พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

พระสูตรที่ไม่รวมเข้าในวรรค (อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต)

  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 840

พระสูตรที่ไม่รวมเข้าในวรรค

ว่าด้วยผู้ควร และไม่ควรเจริญสติปัฏฐาน เป็นต้น

[๓๘๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการ เป็นผู้ไม่ควร เพื่อพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน? คือ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 841

ความเป็นผู้ชอบการงาน ๑ ความเป็นผู้ชอบคุย ๑ ความเป็นผู้ชอบหลับ ๑ ความเป็นผู้ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๑ ความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณ ในโภชนะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการ นี้แล เป็นผู้ไม่ควร เพื่อพิจารณาเห็นกายในกายอยู่.

[๓๘๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๖ ประการ เป็นผู้ควร เพื่อพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน? คือ ความเป็นผู้ชอบการงาน ๑ ความเป็นผู้ชอบคุย ๑ ความเป็นผู้ชอบหลับ ๑ ความเป็นผู้ชอบคลุกคลี ด้วยหมู่คณะ ๑ ความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณ ในโภชนะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๖ ประการ นี้แล เป็นผู้ควร เพื่อพิจารณาเห็นกายในกายอยู่.

[๓๙๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการ เป็นผู้ไม่ควร

เพื่อพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายในอยู่ ฯลฯ

เพื่อพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายนอกอยู่ ฯลฯ

เพื่อพิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในภายนอกอยู่ ฯลฯ

[๓๙๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการ เป็นผู้ไม่ควร

เพื่อพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ ฯลฯ

เพื่อพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย เป็นภายในอยู่ ฯลฯ

เพื่อพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย เป็นภายนอกอยู่ ฯลฯ

เพื่อพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย ทั้งภายในภายนอกอยู่ ฯลฯ

[๓๙๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการ เป็นผู้ไม่ควร

เพื่อพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ

เพื่อพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายในอยู่ ฯลฯ

เพื่อพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายนอกอยู่ ฯลฯ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 842

เพื่อพิจารณาเห็นจิตในจิต ทั้งในภายในทั้งในภายนอกอยู่ ฯลฯ

[๓๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการ เป็นผู้ไม่ควร

เพื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ ฯลฯ

เพื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย เป็นภายในอยู่ ฯลฯ

เพื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ทั้งภายในทั้งภายนอกอยู่

ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ชอบการงาน... ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณ ในโภชนะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการ นี้แล เป็นผู้ไม่ควร เพื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๖ ประการ เป็นผู้ไม่ควร เพื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเป็นภายในอยู่ ฯลฯ เพื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย เป็นภายนอกอยู่ ฯลฯ เพื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ทั้งภายในภายนอกอยู่ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน? คือ ความเป็นผู้ชอบการงาน... ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณ ในโภชนะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๖ ประการ นี้แล เป็นผู้ไม่ควร เพื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ทั้งภายในภายนอกอยู่.

[๓๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๖ ประการ เป็นผู้ควร เพื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ทั้งภายในภายนอกอยู่ ธรรม ๖ ประการ เป็นไฉน? คือ ความเป็นผู้ชอบการงาน ฯลฯ ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณ ในโภชนะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๖ ประการ นี้แล เป็นผู้ควร เพื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ทั้งภายในภายนอกอยู่.

ว่าด้วยบุคคล ผู้ปลงใจเชื่อพระพุทธเจ้า

[๓๙๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตปุสสคฤหบดี ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ เป็นผู้ปลงใจเชื่อ ในพระตถาคต เห็นอมตธรรม ทำให้แจ้งอมต-

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 843

ธรรมอยู่ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน? คือ ความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ๑ ความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ๑ ความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ๑ อริยศีล ๑ อริยญาณ ๑ อริยวิมุตติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตปุสสคฤหบดี ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ นี้แล เป็นผู้ปลงใจเชื่อในพระตถาคต เห็นอมตธรรม ทำให้แจ้งอมตธรรมอยู่.

[๓๙๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัลลิกคฤหบดี อนาถบิณฑิกสุทัตตคฤหบดี จิตตคฤหบดีชาวมัจฉิกาสัณฑนคร หัตถกคฤหบดีชาวเมืองอาฬวี เจ้าศากยะพระนามว่า มหานามะ อุคคคฤหบดีชาวเมืองเวสาลี อุคคตคฤหบดี สูรอัมพัฏฐคฤหบดี ชีวกโกมารภัจ นกุลบิดาคฤหบดี ตวกัณณิกคฤหบดี ปูรณคฤหบดี อิสิทัตตคฤหบดี สันธานคฤหบดี วิชยคฤหบดี วัชชิยมหิตคฤหบดี เมณฑกคฤหบดี วาเสฏฐอุบาสก อริฏฐอุบาสก สาทัตตอุบาสก ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ เป็นผู้ปลงใจเชื่อ ในพระตถาคต เห็นอมตธรรม ทำให้แจ้งซึ่งอมตธรรมอยู่ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน? คือ ความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ๑ ความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ๑ ความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ๑ อริยศีล ๑ อริยญาณ ๑ อริยวิมุตติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาทัตตอุบาสก ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ นี้แล เป็นผู้ปลงใจเชื่อ ในพระตถาคต เห็นอมตธรรม ทำให้แจ้งอมตธรรมอยู่.

ว่าด้วยธรรมที่ควรเจริญ

[๓๙๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการ อันภิกษุพึงให้เจริญ เพื่อรู้ยิ่งราคะ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน? คือ ทัสสนานุตริยะ ๑ สวนานุตริยะ ๑ ลาภานุตริยะ ๑ สิกขานุตริยะ ๑ ปาริจริยานุตริยะ ๑ อนุสตานุตริยะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการนี้ อันภิกษุพึงให้เจริญเพื่อรู้ยิ่งซึ่งราคะ.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 844

[๓๙๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการ อันภิกษุพึงให้เจริญ เพื่อรู้ยิ่งราคะ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน? คือ พุทธานุสสติ ๑ ธัมมานุสสติ ๑ สังฆานุสสติ ๑ สีลานุสสติ ๑ จาคานุสสติ ๑ เทวดานุสสติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการ นี้แล อันภิกษุพึงให้เจริญ เพื่อรู้ยิ่งซึ่งราคะ.

[๓๙๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการ อันภิกษุพึงให้เจริญ เพื่อรู้ยิ่งราคะ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน? คือ อนิจจสัญญา ๑ อนิจเจทุกขสัญญา ๑ ทุกเขอนัตตสัญญา ๑ ปหานสัญญา ๑ วิราคสัญญา ๑ นิโรธสัญญา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการ นี้แล อันภิกษุพึงให้เจริญ เพื่อรู้ยิ่งซึ่งราคะ.

[๔๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการ อันภิกษุพึงให้เจริญ เพื่อกำหนดรู้ราคะ ฯลฯ เพื่อความสิ้นไปรอบแห่งราคะ เพื่อละราคะ เพื่อสิ้นไปแห่งราคะ เพื่อเสื่อมไปแห่งราคะ เพื่อความคลายกำหนัดราคะ เพื่อดับราคะ เพื่อสละราคะ เพื่อปล่อยวางราคะ ฯลฯ

[๔๐๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการ อันภิกษุพึงให้เจริญ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไปรอบ เพื่อละ เพื่อสิ้นไป เพื่อเสื่อมไป เพื่อคลายไป เพื่อดับ เพื่อสละ เพื่อปล่อยวาง ซึ่งโทสะ โมหะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปฬาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการ นี้แล อันภิกษุพึงให้เจริญ เพื่อปล่อยวางปมาทะ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส พระพุทธพจน์นี้ จบลงแล้ว ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉะนี้แล.

จบฉักกนิบาต

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 845

อรรถกถาพระสูตรที่ไม่รวมเข้าในวรรค

พึงทราบวินิจฉัย ในบทต่อจากนี้ไป ดังนี้ :-

บทว่า ตปุสฺโส ได้แก่ อุบาสกผู้เปล่งวาจา ถึงรัตนะ ๒. บทว่า ตถาคเต นิฏฺงฺคโต ความว่า ผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว คือ ละความสงสัยในพระพุทธคุณได้แล้ว. ภิกษุชื่อว่า เห็นอมตะ เพราะได้เห็นอมตธรรม. บทว่า อริเยน ได้แก่ โลกุตตรศีลที่ไม่มีโทษ. บทว่า าเณน ได้แก่ ด้วยปัจจเวกขณญาณ. บทว่า วิมุตฺติยา ได้แก่ ผลวิมุตติของพระเสขะ. บทว่า ตวกณฺณิโก ได้แก่ คฤหบดีผู้มีชื่ออย่างนี้. บาลีว่า ตปกัณณิกะ ดังนี้ก็มี. บทว่า ราคสฺส ได้แก่ ราคะอันสัมปยุตด้วยกามคุณ ๕. คำที่เหลือ ในบททั้งปวง ง่ายทั้งนั้น ฉะนี้แล.

จบการพรรณนาความฉักกนิบาต

แห่งอรรถกถา อังคุตตรนิกาย ชื่อว่า มโนรถปูรณี