสิ่งนั้นมีความเป็นต่างๆ กันและสูญจากความเป็นอันเดียวกัน เพราะตรงกันข้ามกับความเป็นอย่างเดียวกันนั้นสูญ (เอกัตตสูญ).

ชื่อว่า ขันติสูญ เพราะความอดทน (ความชอบใจ) ในเนกขัมมะเป็นต้น

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 646

สูญจากกามฉันทะเป็นต้น.

อธิษฐานสูญ และ ปริโยคาหนสูญ (ความมั่นคงสูญ) มีนัยนี้เหมือนกัน ปาฐะว่า ปริโยคาหนสูญ ก็มี.

บทว่า สมฺปชานสฺส (ผู้มีสัมปชัญญะ แห่งสัมปชานบุคคล) คือ พระอรหันต์ผู้ปรินิพพานประกอบด้วยสัมปชัญญะ.

บทว่า ปวตฺตปริยาทานํ (การครอบงำความเป็นไป) คืออนุปาทาปรินิพพาน (ปรินิพพานเพราะไม่เกิดอีก ปรินิพพานโดยไม่ยึดมั่น).

บทว่า สพฺพสุญฺตานํ (แห่งความสูญทั้งปวง) คือกว่าความสูญทั้งปวง.

บทว่า ปรมตฺถสุญฺํ (เป็นปรมัตถสูญ) คือความสูญอันเป็นประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะไม่มีสังขารทั้งปวง.

พึงทราบวินิจฉัยในมาติกานิเทศดังต่อไปนี้.

บทว่า นิจฺเจน วา (จากความเที่ยง) คือสูญจากความเที่ยง เพราะไม่มีความเที่ยงไรๆ อันก้าวล่วงความดับแล้วเป็นไปอยู่ได้.

บทว่า ธุเวน วา (จากความยั่งยืน) คือสูญจากความยั่งยืน เพราะไม่มีสิ่งไรๆ ที่มั่นคง เพราะเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัย แม้ในกาลที่มีอยู่.

บทว่า สสฺสเตน วา (จากความมั่นคง) คือสูญจากความมั่นคง เพราะไม่มีอะไรๆ ที่มีอยู่ในกาลทั้งปวงซึ่งตัดขาดไปแล้ว.

บทว่า อวิปริณามธมฺเมน วา (จากความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา) คือสูญจากความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะไม่มีอะไรๆ ซึ่งปกติจะไม่แปรปรวนไปด้วยอำนาจความดับ.

เมื่อกล่าวถึงความสูญจากตนโดยพระสูตรแล้ว เพื่อแสดงความสูญจากความเป็นของเที่ยง และความสูญจากความสุข ท่านจึงกล่าวบทมีอาทิว่า นิจฺเจน วา (จากความเที่ยง) ไว้ในที่นี้ เมื่อกล่าวถึงความสูญจากความเป็นของเที่ยง เพราะความเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์โดยถูกบีบคั้น เป็นอันท่านกล่าวถึงแม้ความสูญจากความสุขด้วย.

อนึ่ง พึงทราบว่าท่านย่อวิสัย ๖ มีรูปเป็นต้น วิญญาณ ๖ มีจักษุวิญญาณเป็นต้น ผัสสะ ๖ มีจักษุสัมผัสเป็นต้น และเวทนา ๖ มีจักษุสัมผัสสชาเวทนาเป็นต้นไว้ในที่นี้.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 647

พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า ปุญฺาภิสงฺขาโร ดังต่อไปนี้.

ชื่อว่า บุญ เพราะกลั่นกรองการกระทำของตน (เพราะชำระผู้กระทำตามตน) ยังอัธยาศัยของบุคคลนั้นให้เต็ม และยังความเจริญ (ยังภพ) น่าบูชาให้เกิด.

ชื่อว่า อภิสังขาร เพราะปรุงแต่งวิบากและกฏัตตารูป.

การปรุงแต่งบุญ ชื่อว่า ปุญญาภิสังขาร การปรุงแต่งบาป (สิ่งที่มิใช่บุญ) โดยตรงกันข้ามกับบุญ ชื่อว่า อปุญญาภิสังขาร.

ความหวั่นไหวหามิได้ ชื่อว่า อเนญชะ ชื่อว่า อเนญชาภิสังขาร เพราะปรุงแต่งความไม่หวั่นไหว (เพราะปรุงแต่งภพอันไม่หวั่นไหว *เป็นอรูปฌานขั้นสูง ซึ่งจิตในขณะนั้นไม่หวั่นไหวเพราะรูป).

ปุญญาภิสังขารมีเจตนา ๑๓ คือกามาวจรกุศลเจตนา ๘ ที่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งทาน ศีล ภาวนาเป็นต้น และรูปาวจรกุศลเจตนา ๕ ที่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งภาวนา อปุญญาภิสังขารมีอกุศลเจตนา ๑๒ ที่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งปาณาติบาตเป็นต้น อเนญชาภิสังขารมีอรูปาวจรเจตนา ๔ ที่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งภาวนาเท่านั้น เพราะเหตุนั้น สังขาร ๓ จึงมีเจตนา ๒๙.

ในกายสังขารเป็นต้นมีความดังนี้ ชื่อว่า กายสังขาร เพราะเป็นไปทางกาย หรือปรุงแต่งกาย แม้ใน วจีสังขาร และ จิตตสังขาร ก็มีนัยนี้เหมือนกัน ท่านกล่าวติกะนี้เพื่อให้เห็นความเป็นไปทางทวารแห่งปุญญาภิสังขารเป็นต้น ในขณะประมวลกรรมไว้ เจตนา ๒๑ คือกามาวจรกุศลเจตนา ๘ อกุศลเจตนา ๑๒ อภิญญาเจตนา ๑ ยังกายวิญญัติ (ให้รู้ทางกาย) ให้ตั้งขึ้น แล้วเป็นไปทางกายทวาร ชื่อว่า กายสังขาร เจตนาเหล่านั้นนั่นแหละ ที่ยังวจีวิญญัติ (ให้รู้ทางวาจา) ให้ตั้งขึ้น แล้วเป็นไปทางวจีทวาร ชื่อว่า วจีสังขาร ส่วนเจตนา ๒๙ แม้ทั้งหมด ที่เป็นไปในมโนทวาร ชื่อว่า จิตตสังขาร.

ในบทมีอาทิว่า อตีตา สงฺขารา (สังขารส่วนอดีต) มีความดังต่อไปนี้.

สังขตธรรมแม้ทั้งหมด ที่ถึงคราว (ขณะ) ของตนแล้วดับไป ชื่อว่า สังขารส่วนอดีต (อตีตา สงฺขารา) สังขตธรรมที่ยังไม่ถึงคราวของตน ชื่อว่า สังขารส่วนอนาคต (อนาคตา สงฺขารา) สังขตธรรมที่ถึงคราวของตน ชื่อว่า สังขารส่วนปัจจุบัน (ปจฺจุปฺปนฺนา สงฺขารา).

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 648

ในวิปริณามสูญ พระสารีบุตรเถระแสดงถึงปัจจุบันธรรมก่อนโดยประสงค์ว่า ครั้นแสดงสิ่งที่เป็นปัจจุบันแล้ว ความแปรปรวนของสังขารส่วนปัจจุบันนั้นๆ สามารถกล่าวได้ง่าย.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ชาตํ รูปํ (รูปเกิดแล้ว) คือรูปส่วนปัจจุบัน.

พึงทราบความในบทนี้ว่า สภาเวน สุญฺํ (สูญไปจากสภาพ) ดังต่อไปนี้.

ความเป็นเอง ชื่อว่า สภาพ อธิบายว่า เกิดเอง หรือความเป็นของตน (ภาวะของตน) ชื่อว่า สภาพ อธิบายว่า ความเกิดของตนเอง. ชื่อว่า สูญไปจากสภาพ เพราะความเป็นเองหรือความเป็นของตน เว้นปัจจัย ไม่มีในสภาพนี้ เพราะความเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัย หรือความเป็นของตนไม่มีในสภาพนี้ ท่านอธิบายว่า สูญจากความเป็นเอง หรือจากความเป็นแห่งตน อีกอย่างหนึ่ง ความเป็นของแห่งตน (ภาวะแห่งตน) ชื่อว่า สภาพ เพราะว่าธรรมหนึ่งๆ ในรูปธรรมและอรูปธรรมไม่น้อยมีปฐวีธาตุเป็นต้น ชื่อว่า ของตน เพราะเทียบกับผู้อื่นด้วย.

อนึ่ง บทว่า ภาโว (ภาวะ) นี้ เป็นคำกล่าวโดยธรรมปริยาย (เป็นคำเรียกธรรมโดยอ้อม) อนึ่ง ธรรม คือความเป็นอื่นไม่มีแก่ธรรมหนึ่ง (ภาวะอย่างอื่นแห่งธรรมหนึ่ง ไม่มี) เพราะฉะนั้น ชื่อว่า สูญจากความเป็นอื่น (สูญจากภาวะอื่น) ของตน อธิบายว่า ตนว่างจากภาวะอื่น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวความที่ธรรมนั้นเป็นสภาพอย่างเดียวกัน.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สภาเวน สุญฺํ (สูญไปจากสภาพ) คือสูญไปจากสภาพอันเป็นความสูญ (สูญไปโดยสภาพที่ว่างเปล่านั่นแหละ) ท่านอธิบายไว้อย่างไร ท่านอธิบายไว้ว่า สูญเพราะความเป็นสภาพสุญญสูญ มิใช่สูญเพราะความเป็นสภาพสูญโดยปริยายอย่างอื่น.

หากอาจารย์บางพวกพึงกล่าวว่า ความเป็นตน (ภาวะของตน) ชื่อว่า สภาพ สูญจากสภาพนั้น อธิบายไว้อย่างไร ธรรม ชื่อว่า ภาวะ ภาวะนั้นเติมบท เข้าไปโดยเทียบกับผู้อื่น จึงชื่อว่า สภาพ เพราะธรรมไม่มีแก่ใครๆ ท่านจึงกล่าวความไม่มีแห่งรูปว่า รูปเกิดแล้วสูญไปจากสภาพ ดังนี้ เมื่อเป็นอย่างนั้น ย่อมผิด

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 649

ด้วยคำว่า ชาตํ รูปํ (รูปเกิดแล้ว) เพราะสิ่งที่ปราศจากความเกิดขึ้น จะชื่อว่า เกิดแล้วไม่ได้ นิพพานต่างหากปราศจากความเกิด นิพพานนั้นจึงไม่ชื่อว่า เกิดแล้ว อนึ่ง ชาติ ชราและมรณะปราศจากความเกิด ก็ไม่ชื่อว่า เกิดแล้ว ด้วยเหตุนั้นแหละ ในบทนี้ ท่านจึงไม่ยกขึ้นแสดงอย่างนี้ว่า ชาติเกิดแล้ว สูญไปจากสภาพ ชรามรณะเกิดแล้ว สูญไปจากสภาพ แล้วจึงชี้แจงทำภพนั่นแหละให้เป็นที่สุด.

ผิว่า คำว่า ชาตํ (เกิดแล้ว) พึงควรแม้แก่สิ่งปราศจากความเกิด ก็ควรกล่าวได้ว่า ชาตา ชาติ ชาติ ชรามรณํ (ชาติเกิดแล้ว ชราและมรณะเกิดแล้ว) เพราะเมื่อชาติชราและมรณะปราศจากความเกิด ท่านก็ไม่กล่าวคำว่า ชาติ ฉะนั้น คำว่า สูญ คือไม่มี สูญจากสภาพ จึงผิดด้วยคำว่า ชาตํ เพราะปราศจากความเกิดของสิ่งที่ไม่มี อนึ่ง เมื่อไม่มี คำว่า สุญฺํ ก็ผิดด้วยคำของชาวโลกที่กล่าวแล้วในหนหลัง ผิดด้วยพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า และผิดด้วยคำในญายคันถะและสัททคันถะ และผิดด้วยข้อยุติไม่น้อย เพราะฉะนั้น พึงทิ้งคำนั้นเสีย เหมือนทิ้งขยะ ในบทนี้เป็นอันยุติว่า ธรรม คือธรรมทั้งหลายมีอยู่ในขณะของตน ด้วยประมาณพระพุทธพจน์มิใช่น้อย และด้วยข้อยุติมิใช่น้อย มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่บัณฑิตทั้งหลายในโลกสมมติว่ามีอยู่ แม้เราก็กล่าวว่า สิ่งนั้นมีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่บัณฑิตทั้งหลายในโลกสมมติว่าไม่มี แม้เราก็กล่าวว่า สิ่งนั้นไม่มี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่บัณฑิตทั้งหลายในโลกสมมติว่ามี เราก็กล่าวว่าสิ่งนั้นมี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดเล่าที่บัณฑิตทั้งหลายในโลกสมมติว่ามี เราก็กล่าวว่ามี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตทั้งหลายในโลกสมมติว่ามี แม้เราก็กล่าวว่า สิ่งนั้นว่ามี. (๑)


(๑) สํ. ขนฺธ. ๑๗/๒๓๙/๑๖๙.

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 650

บทว่า วิคตํ รูปํ (รูปหายไป) คือรูปส่วนอดีตดับ เพราะเกิดแล้วถึงความดับ.

บทว่า วิปริณตญฺเจว สุญฺญฺจ (รูปแปรปรวนไปและสูญไป) คือรูปถึงความแปรปรวนผิดรูปด้วยชราและความดับ และสูญด้วยความแปรปรวนนั้น เพราะปรากฏความแปรปรวนแห่งรูปที่กำลังเป็นไปอยู่ เพราะไม่มีความแปรปรวนแห่งรูปส่วนอดีต.

แม้ในบทว่า ชาตา เวทนา (เวทนาเกิดแล้ว) เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน อนึ่ง ชาติ ชรา และมรณะไม่ควรในที่นี้ เพราะไม่พึงได้ด้วยภาวะของตน เพราะยังไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น ท่านจึงละนัยทั้งสองอาทิว่า ชาติเกิดแล้ว ชราและมรณะเกิดแล้ว แล้วทำนัยมีภพเป็นต้นนั้นแหละให้เป็นที่สุดหยุดไว้.

บทว่า อคฺคํ (เลิศ) คือเป็นผู้อยู่ในความเลิศ มีในความเลิศ.

บทว่า เสฏฺํ (ประเสริฐ) คือน่าสรรเสริญอย่างยิ่ง.

บทว่า วิสิฏฺํ (วิเศษ) คือวิเศษยิ่ง ปาฐะว่า วิเสฏฺํ บ้าง นิพพานที่สรรเสริญแล้วแม้โดยอาการ ๓ อย่างนั้น คือ อคฺคํ เสฏฺํ วิสิฏฺํ นิพพานอันประเสริฐ ชื่อว่า บท เพราะความปฏิบัติ (เพราะพึงดำเนินไป) ด้วยปฏิปทาชอบ.

บทว่า ยทิทํ (บทนี้ คือ) ตัดบทเป็น ยํ อิทํ บัดนี้ พระสารีบุตรเถระจะชี้แจงถึงนิพพานอันควรกล่าวไว้ เพราะความสงบสังขารทั้งปวงย่อมมีได้เพราะอาศัยนิพพาน ความสละอุปธิทั้งหลายอันได้แก่ ขันธูปธิ กิเลสูปธิ อภิสังขารูปธิ กามคุณูปธิ ย่อมมีได้ ความสิ้นตัณหา วิราคะ (ความสำรอกกิเลส) และนิโรธ (ความดับ) ย่อมมีได้ ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ (ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกกิเลส ความดับ).

บทว่า นิพฺพานํ (นิพพาน) คือออกไปจากลักษณะอันเป็นสภาพ ท่านสรุปโดยลักษณะแห่งสภาวะ.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 651

พึงทราบวินิจฉัยในลักษณะทั้งหลายดังต่อไปนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาลลักษณะ พาลนิมิต พาลาปทาน (เรื่องราวของคนพาล การแสดงออกของคนพาล) ของคนพาลมี ๓ อย่าง ๓ อย่างเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาลในโลกนี้มีความคิดชั่ว พูดชั่วและทำกรรมชั่ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้แลเป็นพาลลักษณะ พาลนิมิต พาลาปทานของคนพาล พาลลักษณะ ๓ อย่างของคนพาล บัณฑิตทั้งหลายเรียกว่า พาล เพราะลักษณะของตน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตลักษณะ บัณฑิตนิมิต บัณฑิตาปทาน (เรื่องราวของบัณฑิต การแสดงออกของบัณฑิต) ของบัณฑิตมี ๓ อย่าง เหล่านี้ ๓ อย่างเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตในโลกนี้คิดดี พูดดี และทำกรรมดี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้แลเป็นบัณฑิตลักษณะ บัณฑิตนิมิต และบัณฑิตาปทานของบัณฑิต บัณฑิตลักษณะ ๓ อย่างของบัณฑิต บัณฑิตทั้งหลายเรียกว่า บัณฑิต เพราะลักษณะของตน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขตลักษณะของสังขตธรรม ๓ เหล่านี้ ๓ อย่างเป็นไฉน ความเกิดปรากฏ ๑ ความเสื่อมปรากฏ ๑ เมื่อตั้งอยู่ความแปรไปปรากฏ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้แหละ เป็นสังขตลักษณะของสังขตธรรม.

ด้วยบทนี้ (สังขตลักษณะ) ท่านแสดงถึงความไม่มีลักษณะ ๒ ที่เหลือในขณะเกิด ลักษณะ ๒ ที่เหลือในขณะตั้งอยู่ ลักษณะ ๒ ที่เหลือในขณะดับ อนึ่ง ในบทนี้ท่านกล่าวถึงลักษณะมีความเกิดเป็นต้นแห่งชาติ และชรามรณะโดยไปยาลมุข (ละข้อความ) ลักษณะนั้นย่อมผิดไปจากคำแห่งนัยอันมีภพเป็นที่สุดซึ่งละชาติชราและมรณะเสีย เหตุที่เป็นวิปริณามสูญ และจากลัทธิที่ไม่พูดถึงความเกิดขึ้นเป็นต้นแห่งความเกิดขึ้นเป็นต้น แต่เพราะตกไปในกระแสแห่งลักษณะ พึงทราบว่าท่านเขียนทำให้ตกไปในกระแสความ.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 652

อนึ่ง ท่านกล่าวว่าในอภิธรรมมิได้ยกขึ้นว่า องค์แห่งฌานแม้ที่ได้ในสังคหวาร แห่งมโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุอันเป็นอเหตุกวิบาก ก็ตกไปในกระแสแห่งวิญญาณ ๕ ฉันใด แม้ในที่นี้ ก็พึงทราบความที่ลักษณะตกไปในกระแส ฉันนั้น.

อีกอย่างหนึ่ง ความเกิดเป็นต้นแห่งสังขารทั้งหลายอันมีชาติ ชรา และมรณะ พึงทราบว่า ท่านกล่าวทำสังขารเหล่านั้นดุจในบทว่า เมื่อมนสิการชาติชราและมรณะโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง และให้เป็นดุจความเกิดขึ้นแห่งชาติชราและมรณะเหล่านั้น.

บทว่า เนกฺขมฺเมน กามจฺฉนฺโท วิกฺขมฺภิโต เจว สุญฺโ จ (กามฉันทะอันเนกขัมมะข่มแล้วและสูญไป) คือกามฉันทะอันเนกขัมมะข่มแล้ว และสูญไปเพราะเนกขัมมะ กล่าวคืออันเนกขัมมะนั้นแหละข่ม เพราะไม่มีเนกขัมมะในกามฉันทะนั้น แม้ในบทที่เหลือก็พึงทำการประกอบอย่างนี้ อนึ่ง ในอธิการนี้แม้ในตทังคปหานและสมุจเฉทปหาน ท่านก็กล่าวถึงการข่มด้วยอรรถว่า ทำให้ไกลด้วยบทนี้ว่า ละด้วยตทังคะและสมุจเฉทะแล้ว ย่อมเป็นอันทำให้ไกลแล้วนั่นเอง.

บทว่า เนกฺขมฺเมน กามฉนฺโท ตทงฺคสุญฺโ (กามฉันทะเป็นตทังคสูญ (สูญเพราะองค์นั้นๆ) เพราะเนกขัมมะ) คือกามฉันทะละได้ด้วยเนกขัมมะ สูญไปด้วยองค์ คือเนกขัมมะนั้น อีกอย่างหนึ่ง กามฉันทะอย่างใดอย่างหนึ่งสูญไปด้วยองค์นั้น คือเนกขัมมะ เพราะไม่มีเนกขัมมะในกามฉันทะนั้น แม้ในบทที่เหลือก็พึงทราบการประกอบความอย่างนี้ อนึ่ง ในบทนี้ ท่านชี้แจงความสูญเพราะองค์นั้นๆ ด้วยอุปจารฌานและอัปปนาฌาน และด้วยวิปัสสนา เพียงความไม่มีองค์นั้นๆ ในกามฉันทะนั้นๆ แต่เพราะไม่มีคำแสดงถึงการละ ท่านจึงแสดงวิปัสสนาทำวิวัฏฏานุปัสสนา (การเห็นนิพพาน) ให้เป็นที่สุด เพราะไม่มีคำแสดงถึงการละ ท่านมิได้แสดงถึงมรรค ๔.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 653

ในบทมีอาทิว่า เนกฺขมฺเมน กามฉนฺโท สมุจฺฉินฺโน เจว สุญฺโ (กามฉันทะอันเนกขัมมะตัดแล้วและสูญไปจากเนกขัมมะ) พึงทราบอรรถในบทนี้โดยนัยดังกล่าวแล้วในวิกขัมภนะ (การข่ม) สูญ นั้นแล ท่านกล่าวถึงสมุจเฉทะ (การตัด) โดยปริยายนี้ว่า นิวรณ์ทั้งหลาย แม้ละแล้วด้วยตทังคะและวิกขัมภนะ ก็ชื่อว่า ตัดขาดแล้ว เพราะไม่มีความปรากฏขึ้น (ในฌานนี้) พึงทราบว่า ท่านกล่าวด้วยสามารถให้สำเร็จในการตัดกามฉันทะ (กิเลส) นั้นๆ และด้วยสามารถเนกขัมมะอันสัมยุตด้วยมรรคเป็นต้น.

อนึ่ง ในปฏิปัสสัทธิสูญ (สูญเพราะระงับ) และนิสสรณสูญ (สูญเพราะสลัดออก) พึงทราบอรรถตามนัยดังกล่าวแล้วในบทนี้นั้นแหละ ส่วนในตทังคปหาน วิกขัมภนปหาน และสมุจเฉทปหาน ท่านกล่าวถือเอาเพียงความสลัดออก และเพียงสงบระงับในบทนี้ ในสุญญะ ๕ เหล่านี้ เนกขัมมะเป็นต้นท่านกล่าวโดยชื่อว่า วิกขัมภนสูญ ตทังคสูญ สมุจเฉทสูญ ปฏิปัสสัทธิสูญและนิสสรณสูญ.

บทว่า อชฺฌตฺตํ (ภายใน) คือมีในภายใน.

บทว่า พหิทฺธา (ภายนอก) คือมีในภายนอก.

บทว่า ทุภโต สุญฺํ (ทุภโตสูญ) คือสูญทั้งภายในและภายนอกทั้งสอง คำว่า โต ย่อมมีแม้ในปัจจัตตะ (ปฐมาวิภัตติ) เป็นต้น.

อายตนะภายใน ๖ เป็นต้น เป็นส่วนเสมอกัน โดยความเป็นอายตนะภายใน ๖ เป็นต้น เป็นส่วนไม่เสมอกัน ด้วยอายตนะทั้งหลายอื่น.

อนึ่ง ในบทมีอาทิว่า วิญฺาณกายา (ด้วยหมวดวิญญาณ) ในที่นี้ท่านกล่าวถึงวิญญาณเป็นต้นด้วยคำว่า กายะ (หมวด).

ใน เนกฺขมฺเมสนา (การแสวงหาเนกขัมมะ) เป็นต้น พึงทราบความดังต่อไปนี้ ชื่อว่า เอสนา (ความแสวงหา) เพราะอันวิญญูชนทั้งหลาย ผู้มีความต้องการเนกขัมมะนั้น ย่อมแสวงหาเนกขัมมะเป็นต้นนั่นแหละ.

อีกอย่างหนึ่ง แม้การแสวงหาเนกขัมมะเป็นต้นในส่วนเบื้องต้นก็สูญไปจากกามฉันทะเป็นต้น แม้คำว่า เนกขัมมะเป็นต้น มีคำอธิบายไว้อย่างไร

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 654

ใน ปริคฺคหสูญ (ความกำหนดสูญ) เป็นต้น เนกขัมมะเป็นต้นนั่นแหละ พึงทราบความดังต่อไปนี้ ท่านกล่าวว่า ชื่อว่า ปริคฺคห เพราะวิญญูชนแสวงหาเนกขัมมะเป็นต้นในส่วนเบื้องต้น กำหนดเอาในส่วนเบื้องปลาย (ในภายหลัง) ชื่อว่า ปฏิลาภ (ความได้เฉพาะ) เพราะวิญญูชนกำหนด (เนกขัมมะ) แล้วย่อมได้เฉพาะด้วยการบรรลุ และชื่อว่า ปฏิเวธ (การแทงตลอด) เพราะวิญญูชนได้ (เนกขัมมะ) แล้วย่อมแทงตลอดด้วยญาณ.

พระสารีบุตรเถระถามถึง เอกัตตสูญ (ความเป็นอย่างเดียวสูญ) และ นานัตตสูญ (ความเป็นต่างๆ สูญ) คราวเดียวกัน แล้วแก้ความเป็นอย่างเดียวสูญ ไม่แก้ความเป็นต่างๆ สูญ แล้วทำการสรุปคราวเดียวกัน หากถามว่า เพราะเหตุไรจึงไม่แก้ ตอบว่า พึงทราบว่า ไม่แก้ เพราะท่านเพ่งถึงการประกอบความในบทนี้โดยปริยายดังกล่าวแล้ว (โดยตรงกันข้ามกับคำที่กล่าวแล้ว) อนึ่ง ในบทนี้พึงทราบการประกอบความดังนี้ เนกขัมมะเป็นอย่างเดียว กามฉันทะเป็นความต่าง กามฉันทะเป็นความต่าง สูญไปจากความเป็นอย่างเดียว คือเนกขัมมะ แม้ในบทที่เหลือพึงทราบการประกอบความอย่างนี้.

ในบทมีอาทิว่า ขนฺติ พึงทราบความดังต่อไปนี้ เนกขัมมะเป็นต้น ท่านกล่าวว่า ขันติ เพราะอดทน เพราะชอบใจ กล่าวว่า อธิฏฐาน (อธิษฐาน) เพราะตั้งไว้ซึ่งความชอบใจ (เข้าไปสู่สิ่งที่ตนชอบใจแล้วตั้งอยู่) และกล่าวว่า ปริโยคาหนะ (ความมั่นคง) เพราะเมื่อเข้าไปตั้งแล้วเสพตามความชอบใจ.

ปรมัตถสุญญนิเทศมีอาทิว่า สมฺปชาโน (รู้ตัว สัมปชานบุคคล) ท่านพรรณนาไว้แล้วในปรินิพพานญาณนิเทศนั่นแหละ.

อนึ่ง ในสุญญะทั้งหมดเหล่านี้ สังขารสุญญะ (สังขารสูญ) วิปริณามสุญญะ (วิปริณามสูญ ความแปรปรวนสูญ) และลักขณสุญญะ (ลักษณสูญ) ท่านกล่าวเพื่อให้เห็นความไม่ปนกันและกันของธรรมทั้งหลายตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว.

อนึ่ง ท่านกล่าวถึงความสูญไปจากธรรมฝ่ายกุศลแห่งธรรมฝ่ายอกุศลในฐานะใด เพื่อให้เห็นโทษในอกุศลด้วยฐานะนั้น ท่านกล่าวถึงความสูญไปจากธรรมฝ่ายอกุศลแห่งธรรมฝ่ายกุศลด้วยฐานะใด เพื่อให้เห็นอานิสงส์ในกุศลด้วยฐานะนั้น ท่านกล่าวถึงความสูญไปจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นต้นในฐานะใด

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 655

เพื่อให้เกิดความเบื่อหน่ายฐานะนั้นในสังขารทั้งปวง พึงทราบว่าท่านกล่าวถึงอัคคสูญและปรมัตถสูญ เพื่อให้เกิดอุตสาหะในนิพพาน.

ในความสูญเหล่านั้น ความสูญ ๒ อย่าง คืออัคคสูญและปรมัตถสูญ โดยอรรถได้แก่นิพพานนั่นเอง ท่านกล่าวทำเป็น ๒ อย่างด้วยอำนาจแห่งความเลิศและมีประโยชน์อย่างยิ่ง และด้วยอำนาจแห่งสอุปาทิเสสและอนุปาทิเสส ความสูญ ๒ อย่างเหล่านั้น มีส่วนเสมอกันเพราะสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตน (สุญญสูญ) และสูญจากสังขาร (สังขารสูญ) ความสูญ ๖ อย่างเหล่านี้ คือสุญญสูญ ๑ ภายในสูญ (อัชฌัตตสูญ) ๑ ภายนอกสูญ (พหิทธาสูญ) ๑ ทั้งภายในและภายนอกสูญ (ทุภโตสูญ) ๑ ส่วนเสมอกันสูญ (สภาคสูญ) ๑ ส่วนไม่เสมอกันสูญ (วิสภาคสูญ) ๑ เป็นอันสุญญสูญทั้งหมด แต่ท่านกล่าวความสูญ ๖ อย่างโดยประเภทมีภายในสูญเป็นต้น อนึ่ง ความสูญ ๖ อย่างเหล่านั้นชื่อว่า มีส่วนเสมอกัน เพราะสูญจากตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นต้น ความสูญ ๑๗ อย่าง คือสังขารสูญ ๑ วิปริณามสูญ ๑ ลักษณสูญ ๑ วิกขัมภนสูญ ๑ ตทังคสูญ ๑ สมุจเฉทสูญ ๑ ปฏิปัสสัทธิสูญ ๑ นิสสรณสูญ ๑ เอสนาสูญ ๑ ปริคคหสูญ ๑ ปฏิลาภสูญ ๑ ปฏิเวธสูญ ๑ เอกัตตสูญ ๑ นานัตตสูญ ๑ ขันติสูญ ๑ อธิษฐานสูญ ๑ ปริโยคาหสูญ ๑ ท่านกล่าวไว้ต่างหากกันด้วยอำนาจแห่งความไม่มี เพราะสูญจากธรรมนั้นๆ อันไม่มีในตน.

อนึ่ง สังขารสูญ วิปริณามสูญ ลักษณสูญ มีส่วนเสมอกัน ด้วยอำนาจการไม่ปนกับความสูญนอกนั้น ความสูญ ๕ มีวิกขัมภนสูญเป็นต้น ชื่อว่า มีส่วนเสมอกัน เพราะความสูญไปด้วยธรรมฝ่ายกุศล ความสูญ ๔ มีเอสนาสูญเป็นต้น และความสูญ ๓ มีขันติสูญเป็นต้น ชื่อว่า มีส่วนเสมอกัน เพราะสูญไปจากธรรมฝ่ายอกุศล เอกัตตสูญและนานัตตสูญ มีส่วนเสมอกัน ด้วยตรงกันข้ามของกันและกัน (ด้วยอำนาจธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันและกัน).

ท่านผู้รู้อรรถแห่งความสูญ ย่อมพรรณนาไว้ในศาสนานี้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงโดยย่อเป็นความสูญ ๓ ส่วน ๒ ส่วน และ ๑ ส่วน.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 656

อย่างไร.

ธรรมทั้งปวงที่เป็นโลกิยธรรม ชื่อว่า สูญจากความยั่งยืน ความงาม ความสุขและตัวตน เพราะปราศจากความยั่งยืน ความงามความสุขและตัวตน.

ธรรมอันเป็นมรรคและผล ชื่อว่า สูญจากความยั่งยืน ความสุขและตัวตน เพราะปราศจากความยั่งยืน ความสุขและตัวตน ความเป็นสภาพไม่เที่ยงนั่นแหละสูญไปจากความสุข ความไม่มีอาสวะสูญไปจากความงาม นิพพานธรรม ชื่อว่า สูญจากตัวตนเพราะไม่มีตัวตน สังขตธรรมแม้ทั้งหมดทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ชื่อว่า สูญจากสัตว์ เพราะไม่มีสัตว์ไรๆ นิพพานธรรมอันเป็นอสังขตะ ชื่อว่า สูญจากสังขารเพราะไม่มีแม้สังขารทั้งหลายเหล่านั้น.

ส่วนธรรมทั้งหมด ทั้งที่เป็นสังขตธรรมและอสังขตธรรม ชื่อว่า สูญจากตัวตนเพราะไม่มีบุคคล กล่าวคือตัวตน ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถาสุญญกถา

จบอรรถกถายุคนัทธวรรค

แห่งอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ชื่อว่า สัทธัมมปกาสินี

และ

จบการพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนา

แห่งมัชฌิมวรรค

รวมกถาที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. ยุคนัทธกถา ๒. สัจจกถา ๓. โพชฌงคกถา ๔. เมตตากถา ๕. วิราคกถา ๖. ปฏิสัมภิทากถา ๗. ธรรมจักกกถา ๘. โลกุตตรกถา ๙. พลกถา ๑๐. สุญญกถา และอรรถกถา นิกายอันประเสริฐนี้ (ยุคนัทธวรรคนี้จัดว่าเป็นหมวดหมู่อันประเสริฐ) ท่านตั้งไว้แล้วเป็นวรมรรคอันประเสริฐที่ ๒ ไม่มีมรรคอื่นเสมอ ฉะนี้แล.