พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๘. มหากัจจานสูตร ว่าด้วยพระมหาหัจจานะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ส.ค. 2564
หมายเลข  35349
อ่าน  378

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 687

๘. มหากัจจานสูตร

ว่าด้วยพระมหาหัจจานะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 687

๘. มหากัจจานสูตร

ว่าด้วยพระมหาหัจจานะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง

[๑๕๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระมหากัจจานะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง มีกายคตาสติตั้งมั่นดีแล้วเฉพาะหน้าในภายใน ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นท่านพระมหากัจจานะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง มีกายคตาสติตั้งมั่นดีแล้วเฉพาะหน้าในภายใน ในที่ไม่ไกล.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 688

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ผู้ใดพึงตั้งกายคตาคติไว้มั่นแล้วเนืองๆ ในกาลทุกเมื่อว่า อะไรๆ อันพ้นจากขันธปัญจกไม่พึงมี อะไรๆ ที่ชื่อว่าเป็นของเราก็ไม่พึงมี อะไรๆ ที่ชื่อว่าตนอันพ้นจากขันธ์จักไม่มี และอะไรๆ ที่เนื่องในตนจักไม่มีแก่เรา ผู้นั้นมีปกติอยู่ด้วยอนุปุพพวิหาร ตามเห็นอยู่ในสังขารนั้น พึงข้ามตัณหาได้โดยกาลเกิดขึ้นแห่งอริยมรรคแล.

จบมหากัจจานสูตรที่ ๘

อรรถกถามหากัจจานสูตร

มหากัจจานสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

อชฺฌตฺต ศัพท์นี้ ในบทว่า อชฺฌตฺตํ นี้ มาในอรรถว่า เกิดภายใน ในประโยคมีอาทิว่า อายตนะภายใน ๖ ดังนี้. มาในอรรถว่า เกิดในตน ในประโยคมีอาทิว่า ธรรมทั้งหลายเกิดในตน หรือตามเห็นกายในกายภายในตน. มาในอรรถว่า เป็นภายในแห่งอารมณ์ ในประโยคมีอาทิว่า เพราะไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง ภิกษุเข้าถึงสุญญตะอันเป็นภายในอยู่ อธิบายว่า ในตำแหน่งที่เป็นใหญ่. จริงอยู่ ผลสมาบัติ ชื่อว่าเป็นฐานอันใหญ่ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. มาในอรรถว่า เป็นภายในแห่งโคจร ในประโยคมีอาทิว่า อานนท์ ภิกษุนั้น พึงตั้งจิตไว้ด้วยดี เฉพาะภายใน

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 689

ในสมาธินิมิต อันเป็นเบื้องต้นนั้นเท่านั้น. แม้ในที่นี้ ท่านพึงเห็นว่า มาในอรรถว่ามีโคจรเป็นภายในนั่นเอง. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า อชฺฌตฺตํ ได้แก่ ในอารมณ์กัมมัฏฐาน อันเป็นอารมณ์ภายใน.

บทว่า ปริมุขํ แปลว่า ตรงหน้า.

บทว่า สุปฏฺิตาย ได้แก่ มีสติไปในกายอันตั้งมั่นด้วยดี. ก็ในที่นี้ ท่านกล่าวถึงฌาน โดยยกสติขึ้นเป็นประธาน. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า ภิกษุเข้าฌานอันเป็นภายในคืออันยิ่งที่ตนได้ โดยกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน.

ก็พระเถระนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี วันหนึ่ง เที่ยวบิณฑบาต ณ กรุงสาวัตถี กลับจากบิณฑบาตภายหลังฉันอาหารเสร็จแล้วเข้าไปสู่วิหาร แสดงวัตรแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งพักผ่อนในที่พักกลางวัน ยับยั้งอยู่ด้วยสมาบัติต่างๆ ตลอดวัน ในเวลาเย็น หยั่งลงสู่ท่ามกลางวิหาร เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งที่พระคันธกุฏี จึงคิดว่า นี้ไม่ใช่เวลาที่จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน กำหนดเวลาแล้ว นั่งเข้าสมาบัติดังกล่าวแล้ว ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งไม่ไกลแต่พระคันธกุฎี. พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นเอง ทอดพระเนตรเห็นเธอนั่งอยู่อย่างนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา มหากจฺจายโนฯ เปฯ สุปฏฺิตาย ดังนี้เป็นต้น.

บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการทั้งปวง ถึงการที่ท่านพระมหากัจจานเถระเข้าฌานที่ตนบรรลุด้วยสติปัฏฐานภาวนาให้เป็นบาท แล้วจึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส สิยา สพฺพทา สติ สตตํ กายคตา อุปฏฺิตา ความว่า สติอันไปแล้วในกายทั้งสองอย่าง โดยความต่างแห่ง

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 690

นามและรูป คือ มีกายเป็นอารมณ์ พึงเป็นคุณชาต อันภิกษุใดผู้เริ่มบำเพ็ญวิปัสสนา ดำรงไว้ด้วยอำนาจความพยายามอันเป็นไปติดต่อเนืองๆ ไม่ขาดสาย โดยพิจารณาลักษณะ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ในกาลทั้งหมด โดยแบ่งวันหนึ่งออกเป็น ๖ ส่วน.

เล่ากันมาว่า ท่านพระมหากัจจานะนี้ ยังฌานให้บังเกิด โดยกายคตาสติกัมมัฏฐานก่อน แล้วกระทำฌานนั้นให้เป็นบาท เริ่มตั้งวิปัสสนา โดยมุข คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน แล้วบรรลุพระอรหัต. ถึงในกาลต่อมา โดยมาก ท่านเข้าฌานนั้นนั่นแหละ ออกแล้วพิจารณาเห็นโดยประการนั้นนั่นแล แล้วเข้าผลสมาบัติ. พระศาสดาเมื่อทรงแสดงวิธีที่เป็นเหตุให้ท่านบรรลุพระอรหัต จึงตรัสว่า ผู้ที่มีสติในกาลทุกเมื่อ พึงตั้งกายคตาสติไว้ติดต่อกัน เพื่อจะให้อาการที่กายคตาสตินั้นปรากฏแจ่มชัด จึงตรัสว่า กิเลสกรรมอันพ้นจากขันธปัญจกไม่พึงมี กิเลสธรรมที่ชื่อว่าเป็นของเราไม่พึงมี กิเลสกรรมที่ชื่อว่าตนอันพ้นจากขันธ์จักไม่มี และกิเลสกรรมที่เนื่องในตนจักไม่มีแก่เรา ดังนี้.

ความข้อนั้น เมื่อว่าโดยพิจารณา พึงทราบโดยเป็น ๒ ส่วน คือ ด้วยส่วนเบื้องต้น ๑ ด้วยขณะพิจารณา ๑.

ใน ๒ อย่างนั้น พึงทราบโดยส่วนเบื้องต้นก่อน. บทว่า โน จสฺส โน จ เม สิยา ความว่า หากว่าในอดีตกาล กิเลสกรรมของเราไม่พึงมีไซร้ ในกาลอันเป็นปัจจุบันนี้ อัตภาพนี้ จะไม่พึงมีแก่เรา คือ ไม่พึงเกิดแก่เรา. ก็เพราะเหตุที่กรรมและกิเลสได้มีแก่เราในอดีตกาล ฉะนั้น อัตภาพของเราในบัดนี้ ซึ่งมีกรรมกิเลสนั้นเป็นเครื่องหมาย ย่อมเป็นไป.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 691

บทว่า น ภวิสฺสติ น จ เม ภวิสฺสติ ความว่า ในอัตภาพนี้ เพราะปราศจากธรรมอันเป็นปฏิปักษ์นั่น และกิเลสกรรม จักไม่มี คือ จักไม่เกิดแก่เรา และวิปากวัฏในอนาคตจักไม่มี คือ จักไม่เกิดแก่เรา. ในกาลทั้ง ๓ ดังกล่าวมาแล้วนี้ ขันธปัญจก คือ อัตภาพของเรานี้ อันมีกรรมกิเลสเป็นเหตุ ไม่ใช่มีผู้ยิ่งใหญ่เป็นต้นเป็นเหตุ เป็นอันท่านประกาศถึงการเห็นนามแลรูปพร้อมทั้งปัจจัยว่าของเราฉันใด ของสัตว์ทั้งปวงก็ฉันนั้น.

แต่เมื่อว่าโดยเวลาพิจารณา พึงทราบความดังต่อไปนี้. บทว่า โน จสฺส โน จ เม สิยา ความว่า เพราะเหตุที่เบญจขันธ์นี้ ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะมีแล้วกลับไม่มี ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะอรรถว่า ถูกความเกิดและความดับบีบคั้นเนืองๆ ชื่อว่าอนัตตา เพราะอรรถว่า ไม่เป็นไปในอำนาจ ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น สภาวะบางอย่างที่ชื่อว่าอัตตานี้ ที่พ้นไปจากเบญจขันธ์ก็ไม่มี คือไม่พึงมี ไม่พึงเกิด เมื่อเป็นเช่นนั้น เบญจขันธ์บางอย่าง ที่ชื่อว่าเป็นของเรา ไม่พึงมีแก่เรา ไม่พึงเกิดแก่เรา. จริงอยู่ เมื่ออัตตามี สิ่งที่เกิดในตนก็พึงมี เหมือนอย่างว่า นามรูปนี้ที่เกิดในตน จักสูญไปในปัจจุบัน และในอดีต ฉันใด สภาวะอะไรๆ ที่ชื่อว่าเป็นอัตตาที่พ้นไปจากขันธ์ก็ฉันนั้น จักไม่มี จักไม่เกิดแก่เรา คือ จักไม่มี จักไม่เกิดแก่เราในอนาคต ต่อจากนั้นแล เบญจขันธ์นี้อะไรๆ อันเป็นที่ตั้งแห่งความกังวล จักไม่มีแก่เรา คือ ธรรมชาติอะไรๆ ที่เกิดในตน จักไม่มีแก่เราแม้ในอนาคต. ด้วยคำนี้ พระองค์แสดงถึงความไม่มีสิ่งที่จะพึงถือว่า เรา และจะพึงถือว่า ของเรา เพราะไม่มีใน ๓ กาล. ด้วยคำนั้น เป็นอันทรงประกาศสุญญตามี ๔ เงื่อน.

บทว่า อนุปพฺพวิหารี ตตฺถ โส ความว่า เมื่อพระโยคาวจรตามเห็นความเป็นของว่างอันมีในตน ในสังขารนั้น ในกาลทั้ง ๓ ดังพรรณามาฉะนี้

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 692

เมื่อวิปัสสนาญาณ มีอุทยัพพยญาณเป็นต้น เกิดขึ้นโดยลำดับ ชื่อว่าผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่โดยลำดับ โดยอนุปุพพวิปัสสนาวิหารธรรม.

บทว่า กาเลเนว ตเร วิสตฺติกํ ความว่า พระโยคาวจรนั้น คือ ผู้ยังวิปัสสนาให้ถึงที่สุด ดำรงอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าพึงข้ามตัณหา กล่าวคือ ตัณหาที่ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ เพราะสืบต่อวัฏฏะ ๓ ทั้งสิ้น โดยเวลาที่ถึงความแก่กล้า โดยเวลาที่วุฏฐานคามินีวิปัสสนาสืบต่อด้วยมรรค และโดยเวลาที่อริยมรรคเกิดขึ้น อธิบายว่า พึงข้ามไปตั้งอยู่ ณ ฝั่งโน้นแห่งตัณหานั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทาน อันแสดงถึงการที่ท่านพระมหากัจจานะบรรลุพระอรหัต โดยอ้างถึงพระอรหัตผล ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถามหากัจจานสูตรที่ ๘