ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๔

 
khampan.a
วันที่  18 ก.ย. 2564
หมายเลข  37359
อ่าน  1,194

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



"ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๔




~ ธรรม เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ เห็นวันนี้กำลังเห็น ไม่ใช่เห็นเมื่อวานนี้ เรื่องที่คิดเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ผ่านไปเมื่อกี้นี้

~ เข้าใจสิ่งที่มีจริง รู้ว่า สิ่งที่มีจริงเรียกอะไรก็ได้ แต่หมายความถึงขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏเพราะเกิดขึ้น

~ ศึกษาธรรม คือ ศึกษา เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น ไม่ชื่อว่าศึกษาธรรมเลย

~ เห็น เป็นคุณอาคิล เห็น เป็นคุณอาช่า ได้ไหม? (ไม่ได้) นี่เป็นสิ่งที่จะต้องปลูกฝังความเข้าใจจริงๆ จนกว่าจะหมดความยึดถือว่าเป็นเรา

~ เริ่มเข้าใจมั่นคงทุกอย่างที่ได้ฟัง ว่า ไม่ใช่เรา มีอะไรที่เป็นเราบ้าง? จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า สิ่งนี้เกิดแล้วสิ่งนี้ดับ ความจริงถึงที่สุดของทุกสิ่งที่กำลังปรากฏ คือ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ ถ้าเข้าใจว่าสิ่งนี้เกิดแล้วไม่ดับถูกหรือผิด (ผิด) เพราะฉะนั้น มีความเข้าใจผิดมานานเท่าไหร่ ตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ ก็เข้าใจผิดคิดว่าธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับ เป็นเรา

~ ถ้าไม่ประจักษ์สภาพเดี๋ยวนี้ซึ่งมีจริงๆ เพราะเกิดแล้ว แล้วก็ไม่ประจักษ์ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ดับ ก็ไม่สามารถที่จะละความยึดถือว่าเป็นเราได้

~ สิ่งที่ได้ฟังเป็นความจริงตั้งแต่เริ่ม จนกว่าจะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมตรง ว่า เดี๋ยวนี้ สภาพธรรมเกิดดับ

~ ความเข้าใจเป็นเราหรือเป็นธรรม? ความเข้าใจเท่านี้พอที่จะละความยึดถือว่าเป็นเราได้ไหม?

~ ฟังธรรม เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ แต่ละอย่างๆ ถ้าฟังคำอื่น เรื่องอื่น ไม่ใช่สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ชื่อว่า ฟังธรรมหรือเปล่า?

~ ไม่ว่าคำใดๆ ในพระไตรปิฎกทั้งหมด กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจ ฟังจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ไปจำว่าขณะนี้เป็นธรรม

~ วิธีหนึ่ง เมื่อได้เข้าใจแล้ว ก็คือ อ่านคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วซึ่งจารึกมาเพื่อที่จะเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งของแต่ละคำที่พระองค์ได้ทรงแสดงแล้ว นี่เป็นประโยชน์สูงสุดที่คำที่พระองค์ได้ตรัสแล้วยังคงดำรงอยู่เพื่อคนอื่นที่ได้ฟังจะได้ไตร่ตรอง คิด จนกระทั่งเข้าใจคำที่พระองค์ตรัส

~ ความจำ มีจริงๆ ใช่ไหม? ถ้าไม่มีเห็น จะจำอะไรไหม ถ้าไม่มีได้ยิน จะจำอะไรไหม?

~ ไม่มีใครบังคับไม่ให้ธรรมเกิด ไม่มีใครบังคับให้เป็นอย่างอื่นได้เลย นี่คือ ความหมายของอนัตตา มี แต่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด และไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

~ ธรรม ไม่ใช่สำหรับจำ แต่สำหรับไตร่ตรองว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ เป็นอย่างนี้จริงๆ

~ เริ่มจากความเข้าใจว่าไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่มีลักษณะของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้

~ สิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ไม่เป็นอื่น

~ ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด

~ ถ้าไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งหลากหลายเพียงปรากฏแล้วหมดไปสืบต่อกันเร็วมาก ก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าแต่ละหนึ่งเกิดแล้ว แต่ละหนึ่งดับ

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางที่ละเอียดยิ่งที่จะทำให้สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้ที่กำลังเกิดดับได้ นี่เป็นสัจจธรรม ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย

~ ถ้ามีรสกระทบลิ้น จะให้ได้ยินได้ไหม? นี่แสดงความไม่มีเรามั่นคงขึ้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย

~ ความจริง มี แต่ไม่มีใครรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง จึงทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีแต่คนไม่รู้ ให้เข้าใจขึ้น คนที่ไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยจะรู้ได้ไหม?

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้กล่าวถึงอย่างอื่นเลย นอกจากสิ่งที่มีจริงๆ ตลอดเวลา ที่คนไม่รู้

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่าง ทรงแสดงความจริงของทุกอย่าง โดยละเอียด จนกระทั่งคนอื่นเข้าใจถูกต้องได้ จากการที่ไม่เคยรู้เลยนานมาแล้วในสังสารวัฏฏ์

~ คำว่า อนิจจัง หมายความว่าอะไร? เดี๋ยวนี้ เห็นไม่เที่ยง ใช่ไหม? ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัส ทุกคนก็คิดว่ายังเห็นอยู่ตลอดเวลา ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสแสดงความจริง จะรู้ไหมว่าเห็นเกิดดับ เพราะฉะนั้น เห็นไม่เที่ยง เห็นไม่มีเหลือ เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจสิ่งที่คนไม่เคยคิดไม่เคยเข้าใจมาก่อนซึ่งกำลังมีในขณะนั้น

~ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ต้องเกิดแน่นอน ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี

~ เดี๋ยวนี้มีเห็น เห็นเกิดหรือเปล่า? ใครทำเห็นให้เกิดได้ไหม? ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่มีใครสามารถบันดาลได้ ไม่ใช่ของของใครด้วย เป็นธรรมจริงๆ เริ่มเข้าใจว่าธรรมคืออะไรจริงๆ ฟังธรรมจนกว่าจะสามารถรู้ว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดจึงมี

~ คนที่รู้ความจริงถึงที่สุดจึงสามารถที่จะละความไม่รู้และความติดข้องได้

~ มีคนที่รู้ความจริงประจักษ์แจ้งความจริงและดับความติดข้องในสิ่งที่มีจริงๆ ได้ไหม? มีไหม? มี คือ พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น คนที่จากปุถุชนไม่รู้อะไรเลยสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจจนถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ไหม? แต่ถ้าฟังธรรมไม่เข้าใจเลย จำแต่ชื่อ อยากรู้คำนั้นคำนี้ สามารถที่จะไม่ติดข้องในสิ่งที่กำลังติดข้องได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง มีหนทางเดียวที่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏได้จริงๆ โดยการเข้าใจทุกคำของพระสัมมาพุทธเจ้าที่ตรัสให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จนกว่าจะรู้ความจริงทีเล็กทีละน้อยตามลำดับ

~ ถ้าไม่มีปัญญาจะเข้าใจความจริงได้ไหม?

~ ความประพฤติเป็นไปในทางที่ดี เป็นกุศลศีล ความประพฤติเป็นไปในทางที่ไม่ดี เป็นอกุศลศีล

~ ตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยขาดจิตเลย เพราะว่า จิตทุกประเภท มีสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยทันทีที่จิตนั้นดับ ต้องทำให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จิตขณะหนึ่งดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น จิตขณะแรกเกิดแล้วดับ เป็นปัจจัยให้ที่ขณะต่อไปเกิดต่อทันที จิตสุดท้ายที่เกิด ที่เราใช้คำว่า “ตาย” ทำให้พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ แต่จิตนั้นก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดต่อทันทีเหมือนเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น การที่จิตหนึ่งเกิด เป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิดขึ้น ไม่หยุด ชื่อว่า “อนันตรปัจจัย” ไม่มีระหว่างคันเลย ไม่หยุดเลย จนกว่าจิตนั้นไม่มีปัจจัยที่จะทำให้จิตต่อไปเกิดได้ จิตนั้น คือ จุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้น เมื่อจิตขณะสุดท้ายของพระอรหันต์ดับ ที่เราใช้คำว่าพ้นความเป็นบุคคลนี้ จะไม่เป็นปัจจัยให้จิตใดๆ เกิดเลยทั้งสิ้น ชื่อว่า ปรินิพพาน

~ จิตเป็นธาตุรู้ มีจริง เกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัยแล้วก็ดับไป

~ การศึกษาธรรมจริงๆ คือ การเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เข้าใจธรรมจริงๆ ชื่อว่าศึกษาหรือเปล่า

~ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แต่ไม่มีใครรู้ จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงความละเอียดอย่างยิ่งของแต่ละหนึ่งซึ่งเป็นความจริงที่ค่อยๆ เข้าใจได้ว่า ไม่ใช่เรา

~ ไม่ว่าจะมีอะไรปรากฏให้เห็นให้ได้ยินเดี๋ยวนี้ รู้เลยว่า ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 18 ก.ย. 2564

ขอบพระคุณ และยินดียิ่งในกุศลจิต อ.คำปั่นด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 18 ก.ย. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 18 ก.ย. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Jans
วันที่ 18 ก.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 18 ก.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kukeart
วันที่ 18 ก.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
มังกรทอง
วันที่ 18 ก.ย. 2564

เริ่มเข้าใจมั่นคงทุกอย่างที่ได้ฟัง ว่า ไม่ใช่เรา มีอะไรที่เป็นเราบ้าง? จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า สิ่งนี้เกิดแล้วสิ่งนี้ดับ ความจริงถึงที่สุดของทุกสิ่งที่กำลังปรากฏ คือ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ ถ้าเข้าใจว่าสิ่งนี้เกิดแล้วไม่ดับถูกหรือผิด (ผิด) เพราะฉะนั้น มีความเข้าใจผิดมานานเท่าไหร่ ตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ ก็เข้าใจผิดคิดว่าธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับ เป็นเรา

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 19 ก.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Lai
วันที่ 19 ก.ย. 2564

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ และอนุโมทนาค่ะ คุณคำปั่น

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
มังกรทอง
วันที่ 20 ก.ย. 2564

เข้าใจสิ่งที่มีจริง รู้ว่า สิ่งที่มีจริงเรียกอะไรก็ได้ แต่หมายความถึงขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏเพราะเกิดขึ้น

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ