พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๖. อนุรุทธสูตร ว่าด้วยภรรยาเก่าของพระอนุรุทธะ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  30 ส.ค. 2564
หมายเลข  36426
อ่าน  342

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 365

๖. อนุรุทธสูตร

ว่าด้วยภรรยาเก่าของพระอนุรุทธะ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 365

๖. อนุรุทธสูตร

ว่าด้วยภรรยาเก่าของพระอนุรุทธะ

[๗๗๓] สมัยหนึ่ง ท่านพระอนุรุทธะพำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล.

[๗๗๔] ครั้งนั้นแล เทวดาชั้นดาวดึงส์องค์หนึ่งชื่อชาลินีเป็นภรรยาเก่าของท่านพระอนุรุทธะ เข้าไปหาท่านถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านด้วยคาถาว่า

ท่านจงตั้งจิตของท่านไว้ในหมู่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยอารมณ์อันน่าใคร่ทั้งปวง ที่ท่านเคยอยู่ในกาลก่อน ท่านจะเป็นผู้อันหมู่เทวดาแวดล้อมเป็นบริวาร ย่อมงดงาม

[๗๗๕] ท่านพระอนุรุทธะกล่าวว่า

เหล่านางเทพกัลยาผู้มีคติอันทราม ดำรงมั่นอยู่ในกายของตน สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น แม้เป็นผู้มีคติอันทราม ก็ถูกนางเทพกัลยาปรารถนา.

[๗๗๖] เทวดาชื่อชาลินีกล่าวว่า

เหล่าสัตว์ผู้ไม่ได้เห็นที่อยู่อันเป็นที่น่าเพลิดเพลินของนรเทพชั้นไตรทศผู้มียศ ก็ชื่อว่าไม่รู่จักความสุข.

[๗๗๗] ท่านพระอนุรุทธะกล่าวว่า

ดูก่อนเทวดาผู้เขลา ท่านไม่รู้แจ้งตามคำของพระอรหันต์ว่า สังขารทั้งปวง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 366

ไม่เที่ยง มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นสุข บัดนี้ การอยู่ครอบครองของเราไม่มีอีกต่อไป ตัณหาประดุจดังว่าข่ายในหมู่เทพของเราก็ไม่มี สงสารคือชาติสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่ ไม่มีอีกต่อไป.

อรรถกถาอนุรุทธสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในอนุรุทธสูตร ที่ ๖ ต่อไปนี้ :-

บทว่า ปุราณทุติยิกา คือ อัครมเหสีในอัตภาพก่อน. บทว่า โสภสิ ได้แก่ เมื่อก่อนก็งาม เดี๋ยวนี้ก็งาม. บทว่า ทุคฺคตา ความว่า ไปชั่วด้วยคติอันชั่วก็หาไม่. จริงอยู่ เทวกัญญาอยู่ในสุคติย่อมเสวยสมบัติ. แต่ไปชั่วด้วยคติชั่วทางปฏิบัติ. เพราะว่า เทวกัญญาเหล่านั้นจุติจากสุคตินั้นแล้ว จะเกิดในนรกก็ได้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไปชั่ว. บทว่า ปติฏฺิตา ความว่า จริงอยู่ เมื่อบุคคลตั้งอยู่ในสักกายทิฏฐิย่อมตั้งอยู่ด้วยเหตุ ๘ ประการคือรักด้วยอำนาจราคะ โกรธด้วยอำนาจโทสะ หลงด้วยอำนาจโมหะ ถือตัวด้วยอำนาจมานะ ถือผิดด้วยอำนาจทิฏฐิ เพิ่มกำลังด้วยอำนาจอนุสัยไม่สิ้นสุด ด้วยอำนาจแห่งวิจิกิจฉา ฟุ้งซ่านด้วยอำนาจอุทธัจจะ แม้เทวกัญญาเหล่านั้นก็ตั้งอยู่อย่างนี้.

บทว่า นรเทวานํ ความว่า ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. บทว่า นตฺถิทานิ ความว่า ได้ยินว่า เทพธิดานั้น ได้มีความเสน่หาเป็นกำลังใน

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 367

พระเถระ ไม่อาจจะกลับไป. นางมาตามเวลา ปัดกวาดบริเวณ เข้าไปตั้งน้ำล้างหน้า ไม้สีฟัน น้ำฉันน้ำใช้ให้. พระเถระใช้สอยโดยไม่นึก ในวันหนึ่งพระเถระมีจีวรเก่าเที่ยวไป ขอท่อนผ้า นางวางผ้าทิพย์ไว้ที่กองขยะแล้วหลีกไป. พระเถระเห็นผ้านั้นแล้วยกขึ้นดูเห็นชายผ้า ก็รู้ว่านี่เป็นผ้า คิดว่าเท่านี้ก็พอ ดังนี้แล้วถือเอา. จีวรของท่านสำเร็จด้วยผ้านั้นเอง. พระเถระ ๓ รูป คือพระอัครสาวก ๒ รูป และพระอนุรุทธเถระ ช่วยกันทำจีวร. พระศาสดาทรงร้อยเข็มประทานให้. เมื่อพระอนุรุทธเถระทำจีวรเสร็จแล้ว เที่ยวไปบิณฑบาต เทวดาก็ถวายบิณฑบาต. เทพธิดานั้น บางคราวมาสู่สำนักพระเถระองค์เดียว บางคราว ๒ องค์. แต่ครั้งนั้นมา ๓ องค์ เข้าไปหาพระเถระในที่พักกลางวันแล้วกล่าวว่า เราชื่อว่า มีร่างกายน่าพอใจ จะเนรมิตรูปที่ใจปรารถนาแล้วๆ. พระเถระคิดว่า เทพธิดาเหล่านี้กล่าวอย่างนี้ เราจะทดลองเทพธิดาทั้งปวงจงเขียวเถิด ดังนี้. เทพธิดาเหล่านั้นรู้ใจของพระเถระแล้วก็มีสีเขียวทั้งหมด (ทดลองว่า) มีสีเหลือง สีแดง สีขาว ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน. ลำดับนั้น พวกเขาคิดว่า พระเถระจะพอใจเห็นพวกเราดังนี้แล้วก็เริ่มจับระบำ คือ องค์หนึ่งขับร้อง องค์หนึ่งร่ายรำ องค์หนึ่งดีดนิ้ว. พระเถระสำรวมอินทรีย์ทั้งหลาย. ลำดับนั้น เทพธิดารู้ว่า พระเถระไม่พอใจดูพวกเรา เมื่อไม่ได้ความเสน่หาหรือความชมเชยก็เบื่อหน่าย เริ่มจะไป. พระเถระรู้ว่า เขาจะไป จึงกล่าวว่า อย่ามาบ่อยๆ เลย. เมื่อจะแจ้งความเป็นพระอรหันต์ จึงกล่าวคาถานี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า วิกฺขีโณ แปลว่า สิ้นแล้ว. บทว่า ชาติสํสาโร ความว่า การท่องเที่ยวไป ที่นับว่าเกิดในที่นั้นๆ.

จบอรรถกถาอนุรุทธสูตร ที่ ๖