พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๘. มธุปิณฑิกสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  27 ส.ค. 2564
หมายเลข  36022
อ่าน  615
  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 195

๘. มธุปิณฑิกสูตร

[๒๔๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท. ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตร และจีวร เสด็จเข้าไปสู่พระนครกบิลพัสดุ์ เพื่อบิณฑบาต. ครั้นเสร็จจากการเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตแล้ว เสด็จเข้าไปยังป่ามหาวัน เพื่อทรงพักในเวลากลางวัน ครั้นถึงแล้ว จึงประทับนั่งพักกลางวัน ณ โคนต้นมะตูมหนุ่ม. แม้ทัณฑปาณิศากยะ กําลังเสด็จเที่ยวเดินเล่น ได้เสด็จเข้าไปยังป่ามหาวัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังต้นมะตูมหนุ่ม ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนยันไม้เท้า ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลถามว่า พระสมณะมีปกติกล่าวอย่างไร มีปกติบอกอย่างไร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนผู้มีอายุ บุคคลมีปกติกล่าวอย่างไร จึงจะไม่โต้เถียงกันกับผู้ใดผู้หนึ่งในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ดํารงอยู่ในโลก และสัญญาทั้งหลายจะไม่ครอบงําพราหมณ์ผู้อยู่ปราศจากกามทั้งหลายนั้น ผู้ไม่ลังเล ผู้ตัดความคะนองได้แล้ว ผู้ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ได้อย่างไร เรามีปกติกล่าวอย่างนั้น มีปกติบอกอย่างนั้น. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ทัณฑปาณิศากยะได้สั่นศีรษะ แลบลิ้น ทําหน้าผากย่นเป็น ๓ รอย ถือไม้เท้ายันหลีกไป.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 196

ตรัสตอบปัญหาทัณฑปาณิศากยะ

[๒๔๔] ครั้งนั้น เวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่หลีกเร้น แล้วเสด็จเข้าไปยังนิโครธาราม ประทับ ณ อาสนะที่เขาจัดถวายครั้นแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะเล่าให้ฟัง เวลาเช้า เรานุ่งแล้ว ถือบาตร และจีวร เข้าไปสู่พระนครกบิลพัสดุ์เพื่อบิณฑบาต ครั้นเสร็จจากการเที่ยวไปบิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังป่ามหาวัน เพื่อพักในเวลากลางวัน ครั้นถึงแล้ว จึงนั่งพักกลางวัน ณ โคนต้นมะตูมหนุ่ม. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ทัณฑปาณิศากยะเสด็จเที่ยวเดินเล่น ได้เข้าไปยังป่ามหาวัน ครั้นแล้วเข้าไปหาเรายังต้นมะตูมหนุ่ม ได้ปราศรัยกับเรา ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนยันไม้เท้า ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง และได้ถามเราว่า พระมหาสมณะมีปกติกล่าวอย่างไร มีปกติบอกอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อทัณฑปาณิศากยะกล่าวอย่างนั้นแล้ว เราได้ตอบว่า ดูก่อนผู้มีอายุ บุคคลมีปกติกล่าวอย่างไร จึงจะไม่โต้เถียงกันกับผู้ใดผู้หนึ่งในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ดํารงอยู่ในโลก อนึ่ง สัญญาทั้งหลายจะไม่ครอบงําพราหมณ์ผู้ปราศจากกามทั้งหลายนั้น ผู้ไม่ลังเล ผู้ตัดความคะนองได้แล้ว ผู้ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ได้อย่างไร เรามีปกติกล่าวอย่างนั้น มีปกติบอกอย่างนั้น. เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว ทัณฑปาณิศากยะสั่นศีรษะแลบลิ้น ทําหน้าผากย่นเป็น ๓ รอย ถือไม้เท้ายันหลีกไป

[๒๔๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามขึ้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีปกติตรัสอย่างไรจึงไม่โต้เถียงกับผู้ใดผู้หนึ่ง ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ดํารงอยู่ในโลก

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 197

อนึ่ง สัญญาทั้งหลายจะไม่ครอบงําพราหมณ์ผู้ปราศจากกามทั้งหลายนั้น ผู้ไม่ลังเล ผู้ตัดความคะนองได้แล้ว ผู้ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ได้อย่างไร. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนภิกษุ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงําบุรุษเพราะเหตุใด ถ้าการที่บุคคลจะเพลิดเพลิน ยึดถือ กล้ำกลืน ไม่มีในเหตุนั้น อันนี้เทียวเป็นที่สุดแห่งราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งปฏิฆานุสัย เป็นที่สุดแห่งทิฏฐานุสัย เป็นที่สุดแห่งวิจิกิจฉานุสัย เป็นที่สุดแห่งมานานุสัย เป็นที่สุดแห่งภวราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งอวิชชานุสัย เป็นที่สุดแห่งการจับท่อนไม้ การจับศาสตรา การทะเลาะ การถือผิด การโต้เถียง การด่าว่า การส่อเสียดยุยง และการกล่าวเท็จ อกุศลธรรมอันลามกเหล่านี้ ย่อมดับไปโดยไม่เหลือในเพราะเหตุนั้น. ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตเจ้าได้ตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จลุกจากอาสนะเข้าที่ประทับเสีย.

ทรงแสดงอุเทศโดยย่อ

[๒๔๖] ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปไม่นาน ภิกษุเหล่านั้น ก็บังเกิดความสงสัยว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศนี้ไว้โดยย่อว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงําบุรุษเพราะเหตุใด ถ้าการที่บุคคลจะเพลิดเพลิน ยึดถือ กล้ำกลืน ไม่มีในเหตุนั้น อันนี้เทียวเป็นที่สุดแห่งราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งปฏิฆานุสัย เป็นที่สุดแห่งทิฏฐานุสัย เป็นที่สุดแห่งวิจิกิจฉานุสัย เป็นที่สุดแห่งมานานุสัย เป็นที่สุดแห่งภวราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งอวิชชานุสัย เป็นที่สุดแห่งการจับท่อนไม้ การจับศาสตรา การทะเลาะ การถือผิด การโต้เถียง การด่าว่า การส่อเสียดยุยง และการกล่าวเท็จ อกุศลธรรมอันลามกเหล่านี้ ย่อมดับไปโดยไม่เหลือ ในเพราะเหตุนั้น แล้วไม่ทรงชี้แจงเนื้อความให้พิสดาร

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 198

เสด็จลุกจากอาสนะเข้าที่ประทับเสีย ใครหนอ จะชี้แจงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้โดยย่อ ไม่ทรงชี้แจงโดยพิสดารให้พิสดารได้ ลําดับนั้น ภิกษุเหล่านั้นก็บังเกิดความคิดว่า ท่านพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาทรงยกย่องแล้ว และเพื่อนพรหมจรรย์ผู้รู้สรรเสริญแล้ว และท่านพระมหากัจจานะ สามารถจะชี้แจงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้โดยย่อ ไม่ทรงชี้แจงโดยพิสดารให้พิสดารได้ ผิฉะนั้น เราทั้งหลายควรพากันไปหาท่านมหากัจจานะถึงที่อยู่ แล้วสอบถามเนื้อความนี้กะท่านพระมหากัจจานะ. ลําดับนั้น ภิกษุเหล่านั้นได้เข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระมหากัจจานะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว พากันนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง และพูดกะท่านมหากัจจานะว่าข้าแต่ท่านพระกัจจานะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศนี้ไว้โดยย่อว่า ดูก่อนภิกษุ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงําบุรุษเพราะเหตุใด ถ้าการที่บุคคลจะเพลิดเพลิน ยึดถือ กล้ำกลืน ไม่มีในเหตุนั้น อันนี้เทียวเป็นที่สุดแห่งราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งปฏิฆานุสัย เป็นที่สุดแห่งทิฏฐานุสัย เป็นที่สุดแห่งวิจิกิจฉานุสัย เป็นที่สุดแห่งมานานุสัย เป็นที่สุดแห่งภวราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งอวิชชานุสัย เป็นที่สุดแห่งการจับท่อนไม้ การจับศาสตรา การทะเลาะ การถือผิด การโต้เถียง การด่าว่า การส่อเสียดยุยง และการกล่าวเท็จ อกุศลธรรมเหล่านี้ย่อมดับไปโดยไม่เหลือ ในเพราะเหตุนั้น แล้วไม่ทรงชี้แจงเนื้อความให้พิสดาร เสด็จลุกจากอาสนะเข้าที่ประทับเสีย ข้าแต่ท่านพระกัจจานะ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหลีกไปไม่นาน พวกผมได้บังเกิดความสงสัยว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศนี้ไว้โดยย่อ แล้วไม่ทรงชี้แจงเนื้อความให้พิสดาร เสด็จลุกจากอาสนะเข้าที่ประทับเสีย ใครหนอจะชี้แจงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 199

แสดงไว้โดยย่อ ไม่ทรงชี้แจงโดยพิสดาร ให้พิสดารได้ ข้าแต่ท่านพระกัจจานะ ผมเหล่านั้นก็บังเกิดความคิดว่า ท่านมหากัจจานะนี้อันพระศาสดาทรงยกย่องแล้ว และเพื่อนพรหมจรรย์ผู้รู้สรรเสริญแล้ว และท่านมหากัจจานะนี้สามารถจะชี้แจงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้โดยย่อ ไม่ทรงชี้แจงโดยพิสดาร ให้พิสดารได้ ผิฉะนั้น เราทั้งหลายควรพากันเข้าไปหาท่านกัจจานะถึงที่อยู่ แล้วสอบถามเนื้อความนี้กะท่านมหากัจจานะดู ขอท่านมหากัจจานะจงชี้แจงไปเถิด.

[๒๔๗] ท่านพระมหากัจจานะจึงกล่าวตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ เสาะหาแก่นไม้ เที่ยวแสวงหาแก่นไม้อยู่ ก็ล่วงเลยโคนต้น และลําต้นของต้นไม้ใหญ่อันมีแก่นเสีย สําคัญว่าจะพึงแสวงหาแก่นที่กิ่ง และใบฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้น เมื่อพระศาสดาทรงปรากฏอยู่เฉพาะหน้าท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็ล่วงเลยพระองค์ไปเสีย แล้วกลับจะมาไต่ถามเนื้อความนี้กะผม ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นผู้มีพระจักษุ เป็นผู้มีพระญาณ มีธรรม เป็นพรหม เป็นผู้เผยแผ่ เป็นผู้ประกาศ เป็นผู้ขยายเนื้อความ เป็นผู้ให้อมตธรรม เป็นเจ้าของแห่งธรรม เป็นพระตถาคต และเวลานี้ก็เป็นเวลาอันสมควรที่ท่านทั้งหลายจะทูลถามเนื้อความนี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแท้ พระองค์ทรงแก้ไขอย่างไร ท่านทั้งหลายก็ควรจําไว้อย่างนั้น.

ภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวตอบว่า ข้าแต่ท่านพระกัจจานะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ ทรงเห็น เป็นผู้มีพระจักษุ เป็นผู้มีพระญาณ เป็นผู้มีธรรม เป็นพรหม เป็นผู้เผยแผ่ เป็นผู้ประกาศ เป็นผู้ขยายเนื้อความ เป็นผู้ให้อมตธรรม เป็นเจ้าของแห่งธรรม เป็นพระตถาคต และเวลานี้ก็เป็นเวลาอันสมควรที่กระผมทั้งหลายจะทูลถามเนื้อความนี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแท้ พระ-

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 200

องค์ทรงแก้ไขอย่างไร กระผมทั้งหลายควรจําไว้อย่างนั้น ก็จริงอยู่แล แต่ว่าท่านพระมหากัจจานะอันพระศาสดาทรงยกย่องแล้ว และเพื่อนพรหมจรรย์ผู้รู้สรรเสริญแล้ว และท่านพระมหากัจจานะก็สามารถจะชี้แจงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้โดยย่อ ไม่ทรงชี้แจงโดยพิสดารให้พิสดารได้ ขอท่านพระมหากัจจานะจงชี้แจงไปเถิด อย่าทําความหนักใจให้เลย.

แสดงอุเทศโดยพิสดาร

[๒๔๘] ท่านมหากัจจานะจึงกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี ผมจะกล่าว ภิกษุเหล่านั้นรับคําแล้ว ท่านพระมหากัจจานะจึงกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศไว้โดยย่อว่า ดูก่อนภิกษุ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงําบุรุษเพราะเหตุใด ถ้าการที่บุคคลจะเพลิดเพลิน ยึดถือ กล้ำกลืน ไม่มีในเหตุนั้นแล อันนี้เป็นที่สุดแห่งราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งปฏิฆานุสัย เป็นที่สุดแห่งทิฏฐานุสัย เป็นที่สุดแห่งวิจิกิจฉานุสัย เป็นที่สุดแห่งมานานุสัย เป็นที่สุดแห่งภวราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งอวิชชานุสัย เป็นที่สุดแห่งการจับท่อนไม้ การจับศาสตรา การทะเลาะ การถือผิด การโต้เถียง การด่าว่า การส่อเสียดยุยง และการกล่าวเท็จ อกุศลธรรมอันลามกเหล่านี้ ย่อมดับไปโดยไม่เหลือ ในเพราะเหตุนั้น แล้วไม่ทรงชี้แจงเนื้อความให้พิสดาร เสด็จลุกจากอาสนะเข้าที่ประทับเสีย ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมรู้ถึงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้โดยย่อ ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความไว้โดยพิสดารนี้ ให้พิสดารได้อย่างนี้-

๑. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยตา และรูป เพราะประชุมธรรม ๓ ประการ จึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึง

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 201

เกิดเวทนา บุคคลเสวยเวทนาอันใด ก็จําเวทนาอันนั้น บุคคลจําเวทนาอันใด ก็ตรึกถึงเวทนาอันนั้น บุคคลตรึกถึงเวทนาอันใด ก็เนิ่นช้าอยู่ที่เวทนาอันนั้น บุคคลเนิ่นช้าอยู่ที่เวทนาอันใด ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ก็ครอบงําบุรุษ เพราะเนิ่นช้าอยู่ที่เวทนานั้นเป็นเหตุ ในรูปทั้งหลายที่พึงจะรู้ด้วยตา เป็นอดีตก็ดี เป็นอนาคตก็ดี เป็นปัจจุบันก็ดี.

๒. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย โสตวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยหู และเสียง...

๓. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ฆานวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยจมูก และกลิ่น...

๔. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ชิวหาวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยลิ้น และรส...

๕. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย กายวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยกาย และโผฏฐัพพะ...

๖. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย มโนวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยใจ และธรรมารมณ์ เพราะประชุมธรรม ๓ ประการ จึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา บุคคลเสวยเวทนาอันใด ก็จําเวทนาอันนั้น บุคคลจําเวทนาอันใด ก็ตรึกถึงเวทนาอันนั้น บุคคลตรึกถึงเวทนาอันใดก็เนิ่นช้าอยู่ที่เวทนาอันนั้น บุคคลเนิ่นช้าอยู่ที่เวทนาอันใด ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ก็ครอบงําบุรุษ เพราะเนิ่นช้าอยู่ที่เวทนานั้นเป็นเหตุ ในธรรมารมณ์ทั้งหลายที่จะพึงรู้ได้ด้วยใจ เป็นอดีตก็ดี เป็นอนาคตก็ดี เป็นปัจจุบันก็ดี.

๑. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อตามี รูปมี และจักขุวิญญาณมี เขาจักบัญญัติว่าผัสสะ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติผัสสะมี เขาจักบัญญัติว่าเวทนา ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติว่าเวทนามี เขาจัก

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 202

บัญญัติว่าสัญญา ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติสัญญามี เขาจักบัญญัติว่าวิตก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติวิตกมี เขาจักบัญญัติว่าการครอบงําส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.

๒. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อหูมี เสียงมี ...

๓. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อจมูกมี กลิ่นมี ...

๔. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อลิ้นมี รสมี ...

๕. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อกายมี โผฏฐัพพะมี ...

๖. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อใจมี ธรรมารมณ์มี และมโนวิญญาณมี เขาจักบัญญัติว่าผัสสะ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติผัสสะมี เขาจักบัญญัติว่าเวทนา ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติเวทนามี เขาจักบัญญัติว่าสัญญา ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติสัญญามี เขาจักบัญญัติว่าวิตก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติวิตกมี เขาจักบัญญัติว่าการครอบงําส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.

๑. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อตาไม่มี รูปไม่มี และจักขุวิญญาณไม่มี เขาจักบัญญัติว่าผัสสะ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติผัสสะไม่มี เขาจักบัญญัติว่าเวทนา ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติเวทนาไม่มี เขาจักบัญญัติว่าสัญญา ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติสัญญาไม่มี เขาจักบัญญัติว่าวิตก ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติวิตกไม่มี เขาจักบัญญัติว่าการครอบงําส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้.

๒. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อหูไม่มี เสียงไม่มี ...

๓. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อจมูกไม่มี กลิ่นไม่มี ...

๔. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อลิ้นไม่มี รสไม่มี ...

๕. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อกายไม่มี โผฏฐัพพะไม่มี..

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 203

๖. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อใจไม่มี ธรรมารมณ์ไม่มี และมโนวิญญาณไม่มี เขาจักบัญญัติว่าผัสสะ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติผัสสะไม่มี เขาจักบัญญัติว่าเวทนา ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติเวทนาไม่มี เขาจักบัญญัติว่าสัญญา ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติสัญญาไม่มี เขาจักบัญญัติว่าวิตก ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติวิตกไม่มี เขาจักบัญญัติว่าการครอบงํา ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้.

ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศนี้ไว้โดยย่อว่า ดูก่อนภิกษุ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงําบุรุษเพราะเหตุใด ถ้าการที่บุคคลจะเพลิดเพลิน ยึดถือ กล้ำกลืน ไม่มีในเหตุนั้น อันนี้เทียวเป็นที่สุดแห่งราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งปฎิฆานุสัย เป็นที่สุดแห่งทิฏฐานุสัย เป็นที่สุดแห่งวิจิกิจฉานุสัย เป็นที่สุดแห่งมานานุสัย เป็นที่สุดแห่งภวราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งอวิชชานุสัย เป็นที่สุดแห่งการจับท่อนไม้ การจับศาสตรา การทะเลาะ การถือผิด การโต้เถียงกัน การด่าว่ากัน การส่อเสียดยุยง และการกล่าวเท็จ อกุศลธรรมอันลามกเหล่านี้ ย่อมดับไปโดยไม่เหลือในเพราะเหตุนั้น แล้วไม่ทรงชี้แจงเนื้อความให้พิสดาร เสด็จลุกจากอาสนะเข้าที่ประทับเสีย ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมรู้ถึงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้โดยย่อนี้ ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความไว้โดยพิสดารให้พิสดารได้อย่างนี้ ก็แลเมื่อท่านทั้งหลายปรารถนา ก็พึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทูลถามเนื้อความนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ประการใด ท่านทั้งหลายพึงทรงจําข้อนั้นไว้โดยประการนั้นเถิด.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 204

สอบถามเนื้อความที่พระมหากัจจานะชี้แจง

[๒๔๙] ลําดับนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านมหากัจจานะ แล้วลุกจากอาสนะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศไว้โดยย่อว่า ดูก่อนภิกษุ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้าย่อมครอบงําบุรุษเพราะเหตุใด ถ้าการที่บุคคลจะเพลิดเพลิน ยึดถือ กล้ำกลืน ไม่มีในเหตุนั้น อันนี้เทียวเป็นที่สุดแห่งราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งปฏิฆานุสัย เป็นที่สุดแห่งทิฏฐานุสัย เป็นที่สุดแห่งวิจิกิจฉานุสัย เป็นที่สุดแห่งมานานุสัย เป็นที่สุดแห่งภวราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งอวิชชานุสัย เป็นที่สุดแห่งการจับท่อนไม้ การจับศาสตรา การทะเลาะ การถือผิด การโต้เถียงกัน การด่าว่ากัน การส่อเสียดยุยง และการกล่าวเท็จ อกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้นย่อมดับไปโดยไม่เหลือ ในเพราะเหตุนั้น ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความให้พิสดาร แล้วเสด็จลุกจากอาสนะเข้าที่ประทับเสีย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าหลีกไปไม่นาน พวกข้าพระองค์ได้บังเกิดความสงสัยว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศนี้ไว้โดยย่อ... ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความให้พิสดารแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเข้าที่ประทับเสีย ใครหนอจะชี้แจงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้โดยย่อนี้ ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความไว้โดยพิสดาร ให้พิสดารได้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ก็บังเกิดความคิดขึ้นว่า ท่านพระมหากัจจานะนี้อันพระศาสดาทรงยกย่องแล้ว และเพื่อนพรหมจรรย์ผู้รู้สรรเสริญแล้ว และท่านพระมหากัจจานะก็สามารถจะชี้แจงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้โดยย่อ ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความไว้โดยพิสดาร ให้พิสดารได้ ผิฉะนั้น เราทั้งหลายจะพากันเข้าไปหาท่านมหากัจจานะยังที่อยู่

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 205

แล้วสอบถามเนื้อความนี้กะท่านพระมหากัจจานะดู. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญลําดับนั้นเอง ข้าพระองค์ทั้งหลายได้พากันเข้าไปหาท่านมหากัจจานะถึงที่อยู่ แล้วสอบถามเนื้อความนี้กะท่านพระมหากัจจานะ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระมหากัจจานะได้ชี้แจงเนื้อความด้วยอาการเหล่านี้ ด้วยบทเหล่านี้ ด้วยพยัญชนะเหล่านี้ แก่พวกข้าพระองค์.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระมหากัจจานะเป็นบัณฑิต เป็นผู้มีปัญญามาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้พวกเธอจะถามเนื้อความนี้กะเรา แม้เราก็จะพึงพยากรณ์เนื้อความนั้นเหมือนกับที่พระมหากัจจานะพยากรณ์แล้วนั้น นี่แหละเป็นเนื้อความแห่งข้อนั้น เธอทั้งหลายจงทรงจําข้อนั้นไว้เถิด.

[๒๕๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนบุรุษผู้ถูกความหิว ความเหนื่อยอ่อนครอบงํา ได้ขนมหวาน แล้วกินในเวลาใด ก็พึงได้รับรสอันอร่อยหวานชื่นชูใจในเวลานั้น ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนักคิด ชาติบัณฑิตพึงใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมปริยายนี้ด้วยปัญญาในเวลาใด ก็พึงได้ความพอใจ และได้ความเลื่อมใสแห่งใจในเวลานั้น ฉันนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมปริยายนี้ชื่ออะไร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนอานนท์ เหตุดังนั้น เธอจงทรงจําธรรมปริยายนี้ว่า มธุปิณฑิกปริยาย (ธรรมปริยายที่ไพเราะอ่อนหวานเหมือนขนมหวาน) ดังนี้เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์มีใจชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.

จบ มธุปิณฑิกสูตร ที่ ๘

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 206

อรรถกถามธุปิณฑิกสูตร

มธุปิณฑิกสูตร มีคําเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ :-

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหาวนํ ได้แก่ ป่าที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีใครปลูก ต่อเนื่องเป็นอันเดียวกันกับป่าหิมพานต์ ไม่เหมือนป่าเกี่ยวกับป่าที่ปลูกแล้ว และยังไม่ได้ปลูกในเมืองเวสาลี.

บทว่า ทิวาวิหาราย ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่การทรงพักผ่อนในเวลากลางวัน.

บทว่า เวลุวลฏฺิกาย ได้แก่ ต้นมะตูมหนุ่ม.

บทว่า ทณฺฑปาณิ คือ ทรงถือไม้เท้าเพราะความเป็นผู้ทุรพลด้วยชราก็หาไม่. เพราะทัณฑปาณิศากยะนี้ ยังเป็นหนุ่มเทียว ดํารงอยู่ในปฐมวัย แต่ทรงถือไม้เท้าทองคํา เพราะความที่มีจิตในไม้เท้าเที่ยวไป เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ทัณฑปาณิ.

บทว่า ชงฺฆาวิหารํ ได้แก่ เดินเล่นเพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยของแข้ง.

บทว่า อนุจงฺกมมาโน คือกําลังเสด็จเที่ยวข้างโน้น และข้างนี้ เพื่อประโยชน์แก่การทรงชมสวน ชมป่า และชมภูเขา เป็นต้น. ได้ยินว่า ทัณฑปาณิศากยะนั้น เมื่อจะเสด็จออกไป ก็เสด็จออกในบางเวลาเท่านั้น เที่ยวไป.

บทว่า ทณฺฑโมลุพฺภา ความว่า ทรงยันไม้เท้า คือวางไม้เท้าข้างหน้า เหมือนเด็กเลี้ยงโค วางพระหัตถ์ทั้งสองไว้บนปลายไม้เท้า ทรงแนบหลังพระฝ่าพระหัตถ์ ไว้กับพระหณุแล้ว ประทับยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.

บทว่า กิํวาที ได้แก่ ทรงมีความเห็นอย่างไร.

บทว่า กิมกฺขายิ คือ ตรัสบอกอย่างไร. พระราชานี้ไม่ทรงไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทําสักว่า ปฏิสันถารเท่านั้น แล้วทูลถามปัญหา แต่ก็ทูลถามโดยความจําใจ เพราะความที่ไม่ประสงค์จะรู้. นัยว่าพระราชานี้ทรงเป็นพวกของพระเทวทัต เพราะเหตุไร. เพราะพระเทวทัตแตกในพระ-

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 207

ตถาคตผู้เสด็จมาสู่สํานักของพระองค์. ได้ยินว่า พระเทวทัตนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมมีเวรกับตระกูลพวกเรา ไม่หวังความเจริญแก่ตระกูลพวกเรา แม้พระภคินีของเรา สมควรเสวยสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ พระนางละสมบัตินั้นย่อมเสื่อมเสีย เพราะฉะนั้น สมณโคดมจึงเสด็จออกทรงผนวช ทรงรู้ว่าแม้พระภาคิไนยของเรา จักเป็นหน่อพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ไม่ทรงยินดีกับความเจริญของตระกูลพวกเรา ทรงคิดว่า นั้นย่อมเสื่อมเสีย จึงทรงยังให้พระภาคิไนยแม้นั้นให้บรรพชาในเวลายังเป็นเด็กนั้นเทียว ส่วนเราเว้นจากภาคิไนยนั่น ก็ไม่อาจจะเป็นไป จึงได้ออกบวชตาม ตั้งแต่วันบวช ก็ไม่ทรงมองดูเราแม้ผู้บวชอย่างนี้ ด้วยดวงพระเนตรตรงๆ และแม้เมื่อตรัสในท่ามกลางบริษัท ก็เหมือนประหารด้วยคําเท็จมากหลาย เช่นตรัสว่า เทวทัตเป็นสัตว์อบายดังนี้เป็นต้น. พระราชาแม้นี้ ถูกพระเทวทัตยุยงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงทรงกระทําดังนั้น. ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะตรัสคําที่สมควรแก่พระราชานั้น. ด้วยพระดําริว่า เราจักตรัสบอกแก่พระราชานั้น โดยประการที่พระราชานี้ไม่อาจเพื่อจะตรัสว่า พระสมณโคดมจะไม่ตรัสบอกปัญหาที่เราทูลถาม และโดยประการที่ไม่รู้เนื้อความแห่งภาษิต จึงตรัสว่า ยถาวาที โข เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น เกนจิ โลเก วิคฺคยฺห ติฏฺติ ความว่า ไม่ทําคําโต้เถียง คือไม่ทะเลาะกันผู้ใดผู้หนึ่งในโลก. จริงอยู่พระตถาคตย่อมไม่ทรงทะเลาะกับชาวโลก แต่ชาวโลก ครั้นตรัสว่า ไม่เที่ยงก็กล่าวว่า เที่ยง เมื่อตรัสว่า ทุกข์ อนัตตา ไม่งาม ก็กล่าวว่า งาม ชื่อว่าทะเลาะกับพระตถาคต ดังนี้. ด้วยเหตุนั้นเทียว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่ทะเลาะกับชาวโลก แต่ชาวโลกทะเลาะกับเรา ธรรมวาทีย่อมไม่ทะเลาะกับใครๆ เช่นกัน แต่อธรรมวาทีย่อมทะเลาะ ดังนี้.

บทว่า ยถา ได้แก่ โดยการณ์ใด.

บทว่า กาเมหิ คือ วัตถุกามบ้าง กิเลสกามบ้าง.

บทว่า

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 208

ตํ พฺราหฺมณํ ได้แก่ พราหมณ์ผู้ขีณาสพนั้น.

บทว่า อกถํกถิํ ได้แก่ ปราศจากความสงสัย.

บทว่า ฉินฺนกุกฺกุจฺจํ คือ ชื่อว่า ตัดความคะนองได้แล้ว เพราะความที่ความคะนองเกี่ยวกับความเดือดร้อน และความคะนองมือ และเท้าตัดขาดแล้ว.

บทว่า ภวาภเว ได้แก่ ในภพแล้วภพอีก หรือภพเลวประณีต. จริงอยู่ ภพอันประณีตถึงแล้วซึ่งความเจริญเรียกว่า อภพ.

บทว่า สฺา ได้แก่ กิเลสสัญญา. กิเลสทั้งหลายนั้นเทียว ท่านกล่าวแล้วโดยชื่อว่า สัญญาในที่นี้ เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายในบทนี้อย่างนี้ว่า กิเลสสัญญาทั้งหลายจะไม่ครอบงําพราหมณ์ผู้อยู่ปราศจากกามทั้งหลายนั้น ผู้มีปกติกล่าวความดับจากโลกทั้งหลายโดยการณ์ใด และเราย่อมกล่าวการณ์นั้น ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่พระองค์เป็นพระขีณาสพด้วยประการฉะนี้.

บทว่า นิลฺลาเฬตฺวา คือ นําลิ้นออกเล่น.

บทว่า ติวิสาขํ ได้แก่ ๓ รอย.

บทว่า นลาฏิกํ ความว่า หน้าผากย่น ทรงแสดงรอยย่น ๓ สายในหน้าผากทําหน้าผากย่น.

บทว่า ทณฺฑโมลุพฺภา ได้แก่ ยันไม้เท้า.

บทว่า ทณฺฑมาลุพฺภ ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ถือแล้วหลีกไป.

บทว่า อฺตโร ได้แก่ ภิกษุรูปหนึ่ง ไม่ปรากฏชื่อ.

ได้ยินว่า ภิกษุนั้นฉลาดในการเชื่อมเนื้อเรื่อง ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เจ้าทัณฑปาณิไม่ทรงรู้โดยประการใด เราจะแสดงโดยประการนั้น จึงถืออนุสนธิว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสปัญหาที่ไม่พึงรู้ว่าเป็นอย่างไรหนอแล จึงทูลขอพระทศพลด้วยคิดว่า เราจักทําปัญหานี้ให้ปรากฏแก่พระภิกษุสงฆ์ ลุกจากอาสนะทําอุตตรสงค์เฉลี่ยงบ่า ประคองอัญชลีที่รุ่งเรืองด้วยนิ้วทั้งสิบ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ามีปกติตรัสอย่างไรเป็นต้น.

บทว่า ยโตนิทานํ นั้นเป็นภาวนปุงสกลิงค์ อธิบายว่าครั้น เมื่อการณ์ใดมีอยู่ด้วยการณ์ใด.

บทว่า สงฺขา ในบทว่า ปปฺจสฺา-

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 209

สงฺขา นั้น ได้แก่ ส่วน.

บทว่า ปปฺจสฺา ได้แก่ สัญญาอันประกอบด้วยเครื่องเนิ่นช้า คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ. อนึ่ง เครื่องเนิ่นช้านั้นเทียว ตรัสด้วยชื่อว่า สัญญา เพราะฉะนั้น ในบทนี้จึงมีอธิบายอย่างนี้ว่า ส่วนแห่งเครื่องเนิ่นช้า.

บทว่า สมุทาจรนฺติ คือ ย่อมเป็นไป.

บทว่า เอตฺถ เจ นตฺถิ อภินนฺทิตพฺพํ ความว่า ครั้นการณ์กล่าวคือ อายตนะสิบสองใดมีอยู่ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงํา ถ้าแม้อายตนะหนึ่ง อันบุคคลพึงเพลิดเพลิน พึงยึดถือ พึงกล้ำกลืน ไม่มีในการณ์นั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภินนฺทิตพฺพํ ความว่า พึงเพลิดเพลิน ว่าเรา ของเรา.

บทว่า อภิวทิตพฺพํ ได้แก่ พึงกล่าวว่า เรา ของเรา.

บทว่า อชฺโฌสิตพฺพํ ได้แก่ ประกอบการที่กล้ำกลืน กลืนแล้ว ให้จบสิ้นแล้ว พึงถือเอา. ทรงแสดงความไม่เป็นไปแห่งตัณหาเป็นต้น นั้นเทียวในที่นี้ ด้วยบทนั้น.

บทว่า เอเสวนฺโต คือ ความที่การเพลิดเพลินเป็นต้นไม่มีนี้เทียว เป็นที่สุดแห่งอนุสัยทั้งหลาย มีราคานุสัย เป็นต้น. ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

ก็ในทัณฑาทานเป็นต้น บุคคลจับท่อนไม้ด้วยเจตนาใด เจตนานั้นชื่อว่า ทณฺฑาทานํ แปลว่าการจับท่อนไม้

บุคคลจับศาสตราด้วยเจตนาใดเจตนานั้น ชื่อว่า สตฺถาทานํ แปลว่า เจตนาถือศาสตรา การถือผิด การทะเลาะอันถึงที่สุด การโต้เถียงอันถึงการถือต่างๆ การวิวาทอันถึงวาทะต่างๆ.

บทว่า ตุวํ ตุวํ ได้แก่ แม้วาจาว่า มึง มึง อันเป็นไปแล้วอย่างนี้.

การทําความส่อเสียด ชื่อว่า เปสุฺํ แปลว่าการส่อเสียด. วาจาที่กระทําการพูดเท็จที่มีสภาวะไม่เป็นความจริงนั้น พึงทราบว่า มุสาวาท.

บทว่า เอตฺเถเต ความว่า อกุศลธรรมอันลามกเหล่านี้ ในเพราะอายตนะสิบสองนั้น. จริงอยู่ กิเลสทั้งหลายแม้เมื่อจะเกิดขึ้น ย่อมเกิดเพราะอาศัยอายตนะสิบสอง แม้เมื่อจะดับ ก็ย่อมดับในเพราะอายตนะสิบสองเช่นเดียวกัน. กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นในที่ใด ก็ย่อมดับใน

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 210

ที่นั้น ด้วยประการฉะนี้. เนื้อความนี้นั้น พึงแสดงด้วยสมุทยสัจจปัญหา. จริงอยู่ ท่านกล่าวว่า ก็ตัณหานี้นั้นแล เมื่อเกิด ย่อมเกิดในที่ไหน เมื่อดับ ย่อมดับในที่ไหน ดังนี้แล้ว จึงกล่าวความเกิดขึ้น และความดับแห่งตัณหานั้น ในเพราะอายตนะสิบสอง โดยนัยมีอาทิว่า ปิยรูป สาตรูป ในโลกใด ตัณหานั้น เมื่อเกิด ย่อมเกิดในปิยรูป สาตรูปนั้น เมื่อดับ ย่อมดับในปิยรูป สาตรูปนั้น ปิยรูป สาตรูป ในโลกคืออะไร คือ จักษุเป็นปิยรูป สาตรูปในโลก ดังนี้ ตัณหาเกิดขึ้นแล้วในอายตนะสิบสอง อาศัยนิพพานก็ดับไป แต่เพราะไม่มีความครอบงําในอายตนะทั้งหลาย ท่านกล่าวว่า ดับแล้วในเพราะอายตนะทั้งหลายนั้นเทียวฉันใด อกุศลธรรมอันลามกแม้เหล่านี้ พึงทราบว่า ย่อมดับในเพราะอายตนะทั้งหลาย ฉันนั้น

อนึ่ง ความไม่มีแห่งความเพลิดเพลินเป็นต้นนี้ใด ท่านกล่าวว่า เป็นที่สุดแห่งอนุสัยทั้งหลายมีราคานุสัยเป็นต้น อกุศลธรรมอันลามกทั้งหลายย่อมดับโดยไม่เหลือในนิพพานอันมีโวหารที่ได้แล้วว่า เอตฺเถเต ราคานุสยาทีนํ อนฺโต ก็สิ่งใดไม่มีในนิพพานใด สิ่งนั้นเป็นอันชื่อว่าดับแล้วในนิพพานนั้น. เนื้อความนี้นั้น พึงแสดงด้วยนิโรธปัญหา. สมจริงดังคําที่ท่านกล่าวแล้วเป็นอาทิว่า วิตกวิจาร วจีสังขารของภิกษุนั้นผู้เข้าถึงทุติยฌาน ย่อมสงบระงับ.

บทว่า สตฺถุเจว สํวณฺณิโต คือ ผู้อันพระศาสดาเทียว ทรงสรรเสริญแล้ว.

แม้คํานี้ว่า วิฺูนํ เป็นสัตตมีวิภัตติ์ลงในอรรถตติยวิภัตติ์ อธิบายว่า ผู้อันสพรหมจารีทั้งหลายผู้บัณฑิตสรรเสริญแล้ว.

บทว่า ปโหติ คือ ย่อมอาจ.

บทว่า อติกฺกมฺเมว มูลํ อติกฺกมฺม ขนฺธํ ความว่า ธรรมดาแก่นไม้พึงมีในลําต้น หรือโคนต้น ล่วงเลยโคนต้น และลําต้นแม้นั้น.

บทว่า เอวํ สมฺปทํ ความว่า ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้น อธิบายว่า เป็นเช่นนี้.

บทว่า อติสิตฺวา ได้แก่ ก้าวล่วงแล้ว. บทว่า ชานํ ชานาติ ได้แก่ รู้สิ่งที่พึงรู้นั้นเทียว.

บทว่า

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 211

ปสฺสํ ปสฺสติ ได้แก่ เห็นสิ่งที่ควรเห็น นั้นเทียว. อนึ่ง บุคคลบางคนถือความวิปริต แม้เมื่อรู้ก็ว่าไม่รู้ แม้เมื่อเห็นก็ว่าไม่เห็นฉันใด ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เช่นนั้น เมื่อทรงรู้ก็ว่ารู้ เมื่อทรงเห็นก็ว่าเห็น อย่างเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้านี้นั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีพระจักษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้นําในทัสสนะ ชื่อว่าเป็นผู้มีพระญาณ เพราะอรรถว่ากระทําสิ่งที่ทรงรู้แล้ว ชื่อว่ามีธรรม เพราะอรรถว่ามีสภาวะอันไม่วิปริต หรือเพราะทรงมีพระธรรมวินัยที่ทรงคิดด้วยพระหฤทัย ทรงเปล่งด้วยพระวาจาเพราะเป็นไปในปริยัติธรรม ชื่อว่าเป็นพรหม เพราะอรรถว่าประเสริฐที่สุด. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เป็นผู้มีพระจักษุ เพราะเป็นผู้มีดุจจักษุ แม้ในบทเหล่านั้น ก็มีเนื้อความอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านี้นั้น เป็นผู้เผยแผ่ เพราะทรงเผยแผ่พระธรรม เป็นผู้ประกาศ เพราะทรงประกาศพระธรรม เป็นผู้ขยายเนื้อความ เพราะความที่พระองค์ทรงสามารถในการนําแล้วนําอีกซึ่งเนื้อความมาทรงแสดง เป็นผู้ให้อมตธรรม เพราะพระองค์ทรงบรรลุอมตธรรมแล้วทรงให้ปฏิบัติ.

บทว่า อครุกริตฺวา มีอธิบายว่า ก็พระมหากัจจานะ เมื่อถูกร้องขอบ่อยๆ ชื่อว่า ทําความหนักใจ แม้ดํารงอยู่ในสาวกบารมีญาณของตนแสดงทําให้รู้ได้ยาก ดุจขนทรายจากเชิงเขาพระสิเนรุ ชื่อว่า ความหนักใจเหมือนกัน ขอท่านอย่าทําอย่างนั้น โปรดให้พวกกระผมร้องขอบ่อยๆ แล้วแสดงธรรมให้แม้รู้ได้โดยง่ายแก่พวกกระผมเถิด

ในบทนี้ว่า ยํ โข โน อาวุโส พระมหากัจจานะควรกล่าวว่า ยํ โข โว แม้ก็จริง ถึงกระนั้น เมื่อจะสงเคราะห์ภิกษุเหล่านั้นพร้อมกับตน จึงกล่าวว่า ยํ โข โน ดังนี้. หรือเพราะอุเทศได้แสดงแล้วแก่ภิกษุเหล่านั้นแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงแก่พระเถระบ้าง แก่ภิกษุเหล่านั้นๆ บ้างเพราะฉะนั้น ท่านหมายถึงบทนี้ว่า ภควา จึงกล่าวอย่างนั้น อธิบายว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา ทรงแสดงอุเทศโดยย่อใดแลแก่พวกท่าน ดังนี้

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 212

ในบทนี้ว่า จกฺขุฺจาวุโส เป็นต้น มีอธิบายอย่างนี้ ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ธรรมดาจักขุวิญญาณย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยจักขุปสาทโดยความเป็นนิสสัย และรูปอันประกอบด้วยสมุฏฐาน ๔ อย่าง โดยความเป็นอารมณ์.

บทว่า ติฺณํ สงฺคติ ผสฺโส ความว่า เพราะประชุมธรรม ๓ ประการนั้นจึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ด้วยอํานาจเกิดขึ้นพร้อมแล้วเป็นต้น เพราะอาศัยผัสสะนั้นจึงเกิดเวทนา และด้วยเวทนานั้น บุคคลเสวยอารมณ์อันใดสัญญาก็จําอารมณ์นั้น สัญญาจําอารมณ์ใด วิตกก็ตรึกถึงอารมณ์นั้นเทียว วิตกตรึกถึงอารมณ์ใด เครื่องเนิ่นช้าก็เนิ่นช้าถึงอารมณ์นั้นเทียว.

บทว่า ตโตนิทานํ ได้แก่ เพราะการณ์มีจักขุรูปเป็นต้นนั้น.

บทว่า ปุริสํ ปปฺจสฺาสงฺขา สมุทาจรนฺติ ความว่า ส่วนแห่งเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงําบุรุษผู้ไม่รอบรู้การณ์นั้น อธิบายย่อมเป็นไปแก่บุรุษนั้น. ในข้อนั้น ผัสสะ เวทนา และสัญญา เป็นอันเกิดขึ้นพร้อมด้วยจักขุวิญญาณ พึงเห็นวิตกในจิตที่มีวิตก มีในลําดับแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น. ถามว่า ส่วนแห่งเครื่องเนิ่นช้าเกิดพร้อมกับชวนะ ถ้าเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร จึงทําการถืออดีต และอนาคตเล่า. ตอบว่าเพราะเกิดขึ้นอย่างนั้น. เหมือนอย่างว่า เครื่องเนิ่นช้าอันเป็นไปทางจักขุทวารเกิดขึ้นแล้ว ในบัดนี้ เพราะอาศัยจักขุ รูป และสัมผัส เวทนา สัญญา วิตก ฉันใด ท่านพระมหากัจจานะเมื่อจะแสดงความเกิดขึ้นของเครื่องเนิ่นช้านั้น ในรูปทั้งหลายอันพึงรู้ด้วยจักษุแม้ที่เป็นอดีต และอนาคตจึงกล่าวอย่างนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน.

ในบทแม้เป็นต้นว่า โสตฺจาวุโส มีนัยเช่นเดียวกัน. ก็พึงทราบวินิจฉัยในฉัฏฐทวาร.

บทว่า มนํ ได้แก่ ภวังคจิต.

บทว่า ธมฺเม ได้แก่ ธรรมารมณ์อันเป็นไปในภูมิสาม.

บทว่า มโนวิฺาณํ ได้แก่ อาวัชชนะ หรือ ชวนะ. ครั้นอาวัชชนะถือแล้ว ผัสสะ เวทนา สัญญา และวิตก ย่อมเกิดพร้อมกับอาวัชชนะ เครื่องเนิ่นช้าเกิดพร้อมกับชวนะ ครั้น

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 213

ชวนะถือแล้ว ภวังคจิต ซึ่งมีพร้อมกับอาวัชชนะ ชื่อว่า เป็นมโน แต่นั้นผัสสะเป็นต้น แม้ทั้งหมดก็เกิดพร้อมกับชวนะ ส่วนในมโนทวาร อารมณ์แม้ทั้งหมดอันต่างโดยเป็นอดีตเป็นต้นก็ย่อมมี เพราะฉะนั้น คํานี้ว่า เป็นที่อดีตอนาคต และปัจจุบัน เป็นอันเหมาะสมแล้ว.

บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงวัฏฏะ. จึงปรารภเทศนาว่า โส วตาวุโส ดังนี้.

บทว่า ผสฺสปฺตฺติํ ปฺเปสฺสติ ความว่า จักบัญญัติ จะแสดงผัสสะบัญญัติอย่างนี้ว่า ธรรมอันหนึ่ง ชื่อว่า ผัสสะ ย่อมเกิดขึ้น. ในบททั้งปวงก็มีในนี้. พระเถระครั้นแสดงวัฏฏะทั้งสิ้นด้วยอํานาจอายตนะ ๑๒ ว่าครั้นอายตนะนี้มี อายตนะนี้ก็มี ด้วยประการฉะนั้นแล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงวิวัฏฏะด้วยอํานาจปฏิเสธอายตนะ ๑๒ จึงปรารภเทศนาว่า โส วตาวุโส จกฺขุสฺมิํ อสติ ดังนี้. พึงทราบอรรถโดยนัยที่กล่าวแล้วในบทนี้นั้นเทียว.

พระเถระครั้นวิสัชชนาปัญหาอย่างนี้แล้ว บัดนี้ จึงกล่าวส่งไปว่า ปัญหาอันสาวกกล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่าเป็นผู้สงสัย พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์นี้ ทรงถือการเปรียบเทียบด้วยสัพพัญุตญาน ประทับนั่งแล้ว ท่านทั้งหลายเมื่อปรารถนา ก็จงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ก็จะหมดความสงสัย ดังนี้ จึงกล่าวคําว่า อากงฺขมานา จ ปน ดังนี้เป็นต้น.

บทว่า อิเมหิ อากาเรหิ ความว่า ด้วยเหตุเหล่านี้ คือ ด้วยการณ์ เฉพาะแห่งความเกิดขึ้นเอง เครื่องเนิ่นช้า และการณ์เกี่ยวกับวัฏฏ และวิวัฏฏ.

บทว่า อิเมหิ ปเทหิ คือ ด้วยประมวลอักขระเหล่านี้.

บทว่า พฺยฺชเนหิ ได้แก่ ด้วยอักขระเฉพาะอย่าง.

บทว่า ปณฺฑิโต ความว่า ประกอบพร้อมด้วยความเป็นบัณฑิต หรือเป็นบัณฑิตด้วยเหตุ ๔ อย่าง คือ ฉลาดในธาตุ ฉลาดในอายตนะ ฉลาดในปัจจยาการ ฉลาดในการณ์ และอการณ์.

บทว่า มหาปฺโ ความว่า ถึงพร้อมด้วยปัญญามาก ซึ่งสามารถที่จะกําหนดอรรถะมาก

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 214

ธรรมมาก นิรุติมาก ปฏิภาณมาก.

บทว่า ยถา ตํ มหากจฺจาเนน ความว่า กัจจานะพยากรณ์โดยประการใด ทรงหมายถึงพยากรณ์นั้น จึงตรัสว่า ตํ. ความว่า พยากรณ์นั้น มหากัจจานะพยากรณ์แล้วโดยประการใด แม้เราก็พยากรณ์อย่างนั้นเหมือนกัน.

บทว่า มธุปิณฺฑิกํ ได้แก่ ขนมหวานมาก หรือขนมสัตตุที่ปรุงแล้ว.

บทว่า อเสจนกํ ได้แก่ อันพึงชื่นชูใจ คือ รสที่ปรุงดี ซึ่งไม่ควรกล่าวว่า ในบรรดาเนยใส น้ำอ้อย น้ำผึ้ง และน้ำตาล เป็นต้น ชื่อนี้น้อย สิ่งนี้มาก.

บทว่า เจตโส ได้แก่ ผู้มีชาตินักคิด.

บทว่า ทพฺพชาติโก คือ มีสภาพเป็นบัณฑิต. พระเถระเป็นผู้หนักในเหตุผลอย่างยิ่ง จึงคิดว่า นี้เป็นธรรมปริยาย เราจักทูลให้ทรงตั้งชื่อธรรมปริยายนั้น ด้วยสัพพุตญาณของพระทศพลนั้นเทียว จึงทูลคํานี้ว่า ธรรมปริยายนี้ ชื่ออะไร.

บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะธรรมปริยายอ่อนหวาน เหมือนขนมหวาน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า เธอจงทรงจําธรรมปริยายนี้ว่า มธุปิณฑิกปริยาย ดังนี้เถิด. คําที่เหลือในบททั้งปวง มีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.

จบ อรรถกถามธุปิณฑิกสูตรที่ ๘