พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๕. ลกุณฐกภัททิยสูตร ว่าด้วยรถคืออัตภาพ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ส.ค. 2564
หมายเลข  35346
อ่าน  379

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 675

๕. ลกุณฐกภัททิยสูตร

ว่าด้วยรถคืออัตภาพ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 675

๕. ลกุณฐกภัททิยสูตร

ว่าด้วยรถคืออัตภาพ

[๑๕๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระลกุณฐกภัททิยะกำลังเดินมาข้างหลังของภิกษุเป็นอันมาก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นท่านพระลกุณฐกภัททิยะเป็นคนค่อม มีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู พวกภิกษุดูหมิ่นโดยมาก เดินมาข้างหลังของภิกษุเป็นอันมากแต่ไกล ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเห็นภิกษุนั่น เป็นคนค่อม มีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู พวกภิกษุดูหมิ่นโดยมาก กำลังเดินมาข้างหลังๆ ของภิกษุเป็นอันมากแต่ไกลหรือไม่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็นแล้ว พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ก็สมาบัติที่ภิกษุนั้นไม่เคยเข้าแล้ว ไม่ใช่หาได้ง่าย ภิกษุนั้นทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้นด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 676

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

รถคืออัตภาพ มีศีลอันหาโทษมิได้เป็นองค์ประธาน มีหลังคาคือบริขารขาว มีกำคือสติอันเดียวแล่นไปอยู่ เชิญดูรถคืออัตภาพนั้นอันหาทุกข์มิได้ มีกระแสตัณหาอันตัดขาดแล้ว หาเครื่องผูกมิได้ แล่นไปอยู่.

จบลกุณฐกภัททิยสูตรที่ ๕

อรรถกถาลกุณฐกภัททิยสูตร

ลกุณฐกภัททิยสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า สมฺพหุลานํ ภิกฺขูนํ ปิฏฺิโต ปิฏฺิโต ความว่า วันหนึ่ง ท่านพระลกุณฐกภัททิยะ พร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมากเที่ยวบิณฑบาตในละแวกบ้าน ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ล้างบาตรใส่ถลกคล้องไว้ที่บ่า จีบจีวร พาดจีวรแม้นั้นไว้บ่าซ้าย มีการก้าวไป ถอยกลับ แลดู เหลียวดู คู้ เหยียด น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ เป็นเหมือนประกาศความไพบูลย์ด้วยสติและปัญญาของตน ตั้งสติสัมปชัญญะไว้มั่น มีจิตเป็นสมาธิ ทอดเท้าก้าวย่างไป และเมื่อจะไป ก็ตามหลังภิกษุทั้งหลายไป ไม่ปะปนด้วยภิกษุเหล่านั้น. เพราะเหตุไร? เพราะเป็นผู้อยู่ด้วยการไม่คลุกคลี. อนึ่ง ปุถุชนทั้งหลาย ย่อมดูหมิ่นรูปของท่านว่า น่าดูหมิ่น เป็นที่ตั้งแห่งความดูหมิ่น. พระเถระทราบดังนั้น จึงเดินไปข้างหลัง

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 677

ด้วยคิดว่า ภิกษุเหล่านี้อย่าได้ประสบบาปเพราะอาศัยเราเลย. ภิกษุเหล่านั้น และพระเถระ ถึงกรุงสาวัตถี เข้าไปยังวิหาร เข้าเฝ้าพระศาสดาถึงที่ประทับด้วยประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา ลกุณฺฏกภทฺทิโย ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุพฺพณฺณํ ได้แก่ รูปน่าเกลียด. ด้วยคำนั้น ทรงแสดงถึงท่านไม่มีการถึงพร้อมด้วยวรรณะ (รูป) และถึงพร้อมด้วยทรวดทรง.

บทว่า ทุทฺทสิกํ แปลว่า เห็นเข้าไม่น่าเลื่อมใส. ด้วยบทนั้น แสดงถึงท่านไม่มีความสมบูรณ์ด้วยอนุพยัญชนะ และความสมบูรณ์ด้วยอาการ.

บทว่า โอโกฏิมกํ แปลว่า เตี้ย. ด้วยคำนี้ ทรงแสดงถึงท่านไม่มีความสมบูรณ์ด้วยส่วนสูง.

บทว่า เยภุยฺเยน ภิกฺขูนํ ปริภูตรูปํ ได้แก่ ผู้มีรูปร่างอันภิกษุปุถุชนทั้งหลาย ดูหมิ่น. ภิกษุปุถุชนบางพวก เช่น พระฉัพพัคคีย์เป็นต้น เมื่อไม่รู้คุณของท่าน จับ ลูบคลำเล่นที่มือและใบหูเป็นต้นดูหมิ่น พระอริยเจ้าหรือกัลยาณปุถุชนหาดูหมิ่นไม่.

บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ ความว่า ตรัสเรียกภิกษุมาทำไม? เพื่อประกาศคุณของพระเถระ. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านี้ไม่รู้ว่าบุตรเรามีอานุภาพมาก เพราะเหตุนั้น จึงพากันดูหมิ่นเธอ ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานแก่ภิกษุเหล่านั้น เอาเถอะ เราจักประกาศคุณของภิกษุนี้แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วจักปลดเปลื้องเธอให้พ้นจากความดูหมิ่น.

บทว่า ปสฺสถ โน แปลว่า พวกเธอจงดูนะ.

บทว่า น จ สา สมาปตฺติ สุลภรูปา ยา เตน ภิกฺขุนา อสมาปนฺนปุพฺพา ความว่า

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 678

ชื่อสมาบัติอย่างใดอย่างหนึ่งอันทั่วไปแก่พระสาวก มีประเภทอย่างนี้ คือ รูปสมาบัติ อรูปสมาบัติ พรหมวิหารสมาบัติ นิโรธสมาบัติ และผลสมาบัติ ในสมาบัติเหล่านั้น สมาบัติแม้อย่างหนึ่ง ไม่ใช่ได้โดยง่าย คือ ได้โดยยาก. ภิกษุลกุณฐกภัททิยะนั้นไม่เคยเข้าสมาบัตินั้น ไม่มีเลย. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงประกาศความที่พระเถระนั้นมีฤทธิ์มาก ในคำที่ตรัสไว้ว่า มหิทฺธิโก มหานุภาโว บัดนี้ เพื่อจะประกาศความที่ท่านมีอานุภาพมาก จึงตรัสคำมีอาทิว่า ยสฺส จตฺถาย ดังนี้. คำนั้นมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.

ก็ในคำเหล่านั้น ด้วยคำว่า เอโส ภิกฺขเว ภิกฺเข เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ไม่ใช่เป็นภิกษุพอดีพอร้าย ใครๆ ไม่ควรดูหมิ่นด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า เป็นผู้มีรูปน่าเกลียด ไม่น่าดู เตี้ย และว่าเดินตามหลังภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้เป็นภิกษุมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ความจริง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่พระสาวกพึงถึง สิ่งนั้นทั้งหมดภิกษุนั้นถึงแล้วโดยลำดับ เพราะฉะนั้น พึงทำภิกษุนั้นให้เป็นที่หนักแน่นดุจฉัตรหิน แล้วจึงแลดู ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขตลอดกาลนานแก่เธอทั้งหลาย.

บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการทั้งปวงซึ่งกองแห่งคุณของท่านลกุณฐกภัททิยะต่างโดยคุณมีความเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากเป็นต้นนี้ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงความนั้น.

โทษท่านเรียกว่า เอละ ในบทว่า เนลงฺโค นี้ ในพระคาถานั้น. โทษของคำนั้นไม่มี เหตุนั้นคำนั้นจึงชื่อว่า เนลํ. ก็ เนละ นั้น คืออะไร?

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 679

คือ ศีลที่บริสุทธิ์ด้วยดี. จริงอยู่ ศีลที่บริสุทธิ์ด้วยดีนั้น ท่านประสงค์ว่า เนละ ในพระคาถานี้ เพราะอรรถว่า ไม่มีโทษ. ภิกษุชื่อว่า เนลังคะ เพราะมีองค์อันเป็นประธานอันหาโทษมิได้. เชื่อมความด้วยคำที่ท่านกล่าวไว้ด้วยรถ. เพราะฉะนั้น อธิบายว่า ผู้มีองค์ คือ ศีลอันบริสุทธิ์ด้วยดี. จริงอยู่ ศีลที่สัมปยุตด้วยอรหัตผล ท่านประสงค์เอาในที่นี้. อัตภาพดุจรถ ชื่อว่า เสตปจฺฉาโท เพราะมีหลังคาสีขาว.

บทว่า ปจฺฉาโท ได้แก่ ผ้ากัมพล เป็นต้น ที่ลาดไว้บนหลังรถ. ก็รถคืออัตภาพนั้น มีสีขาวก็ดี มีสีแดง และสีเขียว เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี เพราะมีภาวะขาวหมดจดด้วยดี แต่ในที่นี้ ท่านกล่าวว่า เสตปจฺฉาโท มีหลังคาขาว เพราะอาศัยภาวะที่บริสุทธิ์ด้วยดี เหตุประสงค์เอาความหลุดพ้นด้วยอรหัตผล เหมือนอุปมาอย่างใดอย่างหนึ่งว่า รถมีเครื่องบริขารขาว. กำอันหนึ่งคือสติของรถนั้นมีอยู่ เหตุนั้น รถนั้นชื่อว่า มีกำอันเดียว.

บทว่า วตฺตติ แปลว่า ย่อมเป็นไป.

ด้วยบทว่า รโถ นี้ พระองค์ตรัสหมายถึงอัตภาพของพระเถระ.

บทว่า อนีฆํ แปลว่า ไม่มีทุกข์ อธิบายว่า เว้นจากความกำเริบแห่งกิเลส ดุจยานที่เว้นจากความสั่นฉะนั้น.

บทว่า อายนฺตํ ได้แก่ มาข้างหลัง ข้างหลัง ของภิกษุเป็นอันมาก.

บทว่า ฉินฺนโสตํ ได้แก่ ตัดกระแสแล้ว. จริงอยู่ กระแสแห่งเนยใสและน้ำมันเป็นต้น ที่ฉาบทาที่หัวเพลาและดุม ไหลไป คือ บ่าไป เพื่อให้รถตามปกติแล่นไปสะดวก เพราะฉะนั้น รถนั้นจึงชื่อว่ามีกระแสยังไม่ขาด. แต่รถนี้เป็นอันชื่อว่าขาดกระแสแล้ว เพราะละกระแสกิเลส ๓๖ ได้เด็ดขาด. ซึ่งรถที่ขาดกระแสแล้วนั้น.

ชื่อว่า อพนฺธโน เพราะรถนั้นไม่มีเครื่องผูก. จริงอยู่ เครื่องผูกทั้งหลายของรถที่มีเครื่องปรุงพร้อมกับเพลาย่อมมีมาก เพื่อทำไม่ให้รถนั้นคลอนแคลน

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 680

ด้วยเหตุนั้น รถนั้นจึงชื่อว่ามีเครื่องผูก. แต่รถนี้ชื่อว่าไม่มีเครื่องผูก เพราะเครื่องผูกคือสังโยชน์ทั้งปวงหมดสิ้นไปโดยไม่เหลือ. ซึ่งรถอันไม่มีเครื่องผูกนั้น . พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้รับโสมนัสด้วยคุณของพระเถระ จึงตรัสเรียกพระองค์ด้วยพระดำรัสว่า เชิญดู.

ดังนั้น พระศาสดาทรงแสดงท่านลกุณฐกภัททิยะให้เป็นผู้มีจักรด้วยดี โดยยกอรหัตผลขึ้นเป็นประธาน ให้เป็นผู้มีสิ่งกำบังอันข้ามพ้นด้วยดี ด้วยวิมุตติอันสัมปยุตด้วยอรหัตผล ให้เป็นผู้มีกำบังด้วยดี ด้วยสติอันตั้งมั่นด้วยดี ให้เป็นผู้ไม่กำเริบ เพราะกิเลสเครื่องกำเริบไม่มี ให้เป็นผู้ไม่มีกิเลสเครื่องไล้ทา เพราะเครื่องไล้ทาคือตัณหาไม่มี ให้เป็นผู้ไม่มีกิเลสเครื่องผูกพัน เพราะไม่มีสังโยชน์เป็นต้น ให้เป็นดุจรถเทียมด้วยม้าอาชาไนย อันประกอบด้วยดีแล้ว อันมีเครื่องปรุงดีแล้ว.

จบอรรถกถาลกุณฐกภัททิยสูตรที่ ๕