บุญ และ กุศล ต่างกันอย่างไร และมีผลต่างกันอย่างไร

 
chatchai.k
วันที่  10 ต.ค. 2564
หมายเลข  37848
อ่าน  103

บุญกุศล เราใช้เป็นคำเดียวกัน เช่น บริจาคทาน หรือถวายอะไรต่างๆ เราจะคิดว่านั่นเป็นบุญกุศล แต่บุญกับกุศลนี้ต่างกันหรือไม่ ซึ่งผมเคยได้ทราบว่า บุญยังเป็นอวิชชา ยังไม่ใช่สิ่งที่จะนำไปสู่นิพพานได้อย่างแท้จริง แต่กุศลเป็นอวิชชาด้วยหรือไม่ มีความหมายในทางภาษาแตกต่างกันอย่างไร และมีผลแตกต่างกันอย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 1 ธ.ค. 2566

เรื่องของคำเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องที่ถ้าอยากจะเข้าใจความหมายให้ครบถ้วนสมบูรณ์จริงๆ ต้องศึกษาที่มาของคำนั้น เพื่อที่จะได้ความแจ่มกระจ่างยิ่งขึ้นของแต่ละคำ

ภาษาบาลี เป็นภาษาที่ใช้แทนสภาพปรมัตถธรรมที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยความละเอียดทั้งในการศึกษา และการเข้าใจในสภาพธรรมนั้นให้ตรงกับคำที่ใช้ด้วย

ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาบาลีอย่างชำนาญจริงๆ อาจจะเข้าใจเพียงอรรถของคำนั้นอย่างกว้างๆ แต่ไม่กระจ่างเท่ากับผู้ที่มีความรู้และได้ศึกษาภาษาบาลีอย่างชำนาญจริงๆ

สำหรับความหมายของบุญกับกุศลนี้ โดยทั่วไปเข้าใจว่า เป็นคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน มีความหมายอย่างเดียวกัน แต่ว่าใช้ศัพท์ต่างกัน โดยทั่วไปทุกคนเข้าใจว่า กุศล หมายความถึงสภาพธรรมที่ดีงาม บุญ หมายความถึง สภาพธรรมที่เป็นการขัดเกลา การละบาปหรืออกุศลธรรม นี่เป็นความหมายกว้างๆ แต่ถ้าจะให้เข้าใจชัดเจนยิ่งกว่านี้ ต้องอาศัยท่านผู้รู้ภาษาบาลีที่จะต้องยกที่มาของคำ เมื่อประมวลแล้ว สรุปแล้ว ได้ความโดยอรรถเดียวกันนั่นเอง คือ เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม

สำหรับคำถามที่ว่า บุญหรือกุศลนี้ ยังเป็นอวิชชาอยู่ใช่ไหม ถ้าศึกษาโดยละเอียดจะทราบว่า ถ้าจัดประเภทของกุศล จะมี ๒ ประเภทใหญ่ คือ โลกียกุศล กับ โลกุตตรกุศล

โลกียกุศล หมายความถึงสภาพจิตที่ดีงาม ในขณะที่เกิดขึ้นเป็นไปในทาน ในศีล ในภาวนา คือ การเจริญสมถภาวนา หรือการเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นการเจริญมรรคมีองค์ ๘ เป็นการเจริญวิปัสสนาภาวนา ถ้าขณะนั้นยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็ยังเป็นโลกียกุศลอยู่ เพราะว่ายังไม่ได้ดับกิเลสประเภทหนึ่งประเภทใดเลย

แต่ขณะใดที่รู้แจ้งพระนิพพาน ประจักษ์ชัดในสภาพของนิพพาน รู้แจ้งอริยสัจธรรม ขณะนั้นเป็นโลกุตตรกุศล ซึ่งเป็นกุศลที่ดับกิเลสตามระดับขั้นของโลกุตตรจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้น แล้วแต่ว่าจะเป็นโสตาปัตติมรรค หรือว่าสกทาคามิมรรค หรือว่าอนาคามิมรรค หรือว่าอรหัตตมรรค ซึ่งเป็นโลกุตตรกุศล ๔ ดวง หรือ ๔ ขั้น ก็เป็นเรื่อง

เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่ให้ทาน แต่ยังเป็นตัวท่าน ยังไม่ได้ดับกิเลส ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ยังมีการสะสมของอวิชชาเต็มอยู่ ยังไม่ได้ดับไปเลย และขณะที่เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในการเจริญภาวนานั้น สภาพของจิตเป็นกุศล แต่เป็นโลกียกุศล ไม่ใช่โลกุตตรกุศล ซึ่งโลกียกุศลนั้นไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท

ที่มา ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 513

เรื่องที่คิดจะสละวัตถุให้แต่ไม่มีทรัพย์ที่จะสละให้ จะเป็นบุญกุศลไหม แม้เพียงความคิดที่จะให้ ก็เป็นจิตที่ดีงาม อย่างน้อยเมื่อเกิดขึ้น ดับไปแล้ว หมดไปแล้วในขณะนั้น ไม่มีโอกาสที่จะให้ก็จริง แต่สะสมไว้ในจิต เมื่อมีโอกาสเมื่อไร ก็มีปัจจัย คือ ความคิดเดิมที่จะให้ เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดการให้ในภายหลังขึ้นได้

เพราะฉะนั้น ขณะที่เพียงคิดก็เป็นกุศล แม้จะยังไม่ได้กระทำ แต่มีการสะสมไว้ เพื่อว่าเมื่อมีโอกาสเมื่อไรก็ยังเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดการให้ การเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่นได้

ความจริงเรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ละเอียด ซึ่งจะต้องอาศัยการศึกษา พระอภิธรรม หรือปรมัตถธรรมเป็นเบื้องต้น จะทำให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น

ที่มา ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 514

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ