พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๓. วงศ์พระโกณฑัญญพุทธเจ้าที่ ๒

 
บ้านธัมมะ
วันที่  1 ส.ค. 2564
หมายเลข  35143
อ่าน  435
  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 306

๓. วงศ์พระโกณฑัญญพุทธเจ้าที่ ๒

ว่าด้วยพระประวัติของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า

[๓] ต่อจากสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า พระพุทธ- เจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะ ผู้นำโลก ผู้มีพระเดชไม่มี ที่สุด มีพระยศนับไม่ได้ ผู้มีพระคุณหาประมาณมิได้ ยากที่จะเข้าเฝ้า.

พระองค์ทรงมีพระขันติเปรียบด้วยแผ่นธรณี ทรง มีศีล เปรียบด้วยสาคร ทรงมีสมาธิเปรียบด้วยขุนเขา พระเมรุ ทรงมีพระญาณเปรียบด้วยท้องนภากาศ.

ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศอินทรีย์ พละ โพชฌงค์และมรรคสัจ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ ทั้งปวง.

เมื่อพระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้นำโลก ทรง ประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัยการตรัสรู้ธรรม ครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ.

เมื่อทรงแสดงธรรมต่อๆ จากนั้น ในสมาคม ของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ.

สมัยเมื่อทรงข่มพวกเดียรถีย์แสดงธรรม ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 307

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ทรง มีสันนิบาต ประชุมพระขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน ผู้คงที่ ๓ ครั้ง.

คือครั้งที่ ๑ เป็นการประชุมพระขีณาสพจำนวน แสนโกฏิ ครั้งที่ ๒ จำนวนเก้าหมื่นโกฏิ ครั้งที่ ๓ จำนวนแปดหมื่นโกฏิ.

สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่า วิชิตาวี ครอบ ครองอิสราธิปัตย์เหนือปฐพี มีมหาสมุทรเป็นขอบเขต.

เราเลี้ยงพระขีณาสพจำนวนแสนโกฏิ ผู้ไร้มลทิน ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยพระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้เป็นนาถะเลิศแห่งโลก ให้อิ่มหนำสำราญด้วยอาหาร อันประณีต.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้นำโลกพระองค์นั้น ทรงพยากรณ์เราว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่หา ประมาณมิได้นับแต่กัปนี้.

ตถาคตจักออกอภิเนษกรมณ์จากกรุงกบิลพัศดุ์ที่ น่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา นั่ง ณ โคน อัชปาลนิโครธ รับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว จักเข้า ไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.

พระชินเจ้า เสวยข้าวมธุปายาส ณ ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา จักเดินตามทางที่เขาตกแต่งดีแล้วเข้าไปที่ โคนโพธิพฤกษ์.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 308

ต่อแต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ จักทำประทักษิณ โพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม จักตรัสรู้ที่โคนโพธิพฤกษ์ ชื่ออัสสัตถะ ต้นโพธิใบ.

พระชนนีของท่านผู้นี้ จักมีพระนามว่าพระนาง มายา พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ ท่านผู้ นี้จักมีพระนามว่า โคดม.

คู่พระอัครสาวก ชื่อว่าพระโกลิตะและพระอุป- ติสสะ เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้ง มั่น พุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า อานันทะ จักบำรุงพระชินะ เจ้าพระองค์นี้.

มีคู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระเขมาและพระอุบลวรรณา เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น.

ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกกันว่า อัสสัตถะ ต้นโพธิใบ.

มีอัครอุปัฎฐากชื่อ จิตตะ และหัตถอาฬวกะ มี อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อ นันทมาตา และอุตตรา.

พระชนมายุของพระโคดมผู้มีพระยศพระองค์นั้น ประมาณ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสของ พระผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่นี้แล้ว ก็ปราโมชปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 309

หมื่นโลกธาตุพร้อมทั้งเทวดา ก็พากันโห่ร้อง ปรบมือ หัวร่อร่า ประคองอัญชลีนมัสการกล่าวว่า

ฝ่ายพวกเราจักพลาดคำสั่งสอนของพระโลกนาถ พระองค์นี้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้า ของท่านผู้นี้.

มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ เฉพาะหน้า ก็ไปถือเอาท่าน้ำท่าหลัง ข้ามแม่น้ำ ฉันใด

พวกเราทุกคน ผิว่า จะผ่านพ้นพระชินเจ้าพระองค์นี้ไป ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้าของ ท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.

เราสดับพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยังจิตให้ เลื่อมใสยิ่งขึ้น เมื่อจะยังประโยชน์นั้นนั่นแลให้สำเร็จ จึงได้ถวายราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ แด่พระชินเจ้า ครั้น ถวายราชสมบัติอันยิ่งใหญ่แล้ว ก็บวชในสำนักของ พระองค์.

เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัย และนวังคสัตถุ- ศาสน์ทั้งหมดทำพระศาสนาของพระชินเจ้าให้งดงาม.

เราอยู่ในพระศาสนานั้น ไม่ประมาทในอิริยาบถ นั่ง ยืน และ เดิน ถึงฝั่งแห่งอภิญญาแล้ว ก็ไปสู่ พรหมโลก.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 310

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ มี พระนคร ชื่อว่า รัมมวดี พระชนกพระนามว่าพระเจ้า สุนันทะ พระชนนีพระนามว่า พระนางสุชาดา.

พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี ทรงมี ปราสาทอย่างยอดเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่า รุจิปราสาท สุรุจิปราสาท สุภปราสาท มีพระสนมนารีสามแสน นาง มีพระอัครมเหสี พระนามว่า รุจิเทวี มีพระ โอรสพระนามว่า วิชิตเสนะ.

ทรงเห็นนิมิตทั้ง ๔ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วย ยานคือรถทรง พระชินเจ้าทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือน เต็ม.

พระมหาวีระโกณฑัญญะ ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์ สองเท้าผู้สงบ อันพรหมอาราธนาแล้ว ทรงประกาศ พระธรรมจักรแก่เทพดาทั้งหลาย ณ มหาวัน.

ทรงมีคู่อัครสาวก ชื่อพระภัททะและพระสุภัททะ พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีพระ พุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า อนุรุทธะ.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้าผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีคู่ อัครสาวิกา ชื่อพระติสสาและพระอุปติสสา. พระโกณฑัญญูพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีต้นไม้เป็นที่ ตรัสรู้ ชื่อ สาลกัลยาณี [ต้นขานาง]

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 311

ทรงมีอัครอุปัฏฐาก ชื่อโสณะ และอุปโสณะ มี อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อ นันทา และสิริมา.

พระมหามุนีพระองค์นั้น ส่ง ๘๘ ศอก ทรงสง่า งามเหมือนดวงจันทร์ ประหนึ่งดวงอาทิตย์เที่ยงวัน.

ในยุคนั้น ทรงมีพระชนมายุแสนปี พระองค์ เมื่อทรงพระชนม์อยู่เพียงนั้น ก็ทรงยังหมู่ชนเป็นอัน มากให้ข้ามโอฆสงสาร.

แผ่นดินก็งดงามด้วยพระขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน เหมือนท้องนภากาศงามด้วยหมู่ดาว พระองค์ก็งดงาม เหมือนอย่างนั้น.

พระอรหันต์เหล่านั้น ทาประมาณมิได้ ไม่หวั่น ไหวด้วยโลกธรรม ยากที่จะมีผู้เข้าไปหา พระผู้มียศ ใหญ่เหล่านั้น แสดงอิทธิปาฏิหาริย์แล้วก็นิพพาน เหมือนสายฟ้าแลบ.

พระวรฤทธิ์ของพระชินเจ้าไม่มีอะไรเทียบได้ พระสมาธิอันญาณอบรมแล้ว ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่าโดยแน่แท้.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้ทรงพระสิริเสด็จดับ ขันธ์ปรินิพพาน ณ พระวิหารนันทารามพระเจดีย์ของ พระองค์ในพระวิหารนั้น สูง ๗ โยชน์.

จบวงศ์พระโกณฑัญญพุทธเจ้าที่ ๒

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 312

พรรณนาวงศ์พระโกณฑัญญพุทธเจ้าที่ ๒

ดังได้สดับมา เมื่อพระผู้มีพระเจ้าทีปังกรเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ศาสนาของพระองค์ดำรงอยู่แสนปี. เพราะอันตรธานแห่งพระสาวกทั้งหลาย ของพระพุทธะและอนุพุทธะแม้ศาสนาของพระองค์ก็อันตรธาน. ต่อมาภายหลัง ศาสนาของพระองค์ ล่วงไปอสงไขยหนึ่ง พระศาสดาพระนามว่าโกณฑัญญะ ก็อุบัติในกัปหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงบำเพ็ญบารมีมาสิบหก อสงไขยแสนกัป อบรมบ่มพระญาณแก่กล้าแล้ว ทรงดำรงอยู่ในอัตภาพเช่น เดียวกับอัตภาพเป็นพระเวสสันดร จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในสวรรค์ชั้น ดุสิต ดำรงอยู่ในดุสิตนั้น จนตลอดพระชนมายุ ประทานปฏิญาณแก่เทวดาทั้งหลาย จุติจากดุสิต ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุชาดาเทวี ในราชสกุลของ พระเจ้าสุนันทะ กรุงรัมมวดี. ในขณะที่พระองค์ทรงถือปฏิสนธิ ก็บังเกิด พระปาฏิหาริย์ ๓๒ ประการดังกล่าวไว้ในวงศ์ของพระทีปังกรพุทธเจ้า. พระองค์ มีเหล่าเทวดาถวายอารักขา ถ้วนทศมาสก็ประสูติจากพระครรภ์พระมารดา ทรง เป็นยอดของสรรพสัตว์ บ่ายพระพักตร์ทางทิศอุดร เสด็จย่างพระบาทได้ ๗ ก้าว ทรงแลดูทุกทิศ ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เรา เป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย ตั้งแต่บัดนี้ ไม่มีการเกิดอีก.

ต่อนั้น ในวันขนานพระนามของพระโพธิสัตว์นั้น พระประยูรญาติ ทั้งหลาย ก็ขนานพระนามว่า โกณฑัญญะ ความจริงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระโคตร เป็นโกณฑัญญโคตร. เขาว่า พระองค์มีปราสาท ๓ หลังน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ชื่อว่า รามะปราสาท สุรามะปราสาท๑ สุภะปราสาท. ทั้ง


๑. บาลีเป็น รุจิ สุรุจิ และสุภะปราสาท.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 313

๓ หลังนั้นมีสตรีฝ่ายนาฏกะ ผู้ชำนาญการฟ้อนรำ การขับร้องและการบรรเลง ประจำอยู่ถึงสามแสนนาง. พระองค์มีพระมเหสีพระนามว่า รุจิเทวี มีพระโอรส พระนามว่า วิชิตเสนะ ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี.

พระโพธิสัตว์นั้น ทรงเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายและนักบวช เสด็จ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยรถทรงเทียมม้า ทรงผนวชแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือน โกณฑัญญกุมารกำลังผนวชอยู่ คนสิบโกฏิก็บวชตามเสด็จโกณฑัญญ- กุมารนั้น อันคนเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ก็ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือน ณ ดิถีเพ็ญเดือนวิสาขะเสวยข้าวมธุปายาสรสอร่อยอย่างยิ่ง ซึ่งธิดาเศรษฐีชื่อว่า ยโสธรา ผู้มีเต้าถันอวบอิ่มเท่ากัน ณ บ้าน สุนันทคาม ถวายแล้ว ทรงยับยั้ง พักกลางวัน ณ ป่าต้นสาละ ที่ประดับด้วยผลใบอ่อนและหน่อ เวลาเย็น ทรงละหมู่แล้วทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่ สุนันทะอาชีวก ถวาย มาแล้ว ทรงทำ ประทักษิณต้นสาลกัลยาณี [ต้นขานาง] ๓ ครั้ง ทรงสำรวจดูทิศบูรพา ทรงทำ ต้นไม้ที่ตรัสรู้ไว้เบื้องพระปฤษฎางค์ ทรงปูลาดหญ้ากว้าง ๕๘ ศอก ทรงนั่ง ขัดสมาธิ อธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ทรงกำจัดกองกำลังของมาร ในราตรี ปฐมยาม ทรงชำระปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุ ในปัจฉิมยาม ทรงพิจารณาปัจจยาการ ทรงออกจากจตุตถฌานที่มีอานาปานสติ เป็นอารมณ์ ทรงหยั่งสำรวจในปัญจขันธ์ ก็ทรงเห็นลักษณะทั้งหลายด้วยปัญญา อันสม่ำเสมอ โดยอุทยัพพยญาณ ทรงเจริญวิปัสสนาจนถึงโคตรภูญาณ ทรงแทง ตลอดมรรคญาณ ๔ ผลญาณ ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ ญาณกำหนดกำเนิด ๔ ญาณ กำหนดคติ ๕ อสาธารณญาณ ๖ และพระพุทธคุณทั้งสิ้น ทรงมีความดำริบริบูรณ์ แล้ว ประทับนั่ง ณ โคนไม้ที่ตรัสรู้ ทรงเปล่งอุทานอย่างนี้ว่า

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 314

เราแสวงหาตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่ พบ จึงต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมาก ชาติความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนตัณหานายช่าง ผู้สร้างเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือน อีกไม่ได้ โครงสร้างเรือนของท่านเราหักหมดแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อออกแล้ว จิตของเราถึงธรรมเป็นที่ สิ้นตัณหาแล้ว.

คติแห่งไฟที่ลุกโพลง ที่ภาชนะสัมฤทธิ์ที่นาย ช่างตีด้วยพะเนินเหล็กกำจัดแล้วก็สงบเย็นลงโดยลำดับ ไม่มีใครรู้คติความไปของมันได้ ฉันใด. คติของพระขีณาสพผู้หลุดพ้นโดยชอบ ข้ามเครื่องผูกคือกามโอฆะ บรรลุสุขอันไม่หวั่นไหว ก็ไม่มีใครจะรู้คติของท่าน ได้ ฉันนั้น.

ทรงยับยั้งอยู่ด้วยสุขในผลสมาบัติ ณ โคนโพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ใน สัปดาห์ที่ ๘ ทรงอาศัยการอาราธนาของพรหม ทรงใคร่ครวญว่า เราจะแสดง ธรรมครั้งแรกแก่ใครเล่าหนอ ก็ได้ทรงเห็นภิกษุ ๑๐ โกฏิ ซึ่งบวชกับพระองค์ ว่า กุลบุตรพวกนี้สะสมกุศลมูลไว้ จึงบวชตามเรา ซึ่งกำลังบวช บำเพ็ญเพียร กับเรา บำรุงเรา เอาเถิด เราจะพึงแสดงธรรมแก่กุลบุตรพวกนี้ก่อนใครหมด ครั้นทรงใคร่ครวญอย่างนี้แล้ว ก็ทรงตรวจดูว่า ภิกษุเหล่านั้น บัดนี้อยู่ที่ไหน ก็ทรงเห็นว่าอยู่กันที่เทวะวัน กรุงอรุนธวดีระยะทาง ๑๘ โยชน์แต่ที่นี้ จึงทรง อันตรธานจากโคนโพธิพฤกษ์ไปปรากฏที่เทวะวันเหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขน ที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น.


๑. ขุ. อุ ๒๕/ข้อ ๑๗๘.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 315

สมัยนั้น ภิกษุสิบโกฏิเหล่านั้นอาศัยกรุงอรุนธวดีอยู่ที่เทวะวัน. ก็แล เห็นพระทศพลทรงพุทธดำเนินมาแต่ไกล พากันมีใจผ่องใสรับเสด็จ รับบาตร จีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปูลาดพุทธอาสน์ ทำความเคารพ ถวายบังคมพระผู้มี พระภาคเจ้า นั่งแวดล้อม ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. ณ ที่นั้นพระโกณฑัญญทศพล อันหมู่มุนีแวดล้อมแล้ว ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์อันรุ่งโรจน์ ประดุจท้าว สหัสนัยน์อันหมู่เทพชั้นไตรทศแวดล้อม ประดุจดวงรัชนีกรในฤดูสารทที่โคจร ณ พื้นนภากาศอันไร้มลทิน ประดุจดวงจันทร์เพ็ญ อันหมู่ดาวแวดล้อม. ครั้ง นั้น พระศาสดาตรัสพระธัมมจักกัปวัตตนสูตร มีปริวัฏ ๓ อาการ ๑๒ อัน ยอดเยี่ยม ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงซ่องเสพแล้ว แก่ภิกษุเหล่านั้น ทรง ยังเทวดาและมนุษย์แสนโกฏิ มีภิกษุสิบโกฏิเป็นประธานให้ดื่มอมฤตธรรม. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ภายหลังสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า พระนามว่าโกณฑัญญะผู้นำโลก ผู้มีพระเดชไม่มีที่สุด ผู้มีบริวารยศกำหนดไม่ได้ มีพระคุณประมาณมิได้ ยากที่ผู้ใดจะเข้าเฝ้า มีพระขันติอุปมาดังแผ่นธรณี มี พระศีลคุณอุปมาดังสาคร มีพระสมาธิอุปมาดังเขาเมรุ มีพระญาณอุปมาดังท้องนภากาศ.

พระพุทธเจ้า ทรงประกาศอินทรีย์ พละ โพช- ฌงค์และมรรคสัจ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทุกเมื่อ.

เมื่อพระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้นำโลกทรงประกาศ พระธรรมจักร อภิสมัยการตรัสรู้ธรรมครั้งแรกก็ได้มี แก่เทวดาและมนุษย์แสนโกฏิ.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 316

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทีปงฺกรสฺส อปเรน ความว่า ในสมัย ต่อจากสมัยของพระทีปังกรศาสดา. บทว่า โลณฺฑญฺโ นาม ได้แก่ เป็น พระนามาภิไธยที่ทรงได้รับโดยพระโคตรของพระองค์. บทว่า นายโก ได้แก่ เป็นผู้นำวิเศษ. บทว่า อนนฺตเตโช ได้แก่ มีพระเดชไม่มีที่สุด ด้วยเดช แห่งพระศีลคุณพระญาณและบุญ. เบื้องต่ำแต่อเวจี เบื้องบนถึงภวัคคพรหม เบื้องขวาง โลกธาตุอันไม่มีที่สุด ในระหว่างนี้ แม้บุคคลผู้หนึ่ง ชื่อว่าเป็นผู้ สามารถที่จะยืนมองพระพักตร์ของพระองค์ไม่มีเลย ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า อนนฺตเตโช. บทว่า อมิตยโส ได้แก่ มีบริวารยศไม่มีที่สุด. จริงอยู่ แสน ปีของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ตลอดจนถึงสมัยเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในระหว่างนี้ จำนวนภิกษุบริษัทกำหนดไม่ได้เลย. เพราะฉะนั้นจึงตรัสว่า อมิตยโส แม้ผู้มีเกียรติคุณที่กำหนดมิได้ ก็ตรัสว่า อมิตยโส. บทว่า อปฺปเมยฺโย ได้แก่ ผู้ประมาณมิได้ โดยปริมาณหมู่แห่งคุณ เหตุนั้นจึงชื่อว่า อปฺปเมยฺโย มีพระคุณหาประมาณมิได้ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า

พุทฺโธปิ พุทฺธสฺส ภเณยฺย วณฺณํ กปฺปมฺปิ เจ อญฺมภาสมาโน ขีเยถ กปฺโป จิรทีฆมนฺตเร วณฺโณ น ขีเยถ ตถาคตสฺส.

ถ้าแม้ว่าพระพุทธเจ้า พึงตรัสสรรเสริญพระคุณ ของพระพุทธเจ้า โดยไม่ตรัสเรื่องอื่นเลย แม้ตลอด ทั้งกัป. กัปที่มีในระหว่างกาลอันยาวนาน ก็จะพึงสิ้นไป แต่การสรรเสริญพระคุณของพระตถาคต ยังหาสิ้นไป ไม่.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 317

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงเรียกว่าอัปปเมยยะ เพราะทรงมีหมู่พระคุณ ประมาณมิได้. บทว่า ทูราสโท ได้แก่ เป็นผู้อันใครๆ เข้าเฝ้าได้ยาก อธิบายว่า ความเป็นผู้อันใครๆ ไม่อาจเบียดเสียดกันเข้าไปเฝ้า ชื่อว่าทุราสทะ คือเป็นผู้อันใครๆ ไม่มีอำนาจเทียบเคียงได้.

บทว่า ธรณูปโม ได้แก่ ผู้เสมอด้วยแผ่นธรณี. บทว่า ขมเนน ได้แก่ เพราะพระขันติ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ผู้อุปมาด้วยแผ่นธรณ เพราะไม่ทรงหวั่นไหวด้วยอิฐารมณ์และอนิฐารมณ์ มีลาภและไม่มีลาภ เป็นต้น เหมือนมหาปฐพีอันหนาถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์ ไม่ไหวด้วยลมปกติ ฉะนั้น. บทว่า สีเลน สาครูปโม ได้แก่ ทรงเสมอด้วยสาคร เพราะไม่ ทรงละเมิดขอบเขตด้วยศีลสังวร จริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทร ตั้งอยู่เป็นปกติ ไม่ล่วงขอบเขต ดังนี้.

บทว่า สมาธินา เมรูปโม ได้แก่ ทรงเป็นผู้เสมอคือเสมือน ด้วยขุนเขาเมรุ เพราะไม่มีความหวั่นไหวอันจะเกิดแต่ธรรมที่เป็นข้าศึกต่อ สมาธิ หรือว่ามีพระสรีระมั่นคง เหมือนขุนเขาเมรุ. ในบทว่า าเณน คคนูปโม นี้ ท่านทำอุปมาด้วยอากาศที่ไม่มีที่สุด เพราะพระญาณ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มีที่สุด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส อนันตะ ไม่มีที่สุด ไว้ ๔ อย่าง เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า

สตฺตกาโย จ อากาโส จกฺกวาฬา จนนฺตกา พุทฺธาณํ อปฺปเมยฺยํ น สกฺกา เอเต วิชานิตุํ. หมู่สัตว์ ๑ อากาศ ๑ จักรวาล ไม่มีที่สุด ๑

พระพุทธญาณ หาประมาณมิได้ ๑ ทั้ง ๔ นี้อันใครๆ ไม่อาจรู้ได้.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 318

เพราะฉะนั้น จึงทรงทำอุปมาญาณอันไม่มีที่สุด ด้วยอากาศที่ไม่มีที่สุดแล.

บทว่า อินฺทฺริยพลโพชฺฌงฺคมคฺคสจฺจปฺปกาสนํ ความว่า แม้ สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน แสะอิทธิบาท ก็เป็นอันทรงถือเอาด้วย ด้วยการถือเอา อินทรีย์ พละ โพชฌงค์และมรรคสัจเหล่านี้ เพราะฉะนั้น จึงทรงประกาศ แสดง ธรรมเป็นเครื่องประกาศโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ โดยสังเขป ๔ มีอินทรีย์เป็นต้น. บทว่า หิตาย แปลว่า เพื่อประโยชน์เกื้อกูล. บทว่า ธมฺมจกฺกํ ปวตฺเตนฺเต ได้แก่ เมื่อทรงให้เทศนาญาณเป็นไปอยู่.

ต่อจากนั้น ในมหามงคลสมาคม เทวดาในหมื่นจักรวาล เนรมิต อัตภาพอันละเอียด ประชุมกันในจักรวาลนี้นี่แล. เล่ากันว่าในมหามงคลสมาคม นั้น เทพบุตรองค์หนึ่ง ทูลถามมงคลปัญหา กะพระโกณฑัญญทศพล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสมงคลทั้งหลายโปรดเทพบุตรองค์นั้น. ในมหามงคลสมาคม นั้น เทวดาเก้าหมื่นโกฏิบรรลุพระอรหัต. จำนวนพระอริยบุคคลมีพระโสดาบัน เป็นต้นกำหนดไม่ได้เลย ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมนอกไป จากนั้น โปรดมนุษย์และเทวดาทั้งหลายในสมาคม อภิสมัยการตรัสรู้ธรรมครั้งที่ ๒ ก็ได้มีแก่เทวดาเก้าหมื่นโกฏิ.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตโต ปรมฺปิ ได้แก่ แม้ในส่วนอื่น อีก จากนั้น. บทว่า เทเสนฺเต ได้แก่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ธรรม. บทว่า นรมรูนํ ได้แก่ แก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย. ครั้งใด

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 319

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ย่ำยีมานะของเดียรถีย์ ทรงแสดง ธรรม ณ ภาคพื้นนภากาศ ครั้งนั้น มนุษย์และเทวดาแปดหมื่นโกฏิ บรรลุ พระอรหัต ผู้ที่ตั้งอยู่ในผล ๓ เกินที่จะนับได้ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ครั้งใด พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงย่ำยีพวก เดียรถีย์ จึงทรงแสดงธรรมโปรด ครั้งนั้น อภิสมัย การตรัสรู้ธรรมครั้งที่ ๓ จึงได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.

แก้อรรถ

พึงนำ ตทา ศัพท์ มาจึงจะเห็นความในคาถานั้นว่า ครั้งใด พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยจึงได้มีแก่สัตว์แปดหมื่น โกฏิ.

ได้ยินว่า พระโกณฑัญญศาสดา ตรัสรู้พระอภิสัมโพธิญาณแล้ว พรรษาแรก ทรงอาศัย กรุงจันทวดี ประทับอยู่ ณ พระวิหาร จันทาราม ในที่นั้น ภัททมาณพ บุตรของพราหมณ์มหาศาล ชื่อ สุจินธระ และ สุภัททมาณพ บุตรของ ยโสธรพราหมณ์ ฟังพระธรรมเทศนาเฉพาะ พระพักตร์ของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า มีใจเลื่อมใส ก็บวชในสำนักของพระองค์ พร้อมกับมาณพหมื่นหนึ่งแล้วบรรลุพระอรหัต.

ครั้งนั้น พระโกณฑัญญศาสดา อันภิกษุแสนโกฏิมีพระสุภัททเถระ เป็นประธานแวดล้อมแล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ณ เพ็ญเดือนเชษฐะ (เดือน ๗) นั้นเป็นการประชุมครั้งที่ ๑. ต่อจากนั้น เมื่อพระโอรสของพระโกณฑัญญศาสดา พระนามว่าวิชิตเสนะ ทรงบรรลุพระอรหัต พระผู้มี พระภาคเจ้า ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ณ ท่ามกลางภิกษุพันโกฏิมีพระวิชิตเสนะนั้นเป็นประธาน นั้นเป็นการประชุมครั้งที่ ๒. สมัยต่อมา พระทศพล

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 320

เสด็จจาริก ณ ชนบท ทรงยัง พระเจ้าอุเทน ซึ่งมีชนเก้าสิบโกฏิเป็นบริวาร ให้ทรงผนวชพร้อมด้วยบริษัท เมื่อพระเจ้าอุเทนนั้น ทรงบรรลุพระอรหัตแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า อันพระอรหันต์เก้าสิบโกฏิมีพระเจ้าอุเทนนั้นเป็นประธาน แวดล้อมแล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็นการประชุมครั้งที่ ๓ ด้วย เหตุนั้น จึงตรัสว่า

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีการประชุมภิกษุ ผู้เป็นพระขีณาสพ ไร้มลทิน ผู้มีจิตสงบผู้คงที่ ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ ประชุมภิกษุแสน โกฏิ ครั้งที่ ๒ ประชุมภิกษุพันโกฏิ ครั้งที่ ๓ ประชุมภิกษุเก้าสิบโกฏิ.

ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่า วิชิตาวี ประทับอยู่ ณ กรุงจันทวดี เล่ากันว่า พระองค์อันคน ชั้นดีเป็นอันมากแวดล้อมแล้ว ทรงปกครองแผ่นดิน อันเป็นที่อยู่แห่งน้ำและ ขุมทรัพย์ พร้อมทั้งขุนเขาสุเมรุและยุคันธร ทรงไว้ซึ่งรัตนะหาประมาณมิได้ โดยธรรม ไม่ใช้อาชญา ไม่ใช้ศัสตรา ครั้งนั้น พระโกณฑัญญพุทธเจ้า อัน พระขีณาสพแสนโกฏิแวดล้อมแล้ว เสด็จจาริก ณ ชนบท เสด็จถึงกรุงจันทวดี โดยลำดับ.

เล่ากันว่า พระเจ้าวิชิตาวี ทรงสดับข่าวว่า เขาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จถึงนครของเราแล้ว จึงออกไปรับเสด็จ จัดแจงสถานที่ประทับ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า นิมนต์เพื่อเสวยภัตตาหาร ณ วันรุ่งขึ้นพร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์. วันรุ่งขึ้น ก็ทรงให้เขาจัดภัตตาหารเป็นอย่างดีแล้ว ได้ถวายมหาทาน แก่ภิกษุสงฆ์นับได้แสนโกฏิ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. พระโพธิสัตว์ ทรง

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 321

ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้ว จบอนุโมทนา ทรงทูลขอว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ พระองค์เมื่อจะทรงทำการสงเคราะห์มหาชน ขอโปรดประทับอยู่ในนคร นี้นี่แหละตลอดไตรมาส ได้ทรงถวายอสทิสทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น ประธาน เป็นนิตย์ ตลอดไตรมาส.

ครั้งนั้น พระศาสดาทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์ว่าจักเป็นพระพุทธ- เจ้าพระนามว่า โคตมะ ในอนาคตกาล แล้วทรงแสดงธรรมแก่พระองค์ ท้าวเธอทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว ทรงมอบราชสมบัติ ออกทรง ผนวช ทรงเล่าเรียนพระไตรปิฎก ทำสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดแล้ว มีฌานไม่เสื่อม ก็บังเกิดในพรหมโลก ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่าวิชิตาวี เป็นใหญ่ เหนือปฐพี มีสมุทรสาครเป็นที่สุด.

เรายังพระขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน ผู้แสวงคุณอันยิ่ง ใหญ่แสนโกฏิ พร้อมด้วยพระผู้ทรงเป็นนาถะเลิศแห่ง โลก ให้อิ่มหนำด้วยข้าวนำอันประณีต.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้นำโลก แม้พระองค์ นั้น ก็ทรงพยากรณ์เราว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าผู้มีคุณ ที่ประมาณมิได้ในโลก ในกัปต่อจากกัปนี้.

พระตถาคต จักออกทรงผนวช จากกรุงกบิลพัสดุ์อันรื่นรมย์ ทรงกระทำความเพียร คือ กระทำ ทุกกรกิริยา.

พระตถาคต จักประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิ- โครธ รับมธุปายาส ณ ที่นั้น แล้วเสด็จไปสู่ฝั่งแห่ง แม่น้ำเนรัญชรา.

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 322

พระชินเจ้า พระองค์นั้น ครั้นเสวยมธุปายาส ที่ฝั่งเนรัญชรานั้นแล้ว ก็เสด็จไปที่ควงโพธิพฤกษ์ ตามเส้นทางที่มีผู้จัดแจงไว้.

ลำดับนั้น พระองค์ผู้ทรงพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณโพธิมณฑ์ อันประเสริฐสุด จักตรัสรู้ (พระสัมมาสัมโพธิญาณ) ณ ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์.

ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนีพุทธมารดา พระนามว่า มายา มีพระชนกพุทธบิดา พระนามว่า สุทโธทนะ ท่านผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ

จักมีอัครสาวก ชื่อว่า โกลิตะและอุปติสสะ ผู้ไม่มีอาสวะ ผู้ปราศจากราคะ ผู้มีจิตสงบและมั่นคง จักมีพุทธอุปัฏฐากชื่อ อานันทะ บำรุงพระชินะนั้น.

จักมีอัครสาวิกา ชื่อว่าเขมา และอุบลวรรณา ผู้ไม่มีอาสวะ ผู้ปราศจากราคะ ผู้มีจิตสงบและมั่นคง. ต้นไม้ที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเรียก ว่า อัสสัตถะ ต้นโพธิใบ.

จักมีอัครอุปัฏจาก ชื่อว่าจิตตะ และหัตถะและอาฬวกะ จักมีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นันทมาตา และอุตตรา พระชนมายุของพระโคตมะผู้มียศพระองค์นั้น ประมาณ ๑๐๐ ปี.

มนุษย์และเทวดาทั้งหลายฟังพระดำรัสของพระ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ไม่มีผู้เสมอนี้แล้ว ก็พากันปลื้มใจ ว่า ผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.

เทวดาในหมื่นโลกธาตุ พากันโห่ร้องปรบมือ หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 323

ผิว่า พวกเราพลาดคำสอน ของพระโลกนาถ พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้า ท่านผู้นี้.

มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำ ตรงหน้า ก็ถือท่าน้ำข้างหลังข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.

พวกเราทุกคน ผิว่า พ้นพระชินเจ้าพระองค์นี้ ไป ในอนาคตกาล ก็จักอยู่ต่อหน้าท่านผู้นี้ ฉันนั้น.

เราได้ฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยังจิตให้ เลื่อมใสยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อจะให้สำเร็จประโยชน์นั้น นั่น แล จึงถวายมหาราชสมบัติแด่พระชินเจ้า ครั้นถวาย มหาราชสมบัติแล้ว ก็บวชในสำนักของพระองค์.

เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัย นวังคสัตถุศาสน์ ทุกอย่าง ยังศาสนาของพระชินเจ้าให้งดงาม.

เราอยู่อย่างไม่ประมาท ในพระศาสนานั้น ใน อิริยาบถนั่งนอนและเดิน ก็ถึงฝั่งแห่งอภิญญาเข้าถึง พรหมโลก.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหํ เตน สมเยน ได้แก่ เราใน สมัยนั้น. บทว่า วิชิตาวี นาม ได้แก่ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีพระนาม อย่างนี้. ในบทว่า สมุทฺทํ อนฺตมนฺเตน นี้ ความว่า เราเป็นใหญ่ ตลอด ปฐพีที่ตั้งจักรวาลบรรพต ทำจักรวาลบรรพตเป็นเขตแดน ทำสมุทรสาครเป็น ที่สุด ความเป็นใหญ่มิใช่ปรากฏด้วยเหตุมีประมาณเพียงเท่านี้.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 324

เล่ากันว่า ด้วยอานุภาพแห่งจักรรัตนะ พระเจ้าจักรพรรดิ เสด็จไป ยังบุพวิเทหทวีป ซึ่งมีขนาดแปดพันโยชน์ ทางส่วนบนสมุทร มีเขาสิเนรุ อยู่เบื้องซ้าย ในที่นั้น พระเจ้าจักรพรรดิ จะประทานโอวาทว่า ไม่ควรฆ่า สัตว์มีชีวิต ไม่ควรถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้. ไม่ควรประพฤติผิดในกาม ทั้งหลาย ไม่ควรพูดเท็จ ไม่ควรดื่มน้ำเมา จงบริโภคของตามบริโภคได้. เมื่อประทานโอวาทอย่างนี้แล้ว จักรรัตนะนั้นก็เหาะสู่อากาศหยั่งลงสมุทรด้าน ทิศบูรพา หยั่งโดยประการใดๆ คลื่นที่หดตัวก็แตกกระจาย เมื่อเดินลงก็เดิน ลงสู่น้ำในมหาสมุทร ชั่วโยชน์เดียว ตั้งอยู่น่าดูอย่างยิ่ง เหมือนฝาแก้วไพฑูรย์ แก้วมณี ทั้งสองข้างภายในสมุทร โดยประการนั้นๆ จักรรัตนะนั้นไปตลอด ที่มีสาครด้านทิศบูรพาเป็นที่สุดอย่างนั้นก็หมุนกลับ เมื่อจักรรัตนะนั้นหมุน กลับ บริษัทนั้นก็อยู่ทางปลาย พระเจ้าจักรพรรดิอยู่ตรงกลาง ตัวจักรรัตนะ อยู่ท้าย จักรรัตนะแม้นั้น กระทบน้ำมีมณฑลดื่มเป็นที่สุดเท่านั้น เหมือนไม่ ยอมพรากชายน้ำ จึงเข้าสู่ริมฝั่ง.

พระเจ้าจักรพรรดิ ทรงชนะบุพวิเทหทวีป ซึ่งมีสมุทรด้านทิศบูรพา เป็นที่สุดอย่างนี้แล้ว มีพระราชประสงค์จะทรงชนะชมพูทวีป ซึ่งมีสมุทรด้าน ทิศทักษิณเป็นที่สุดจึงมุ่งพระพักตร์ไปทางทิศทักษิณ เสด็จไปตามทางที่จักร รัตนะแสดง จักรรัตนะนั้น ครั้นชนะชมพูทวีป ซึ่งมีขนาดหมื่นโยชน์แล้ว ก็ขึ้นจากสมุทรด้านทิศทักษิณ ก็ไปโดยนัยที่กล่าวแล้วแต่หนหลัง เพื่อชนะ อปรโคยานทวีป ซึ่งมีขนาดเจ็ดพันโยชน์ ครั้นชนะอปรโคยานทวีปนั้น ซึ่ง มีสาครเป็นที่สุดแล้ว ก็ขึ้นจากสมุทรด้านทิศปัจฉิมไปอย่างนั้นเหมือนกัน เพื่อ ชนะอุตตรกุรุทวีป ซึ่งมีขนาดแปดพันโยชน์ ก็ชนะอย่างนั้นเหมือนกัน ทำ อุตตรกุรุทวีปนั้น มีสมุทรเป็นที่สุด ก็ขึ้นแม้จากสมุทรด้านทิศอุดร. ความ เป็นใหญ่ เป็นอันพระเจ้าจักรพรรดิทรงประสบแล้วเหนือปฐพี ที่มีสาครเป็น ที่สุด ด้วยเหตุมีประมาณเพียงเท่านี้ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า เราเป็นใหญ่ เหนือปฐพีมีสมุทรเป็นที่สุด.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 325

บทว่า โกฏิสตสหสฺสานํ ได้แก่ แสนโกฏิ. หรือปาฐะก็อย่างนี้ เหมือนกัน. บทว่า วิมลานํ ได้แก่ พระขีณาสพทั้งหลาย. บทว่า สห โลกคฺคนาเถน ความว่า แสนโกฏิกับด้วยพระทศพล. บทว่า ปรมนฺเนน แปลว่า ด้วยข้าวอันประณีต. บทว่า ตปฺปหึ แปลว่า ให้อิ่มแล้ว. บทว่า อปริเมยฺยิโต กปฺเป ความว่า ล่วงไปสามอสงไขยกำไรแสนกัปนับตั้งแต่กัปนี้ คือในภัทรกัปนี้.

บทว่า ปธานํ แปลว่า ความเพียร. บทว่า ตเมว อตฺถํ สาเธนฺโต ความว่า บำเพ็ญประโยชน์คือทานบารมีอันทำความเป็นพระพุทธเจ้านั้นนั่นแล ให้สำเร็จ ให้เป็นผล. บทว่า มหารชฺชํ ได้แก่ ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. บทว่า ชิเน ได้แก่ ในพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือพึงเห็นสัตตมีวิภัตติลงใน อรรถจตุตถีวิภัตติ. บทว่า อทํ แปลว่า ได้ให้แล้ว. พึงเห็นการเชื่อม ความด้วยบทนี้ว่า เอวมตฺถํ สาเธนฺโต อาจารย์บางพวกสวดว่า มหารชฺชํ ชิเน ททึ ดังนี้ก็มี. บทว่า ททิตฺวาน ได้แก่ สละ. บทว่า สุตฺตนฺตํ ได้แก่ สุตันตปิฎก. บทว่า วินยํ ได้แก่ วินัยปิฎก. บทว่า นวฺงคํ ได้แก่ นวังสัตถุศาสน์มีสุตตะ เคยยะเป็นต้น. บทว่า โสภยึ ชินสาสนํ ได้แก่ ประดับพร้อมด้วยอาคมและอธิคมอันเป็นโลกิยะ. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น. บทว่า อปฺปมตฺโต ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยสติ. บทว่า พฺรหฺมโลกมคญฺฉหํ ตัดบทเป็น พฺรหฺมโลกํ อคญฺฉึ อหํ.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้าพระองค์นี้ มีพระนครชื่อว่า รัมมวดี พระชนกทรงพระนามว่า พระเจ้าสุนันทะ พระชนนีพระนามว่า พระนาง สุชาดาเทวี. คู่พระอัครสาวกคือ พระภัททะ และ พระสุภัททะ พระอุปัฏฐากชื่อว่า อนุรุทธะ คู่พระอัครสาวิกา คือ พระติสสา และ พระ สุอุปติสสา ต้นไม้ที่ตรัสรู้ คือต้น สาลกัลยาณี [ขานาง] พระสรีระสูง ๘๘

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 326

ศอก พระชนมายุประมาณแสนปี พระองค์มีพระมเหสีพระนามว่า รุจิเทวี มีพระโอรสพระนามว่า วิชิตเสนะ มีอุปัฏฐาก พระนามว่า เจ้าจันทะ ประทับอยู่ ณ พระวิหารจันทารามแล ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงคุณยิ่งใหญ่ มีพระนครชื่อว่ารัมมวดี มีพระชนกพระนามว่า พระ เจ้าสุนันทะ มีพระชนนีพระนามว่า พระนางสุชาดา. พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีคู่ พระอัครสาวก ชื่อว่า พระภัททะ และ พระสุภัททะ พุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระอนุรุทธะ.

พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีคู่ พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระติสสา และ พระอุปติสสา มีตัดต้นไม้ที่ตรัสรู้ ชื่อว่าต้นสาลกัลยาณี.

พระมหามุนีพระองค์นั้น สูง ๘๘ ศอก สง่างาม เหมือนดวงจันทร์ เหมือนดวงอาทิตย์เที่ยงวัน ฉะนั้น.

ในยุคนั้น ทรงมีพระชนมายุแสนปี พระองค์มี พระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น ก็ยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้าม โอฆสงสาร.

แผ่นเมทนี งดงาม ด้วยพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้ไร้มลทิน ก็เหมือนท้องนภากาศ งดงามด้วยเหล่า ดวงดาวทั้งหลาย พระโกณฑัญญพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก็ทรงงดงามอย่างนั้น.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 327

พระขีณาสพแม้เหล่านั้น หาประมาณมิได้ อัน โลกธรรมให้ไหวมิได้ ยากที่สัตว์จะเข้าไปหา พระผู้มี ยศใหญ่เหล่านั้น แสดงตัวเหมือนสายฟ้าแลบแล้วต่าง ก็ดับขันธ์ปรินิพพาน.

พระวรฤทธิ์ของพระชินเจ้า ที่ไม่มีผู้เทียบได้นั้น และพระสมาธิที่พระญาณอบรมแล้ว ทั้งนั้นก็อันตรธานไปหมดสั้น สังขารทุกอย่างก็ว่างเปล่าโดยแน่แท้.

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาลกลฺยาณิโก ได้แก่ ต้นสาลกัลยาณี ต้นสาลกัลยาณีนั้น เกิดในสมัยมีพระพุทธเจ้า และสมัยมีพระเจ้าจักรพรรดิ เท่านั้น ไม่เกิดในสมัยอื่น. เล่ากันว่า ต้นสาลกัลยาณีนั้น ผุดขึ้นวันเดียว เท่านั้น. บทว่า ขีณาสเวหิ วิมเลหิ วิจิตฺตา อาสิ เมทนี ความว่า แผ่นเมทนีนี้รุ่งเรืองด้วยผ้ากาสาวะ งดงามด้วยพระขีณาสพทั้งหลายน่าดูอย่างยิ่ง ศัพท์ว่า ยถา หิ เป็นนิบาตลงในอรรถอุปมา. บทว่า อุฬูภิ แปลว่า ด้วย ดวงดาวทั้งหลาย อธิบายว่าแผ่นเมทนีนี้ งดงามด้วยพระขีณาสพทั้งหลาย ชื่อ ว่าสง่างามเหมือนท้องนภากาศงดงามด้วยหมู่ดาวทั้งหลาย.

บทว่า อสุงฺโขพฺภา ได้แก่ ไม่กำเริบ ไม่วิกาด้วยโลกธรรม ๘ ประการ. บทว่า วิชฺชุปาตํว ทสฺเสตฺวา แปลว่า แสดงตัวเหมือนสายฟ้า แลบ. ปาฐะว่า วิชฺชุปฺปาตํ ว ดังนี้ก็มี. ความจริง ครั้งพระโกณฑัญญ- พุทธเจ้า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อปรินิพพานก็โลดขึ้นสู่อากาศชั่ว ๗ ต้นตาล รุ่งโรจน์

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 4 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 328

ไปรอบๆ เหมือนสายฟ้าแลบลอดหลืบเมฆสีน้ำเงินแก่ เข้าเตโชธาตุแล้วก็ ปรินิพพาน เหมือนไฟหมดเธอ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า แสดงตัวเหมือน สายฟ้าแลบ. บทว่า อตุลิยา แปลว่า ชั่งไม่ได้ ไม่มีผู้เสมือน. บทว่า าณปริภาวิโต แปลว่า อันญาณให้เจริญแล้ว คาถาที่เหลือ ง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยที่กล่าวมาแต่หนหลังแล.

พระโกณฑัญญสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพ- พาน ณ พระวิหารจันทาราม ที่น่ารื่นรมย์ เขาสร้าง พระเจดีย์สำหรับพระองค์ เจ็ดโยชน์.

พระธาตุทั้งหลาย ของพระศาสดาพระองค์นั้นไม่ กระจัดกระจาย คงดำรงอยู่เป็นแท่งเดียว เหมือนรูป ปฏิมาทอง.

มนุษย์ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ช่วยกันเอาหินอ่อนสีเหลืองก่อ แทนดิน ใช้น้ำมันและเนยแทนน้ำสร้างจนแล้วเสร็จแล.

จบ พรรณนาวงศ์พระโกณฑัญญพุทธเจ้า