ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๑

 
khampan.a
วันที่  24 ต.ค. 2564
หมายเลข  39028
อ่าน  1,014

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๑
* *




~ การฟังพระธรรม มีพระธรรมคือคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นศาสดาแทนพระองค์ เหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ตรงกันเลย คำไหนที่ตรัสไว้แล้ว คำนั้นก็ยังดำรงอยู่ เป็นคำของพระองค์ ไม่ใช่คำของคนอื่น

~ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็จะไม่ละเลยในการฟังพระธรรม เพราะรู้ว่าหนทางเดียวที่จะรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ฟังแล้วก็มีความเข้าใจว่า ทั้งหมดจากการที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งลึกซึ้งละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม ก็พูดคำที่ไม่รู้จัก ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคำอะไรทั้งสิ้น

~ คฤหัสถ์ไม่เหมือนบรรพชิต ขัดเกลากิเลสด้วยปัญญาและมีชีวิตในเพศของคฤหัสถ์ แต่สำหรับบรรพชิตต้องขัดเกลากิเลสด้วยปัญญาและต้องเป็นผู้ประพฤติตามสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ มิฉะนั้น จะไม่มีความต่างกันเลยระหว่างคฤหัสถ์กับบรรพชิต


~ ไม่ว่าในยุคใดสมัยใด ก็ต้องคำนึงถึงว่า ภิกษุคือใคร? คือ ผู้ที่มีปัญญาเห็นโทษของกิเลส สละความเป็นคฤหัสถ์แล้วจะมีชีวิตเหมือนอย่างคฤหัสถ์อีกได้อย่างไร

~ เมื่อบวชแล้ว ต้องระลึกว่า “เราไม่ใช่คฤหัสถ์อีกต่อไป” เพราะฉะนั้น จะไม่รู้หน้าที่ของพระภิกษุไม่ได้เลย เป็นภิกษุ แล้วไม่รู้ว่าภิกษุคือใคร แล้วจะเป็นภิกษุได้หรือ? ด้วยเหตุนี้ ภิกษุในพระธรรมวินัย ต้องประพฤติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ มิฉะนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น บวชโดยไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วก็ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยด้วย ก็เป็นโทษอย่างยิ่ง

~ วันหนึ่งๆ ก็มีเรื่องที่จะคุยกันมากเหลือเกิน หลายเรื่อง แต่ว่าเรื่องใดซึ่งเป็นการสงเคราะห์กันด้วยธรรม ย่อมมีประโยชน์ที่สุด เพราะทำให้บุคคลนั้นเจริญปัญญา ไม่ใช่แต่เพียงทำให้สบายใจเพราะเป็นเพียงถ้อยคำอันเป็นที่รัก แต่ว่านอกจากจะเป็นถ้อยคำอันเป็นที่รักแล้ว ก็ยังเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์เกื้อกูลแก่การอบรมเจริญปัญญายิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า "ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลาย การแสดงธรรมบ่อยๆ แก่บุคคลผู้ต้องการ ผู้เงี่ยโสตลงสดับ นี้เลิศกว่าการพูดถ้อยคำอันเป็นที่รัก" เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เวลาที่จะคุยกัน เรื่องที่จะสนทนากันก็มีมาก รวมทั้งธรรมด้วย อย่าลืมว่า ธรรมก็เป็นเรื่องที่จะสนทนากันได้เสมอ

~
คนที่จะเป็นคนดีได้จริงๆ ต้องเป็นคนที่รู้จักตัวเองว่า ไม่ดีอย่างไร ถูกไหม? เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่มีกิเลส จะดีได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้และก็คิดว่าดีแล้ว ขณะนั้นก็จะเป็นคนดีจริงๆ ไม่ได้ การที่จะเป็นคนดีได้จริงๆ ก็คือ ต้องดีถึงกับหมดกิเลส แต่ว่าเมื่อไม่สามารถจะดับกิเลสหรือหมดกิเลสได้ ก็จะต้องอบรมเจริญเหตุ คือ ความดีที่จะให้หมดกิเลสไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญญาจะดับกิเลสได้ เพราะเหตุว่าการจะเป็นคนดีจริงๆ ก็คือต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาและดับกิเลส มิฉะนั้น ก็จะชื่อว่า ดีจริงๆ ไม่ได้

~
การที่จะดับทุกข์จริงๆ ต้องดับที่ต้นเหตุ คือ อวิชชา ถ้าไม่มีปัญญา ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม อวิชชาก็เต็ม และเมื่ออวิชชายังเต็มอยู่ ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลต่างๆ

~
ที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจธรรม ไม่อยากจะรู้ ไม่อยากจะเข้าใจธรรม ก็เพราะเหตุว่ามีความติด ความพอใจ ความเพลิดเพลินในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ
(สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ในความคิดนึกต่างๆ ถ้าถามดู ท่านที่ยังไม่สนใจ ก็จะเห็นได้ว่า เพราะท่านยังพอใจที่จะสนุกสนานเพลิดเพลินไปในชีวิต แต่ถึงท่านที่สนใจแล้ว ก็ใช่ว่าจะหมดโลภะ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า อวิชชามีมาก และปัญญาที่เริ่มมี ก็ยังน้อย ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็จะต้องอบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ ตามกำลังความสามารถ

~
เวลาโลภะเกิด ก็มีความติดข้องต้องการ กำลังต้องการอยากจะได้แล้วไม่ได้ หรือว่า ได้มาแล้วก็ต้องรักษาไว้อย่างดี กลัวว่าจะสูญหายอีก เหนื่อยไหม?
(เหนื่อย) ถ้าไม่มีเลย สบายไหม? สมบัติที่มีมากๆ ติดไว้มากๆ ถ้าไม่มีเลย สบายไหม?

~
ถ้าไม่ติดข้อง ถ้าเป็นได้จริงๆ ทีละเล็กทีละน้อย จะสบายสักแค่ไหน ไม่เดือดร้อนที่จะต้องไปแสวงหา ไม่เดือดร้อนว่าสิ่งนั้นพลัดพรากจากไป เพราะเหตุว่าไม่มีความติดข้อง แต่แสนยาก เพราะเหตุว่า ติดข้องมานานแสนนาน หนทางเดียว ก็คือว่าปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ค่อยๆ เห็นตรงตามความเป็นจริง

~ สิ่งที่ประเสริฐเหนือสิ่งอื่นใด คือ ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะให้ได้เลย นอกจากอาศัยคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น ก็เริ่ม ด้วยการที่จะศึกษาธรรมทีละคำ ทีละคำจริงๆ อย่าเพิ่งรีบร้อน เพราะว่า จะต้องเข้าใจแต่ละคำให้ถูกต้อง

~ โลกที่มีปัญหา และเป็นทุกข์ ไม่รู้จบ ก็มาจากความไม่รู้ความจริง

~ ไม่มีเรา แต่มีธรรม ทั้งดีและชั่ว เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความโลภก็เป็นธรรม ความริษยาก็เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ เพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงลักษณะของสิ่งนั้น

~ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้นี่แหละ มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับแล้วไม่กลับมาอีก เพื่อที่จะรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ก็เพื่อที่จะรู้จักธรรม ว่า เป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมแล้ว จะเป็นอะไรไม่ได้เลย นอกจากเป็นธรรม

~ ธรรม อยู่ไหน? เดี๋ยวนี้ มีธรรม ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหน เพื่อเตือนใจทุกคนที่ได้ฟังธรรมว่าไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหน ตรงนี้เองมีธรรม และจะเข้าใจธรรมก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริงของธรรมให้เข้าใจเดี๋ยวนี้เอง ไม่ต้องเดินทางไปไหน ไม่ต้องไปสำนักหนึ่งสำนักใด ไม่ต้องไปสำนักปฏิบัติ เพราะเหตุว่า มีธรรมอยู่ทุกขณะ ทุกหนทุกแห่ง แม้เดี๋ยวนี้เอง ก็มีธรรม

~ ทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ เป็นธรรมทั้งหมด สิ่งที่ต้องเข้าใจ ก็คือ เดี๋ยวนี้เอง เป็นธรรม ถ้าจะเข้าใจธรรม ก็เข้าใจธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้ กำลังเป็นธรรม

~ แต่ละคนไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหนเลย เพราะมีแล้วอยู่ที่ตัวนี่แหละ แต่ไม่รู้ จะมีอะไร ก็คือ อยู่ที่นี่ทั้งหมด มีเห็น มีได้ยิน มีคิด มีจำ มีชอบ มีไม่ชอบ ทั้งหมดอยู่ที่ตัว เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหนเลย

~ การฟังธรรมแล้วเข้าใจ ความเข้าใจนั้นไม่หายไปไหนเลย แล้วถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะสืบต่อไปไม่มีวันที่จะลืม มีแต่จะเพิ่มความเข้าใจละเอียดขึ้นอีกมาก เพราะทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประมาทไม่ได้เลย

~ สภาพของความติดข้อง เกิดขึ้น ต้องติดข้อง เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะว่า สภาพ นั้น เกิดขึ้น ทำกิจติดข้อง

~ ความโกรธ ทุกคน ก็มี มีตั้งแต่ความขุ่นใจเล็กๆ น้อยๆ ไม่สบายใจ ก็โกรธ แต่ยังไม่ถึงกับพูด แต่พอพูดออกมา เสียงก็มีหลายเสียง จากระดับของความโกรธ ถ้าขุ่นใจนิดหน่อย เสียงก็พอฟังได้แต่ถ้ามากๆ เสียงน่าฟังไหม? ไม่มีใครอยากได้ยินเลย แต่อะไรเป็นปัจจัยทำให้เสียงนั้นเกิดขึ้น ก็เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้น ธรรมแต่ละหนึ่ง ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงเป็นปรมัตถธรรม

~ สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันทั้งหมด ถูกปกปิดด้วยความไม่รู้ เหมือนอยู่ในความมืดสนิท จากวันเดือนปีแล้วก็จากโลกนี้ไป แล้วก็ลืมหมดเลย เพราะฉะนั้น เราลืมชาติก่อน พอถึงชาติหน้าเราก็ลืมชาตินี้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเคยทำอะไรมาแล้วบ้าง แต่ถ้ามีความเข้าใจธรรม ก็จะต้องมี ว่า เคยได้ฟังธรรมที่นี่บ้าง ที่โน่นบ้าง ที่นั่นบ้าง พออีกชาติหนึ่ง ได้ยินคำที่กล่าวถึงธรรมก็สามารถที่จะเข้าใจได้ เหมือนขณะนี้ ถ้าเราไม่เคยเห็นประโยชน์ ไม่เคยรู้มาสักนิดเดียว ก็จะไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ไม่มีเรา แต่มีธรรม ทุกอย่างที่มี เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ซ้ำกัน ไม่ใช่อย่างเดียวกัน แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจผิดคลาดเคลื่อน ก็เป็นความเห็นผิด แต่ขณะใดก็ตามที่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตรงตามความเป็นจริง ความเข้าใจนั้น มาจากไหน? มาจากการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ผู้ใดที่เห็นคุณของพระธรรมแล้ว เริ่มฟัง ไม่ขาดการฟัง เพราะรู้ว่าเมื่อฟังบ่อยๆ ก็จะคิดถึงธรรมที่ได้ยินได้ฟัง

~ เพียงแค่ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ก็ไม่ชอบแล้ว เพราะฉะนั้น ความโกรธหรือความไม่ชอบ เป็นความหยาบกระด้าง ไม่อ่อนโยน ไม่สามารถที่จะประพฤติเป็นไปในทางที่ดีงามได้เลยสักอย่างเดียว เพราะขณะนั้น เกิดความหยาบความกระด้าง มีตั้งแต่ระดับที่อ่อนจนกระทั่งถึงระดับที่สูงมาก เช่น เห็นฝุ่น ก็ไม่พอใจ ไม่ต้องมีใครมาสอนให้ไม่ชอบหรือให้ไม่พอใจ แต่ความไม่พอใจก็เกิดแล้ว ต้องการน้ำอุ่น แต่น้ำร้อน ไม่อุ่น ก็ไม่พอใจ เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง คือ ชีวิตประจำวัน เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

~ จิตเกิดขึ้น ถ้าไม่เป็นอกุศลก็เป็นกุศล แล้ววันหนึ่งๆ เป็นอกุศลเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะเป็นกุศล ก็น้อยมาก

~ การจากโลกนี้ไป ไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้ก็ได้ เห็นแล้วตายก็ได้ ได้ยินแล้วตายก็ได้ คิดแล้วตายก็ได้

~ ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นจิตขณะแรกของชาตินี้ เป็นผลของกรรมหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดเป็นแต่ละหนึ่ง หญิงบ้าง ชายบ้าง สะสมมาชั่วบ้าง ดีบ้าง ต่างๆ กัน ก็ตามปัจจัยซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าธรรมเป็นธรรมซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้เลยทั้งสิ้น

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด


* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๐



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 24 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Jans
วันที่ 24 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ต.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
san.ree2990
วันที่ 24 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kukeart
วันที่ 24 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Pornkamol
วันที่ 24 ต.ค. 2564

กราบแทบเท้าท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง รวมทั้งท่านอ.วิทยากรทุกท่านและขออนุโมทนาสาธุในบุญของทุกท่านด้วย เจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
มังกรทอง
วันที่ 25 ต.ค. 2564

พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า "ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลาย การแสดงธรรมบ่อยๆ แก่บุคคลผู้ต้องการ ผู้เงี่ยโสตลงสดับ นี้เลิศกว่าการพูดถ้อยคำอันเป็นที่รัก" เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เวลาที่จะคุยกัน เรื่องที่จะสนทนากันก็มีมาก รวมทั้งธรรมด้วย อย่าลืมว่า ธรรมก็เป็นเรื่องที่จะสนทนากันได้เสมอ

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 25 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
มังกรทอง
วันที่ 26 ต.ค. 2564

ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็จะไม่ละเลยในการฟังพระธรรม เพราะรู้ว่าหนทางเดียวที่จะรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ฟังแล้วก็มีความเข้าใจว่า ทั้งหมดจากการที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งลึกซึ้งละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม ก็พูดคำที่ไม่รู้จัก ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคำอะไรทั้งสิ้น

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Lai
วันที่ 27 ต.ค. 2564

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ