พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๔. วิชยาสูตร ว่าด้วยมารรบกวนวิชยาภิกษุณี

 
บ้านธัมมะ
วันที่  30 ส.ค. 2564
หมายเลข  36362
อ่าน  335

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 94

๔. วิชยาสูตร

ว่าด้วยมารรบกวนวิชยาภิกษุณี


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 94

๔. วิชยาสูตร

ว่าด้วยมารรบกวนวิชยาภิกษุณี

    [๕๓๑] สาวัตถีนิทาน.

    ครั้งนั้น เวลาเช้า วิชยาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร ฯลฯ จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง.

    [๕๓๒] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้วิชยาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไปหาวิชยาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะวิชยาภิกษุณีด้วยคาถาว่า

    เธอยังเป็นสาวมีรูปงาม และฉันก็ยังเป็นหนุ่มแน่น มาเถิดนาง เรามาอภิรมย์กันด้วยดนตรี มีองค์ห้า.

    [๕๓๓] ลำดับนั้น วิชยาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์.

    ทันใดนั้น วิชยาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงได้กล่าวคาถา.

    ครั้นวิชยาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมารผู้มีบาปด้วยคาถาว่า

    ดูก่อนมาร รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ อันน่ารื่นรมย์ใจ เราขอมอบให้ท่านผู้เดียว เพราะเราไม่ต้องการมัน เราอึดอัดระอาด้วยกายเน่า อันจะแตกทำลายเปื่อยพังไปนี้ กามตัณหา เราถอนได้แล้ว

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 95

ความมืดในรูปภพที่สัตว์ทั้งหลายเข้าถึง ในอรูปภพที่สัตว์ทั้งหลายเป็นภาคี และในสมาบัติอันสงบทั้งปวง เรากำจัดได้แล้ว.

    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า วิชยาภิกษุณีรู้จักเราดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง.

อรรถกถาวิชยาสูตร

    ในวิชยาสูตรที่ ๔ มีวิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

    บทว่า ปญฺจงฺคิเกน ความว่าประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างนี้ คือ อาตตะ กลองที่หุ้มหนังหน้าเดียว วิตตะหุ้มทั้งสองหน้าคือตะโพน อาตตวิตตะ หุ้มทั้งหมดมีบัณเฑาะว์เป็นต้น ฆนะคือ ฆ้อง สุสิระปี่และสังข์เป็นต้น. บทว่า นิยฺยาตยามิ ตุยฺเหว ความว่า เราจะให้ดนตรีทั้งหมดแก่ท่านเท่านั้น. บทว่า มาร น หิ เตน อตฺถิกา ความว่าเราไม่ต้องการดนตรีนั้น. บทว่า ปูติกาเยน ความว่ากายแม้มีวรรณะดังทองคำ ก็ยังชื่อว่าเป็นกายเน่า เพราะอรรถว่าไหลเข้าไหลออกเป็นนิตย์ เพราะฉะนั้น วิชยาภิกษุณีจึงกล่าวอย่างนั้น. บทว่า ภินฺทเนนได้แก่มีอันแตกไปเป็นสภาวะ. บทว่า ปภงฺคุนา ได้แก่ถึงความแหลกเป็นผุยผงเป็นธรรมดา. บทว่า อฏฺฏิยามิ แปลว่า อึดอัดอยู่. บทว่า หรายามิ แปลว่าระอาอยู่. บทว่า สนฺตา สมาปตฺติ ความว่าโลกิยสมาบัติ ๘ อย่าง ท่านกล่าวว่าสงบ เพราะสงบโดยอารมณ์ และสงบโดยองค์. บทว่า สพฺพตฺถได้แก่ ในรูปภพและอรูปภพทั้งหมด. วิชยาภิกษุณีจึงกล่าวว่า แม้ความมืดคืออวิชชาเรากำจัดได้แล้ว ในฐานะทั้งปวงเหล่านี้คือในกามภพ ที่ยึดถือเอาแล้วเพราะถือเอาภพ ๒ เหล่านั้น และในสมาบัติ ๘.

    จบอรรถกถาวิชยาสูตรที่ ๔