พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๒. เรื่องอหิเปรต [๕๖]

 
บ้านธัมมะ
วันที่  25 ก.ค. 2564
หมายเลข  34839
อ่าน  369

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 232

๑๒. เรื่องอหิเปรต [๕๖]


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 41]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 232

๑๒. เรื่องอหิเปรต [๕๖]

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภอหิเปรตตนใดตนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ" เป็นต้น.

พระมหาโมคคัลลานเถระทำการยิ้ม

ความพิสดารว่า ในวันหนึ่ง ท่านพระลักขณเถระ ภายในชฎิลพันหนึ่ง และท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ลงจากภูเขาคิชฌกูฏด้วย คิดว่า เราจักเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ บรรดาพระเถระ ๒ รูป นั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะเห็นอหิเปรตตนหนึ่ง จึงได้กระทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ ลำดับนั้น พระลักขณเถระถามเหตุกะพระเถระนั้นว่า "ผู้มีอายุ เพราะเหตุไร ท่านจึงทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ" พระเถระตอบว่า "ผู้มีอายุ นี้ไม่ใช่กาลแล เพื่อวิสัชนาปัญหานี้ ท่านพึงถามผมในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด" เมื่อพระเถระทั้งสองนั้นเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งแล้ว พระลักขณเถระถามว่า "ท่านโมคคัลลานะผู้มีอายุ ท่านลงจากภูเขาคิชฌกูฏ ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ ผมถามถึงเหตุแห่งการยิ้มแย้ม ได้กล่าวว่า ท่านพึงถามผมในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า บัดนี้ ท่านจงบอกเหตุนั้นเถิด".

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 233

พระมหาโมคคัลลานะบอกเหตุแห่งการยิ้ม

พระเถระ กล่าวว่า "ผู้มีอายุ ผมเห็นอหิเปรตตนหนึ่ง จึงได้ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ อัตภาพของเปรตนั้นเห็นปานนี้ ศีรษะของมันเหมือนศีรษะมนุษย์ อัตภาพที่เหลือของมันเหมือนของงู นั่นชื่อ อหิเปรต โดยประมาณ ๒๕ โยชน์ เปลวไฟตั้งขึ้นจากศีรษะของมัน ลามไปจนถึงหาง ตั้งขึ้นจากหางถึงศีรษะ ตั้งขึ้นในท่ามกลาง ลามไปถึงข้างทั้งสอง ตั้งขึ้นแต่ข้างทั้งสอง รวมลงในท่ามกลาง" ได้ยินว่า อัตภาพของเปรตทั้งสองนั่นแล ประมาณ ๒๕ โยชน์ ของเปรตที่เหลือ ประมาณ ๓ คาวุต ของอหิเปรตนี้นั่นแล และของกากเปรต ประมาณ ๒๕ โยชน์ บรรดาเปรตทั้งสองนั้น อหิเปรต เป็นดังนี้ก่อน.

บุรพกรรมของกากเปรต

พระมหาโมคคัลลานะ เห็นแม้กากเปรต อันไฟไหม้อยู่ที่ยอดเขาคิชฌกูฏ เมื่อจะถามบุรพกรรมของเปรตนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า.

"ลิ้นของเจ้าประมาณ ๕ โยชน์ ศีรษะของเจ้าประมาณ ๙ โยชน์ กายของเจ้าสูงประมาณ ๒๕ โยชน์ เจ้าทำกรรมอะไรไว้ จึงถึงทุกข์เช่นนี้".

ครั้งนั้น เปรตเมื่อจะบอกแก่พระเถระนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า.

"พระโมคคัลลานะผู้เจริญ ข้าพเจ้ากลืนกินภัต ที่เขานำมาเพื่อสงฆ์ของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ตามปรารถนา".

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 234

ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป พวกภิกษุมากรูปเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต พวกมนุษย์เห็นพระเถระทั้งหลายแล้ว รักใคร่ นิมนต์ให้นั่งที่โรงฉัน ล้างเท้า ทาด้วยน้ำมัน ให้ดื่มข้าวยาคู ถวายของควรเคี้ยว รอคอยบิณฑบาตกาล นั่งฟังธรรมอยู่ ในกาลจบธรรมกถา พวกมนุษย์รับบาตรของพระเถระทั้งหลายแล้ว ให้เต็มด้วยโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ในเรือนของตนๆ แล้ว นำมา ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นกา จับอยู่ที่หลังคาแห่งโรงฉัน เห็นโภชนะนั้นแล้ว ได้คาบเอาคำข้าว ๓ คำเต็มปาก ๓ ครั้ง จากบาตรอันมนุษย์ผู้หนึ่งถือไว้ แต่ภัตนั้นยังหาเป็นของสงฆ์ไม่ มิใช่เป็นภัตที่เขากำหนดถวายแก่สงฆ์ เป็นภัตอันเหลือจากที่ภิกษุทั้งหลายฉัน อันพวกมนุษย์พึงนำไปสู่เรือนของตนบริโภคก็ไม่ใช่ เป็นเพียงภัตที่เขานำมาเฉพาะสงฆ์อย่างเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าคาบเอาคำข้าว ๓ คำจากบาตรนั้น กรรมเพียงเท่านี้ เป็นบุรพกรรมของข้าพเจ้า ข้าพเจ้านั้นทำกาละ แล้วไหม้ในอเวจีเพราะวิบากแห่งกรรมนั้น ในบัดนี้ เกิดเป็นกากเปรต เสวยทุกข์นี้ ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ด้วยผลกรรมที่เหลือในเพราะกรรมนั้น เรื่องกากเปรต มีเท่านี้.

แต่ในเรื่องนี้ พระเถระกล่าวว่า "ผมเห็นอหิเปรต จึงได้ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ" ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเป็นพยานของพระเถระนั้น ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะพูดจริง ก็เราเห็นเปรตนั่น ในวันบรรลุสัมโพธิญาณเหมือนกัน แต่เราไม่กล่าว เพราะเอ็นดูคนอื่นว่า ชนเหล่าใด ไม่เชื่อคำของเรา ความไม่เชื่อนั้น พึงเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเหล่านั้น"

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 235

ก็ในกาลที่พระมหาโมคคัลลานะเห็นแล้วนั่นแล พระศาสดาทรงเป็นพยานของท่าน ตรัสเรื่อง ๒๐ เรื่อง แม้ในลักขณสังยุต (๑) แล้ว แม้เรื่องนี้ พระเถระนั้นก็กล่าวไว้อย่างนั้น เหมือนกัน ภิกษุทั้งหลายฟังเรื่องนั้นแล้ว จึงทูลถามบุรพกรรมของเปรตนั้น แม้พระศาสดา ก็ตรัสแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า.

บุรพกรรมของอหิเปรต

ได้ยินว่า ในอดีตกาล พวกชนอาศัยกรุงพาราณสี สร้างบรรณศาลาไว้เพื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าใกล้ฝั่งแม่น้ำ พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น อยู่ในบรรณศาลานั้น ย่อมเที่ยวไปบิณฑบาตในเมืองเนืองนิตย์ แม้พวกชาวเมือง มีมือถือสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่ที่บำรุงของพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งเย็นทั้งเช้า บุรุษชาวกรุงพาราณสีคนหนึ่ง อาศัยหนทางนั้นไถนา มหาชนเมื่อไปสู่ที่บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ย่อมเหยียบย่ำนานั้นไป ทั้งเย็นทั้งเช้า ชาวนาแม้ห้ามอยู่ว่า "ขอพวกท่านอย่าเหยียบนาของข้าพเจ้า" ก็ไม่สามารถจะห้ามได้ ครั้งนั้น ชาวนานั้นได้มีความคิดอย่างนั้นว่า ถ้าบรรณศาลาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่พึงมีในที่นี้ไซร้ ชนทั้งหลายก็ไม่พึงเหยียบย่ำนาของเรา ในกาลที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปบิณฑบาต ชาวนานั้น ทุบภาชนะเครื่องใช้แล้วเผาบรรณศาลาเสีย พระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นบรรณศาลานั้นถูกไฟไหม้ จึงหลีกไปตามสบาย มหาชนถือของหอมและระเบียบดอกไม้มา เห็นบรรณศาลาถูกไฟไหม้ จึงกล่าวว่า "พระผู้เป็นเจ้าของ


(๑) สํ. นิ. ๑๖/๒๙๘.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 236

พวกเรา ไป ณ ที่ไหนหนอแล" แม้ชาวนานั้น ก็มากับด้วยมหาชนเหมือนกัน ยืนอยู่ในท่ามกลางแห่งมหาชน พูดอย่างนี้ว่า "ข้าพเจ้าเอง เผาบรรณศาลาของพระปัจเจกพุทธเจ้า" ครั้งนั้น ชนทั้งหลายพูดว่า "พวกท่านจงจับ พวกเราอาศัยบุรุษชั่วนี้ จึงไม่ได้เพื่อจะเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า" ดังนี้แล้ว ก็โบยชาวนานั้นด้วยเครื่องประหาร มีท่อนไม้เป็นต้น ให้ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว ชาวนานั้นเกิดในอเวจี ไหม้ในนรกตราบเท่าแผ่นดินนี้หนาขึ้นประมาณโยชน์หนึ่งแล้ว จึงเกิดเป็น อหิเปรตที่เขาคิชฌกูฏ ด้วยผลกรรมอันเหลือ.

พระศาสดาทรงเปรียบเทียบผลกรรม

พระศาสดา ครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของอหิเปรตนั้นแล้ว จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าบาปกรรมนั้น เป็นเช่นกับน้ำนม น้ำนมอันบุคคลกำลังรีดแล ย่อมไม่แปรไปฉันใด กรรมอันบุคคลกำลังกระทำเทียว ก็ยังไม่ทันให้ผลฉันนั้น แต่ในกาลใด กรรมให้ผล ในกาลนั้น ผู้กระทำย่อมประกอบด้วยทุกข์เห็นปานนั้น" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า.

๑๒. น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ สชฺชุขีรํว มุจฺจติ ฑหนฺติ พาลมเนฺวติ ภสฺมาจฺฉนฺโนว ปาวโก.

" ก็กรรมชั่วอันบุคคลทำแล้ว ยังไม่ให้ผล เหมือนน้ำนมที่รีดในขณะนั้น ยังไม่แปรไปฉะนั้น บาปกรรม ย่อมตามเผาคนพาล เหมือนไฟอันเถ้ากลบไว้ฉะนั้น".

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 237

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สชฺชุขีรํ ความว่า น้ำนมซึ่งไหลออกจากนมของแม่โคนมในขณะนั้นนั่นแล ยังอุ่น ย่อมไม่เปลี่ยน คือย่อมไม่แปรไป พระศาสดา ตรัสคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า "น้ำนมที่เขารีด ในขณะนั้น ย่อมไม่เปลี่ยน คือไม่แปร ได้แก่ ไม่ละปกติในขณะนั้น นั่นแล แต่ที่เขารีดใส่ไว้ในภาชนะใด ก็ย่อมไม่ละปกติตราบเท่าที่ยังไม่ได้ใส่ของเปรี้ยวมีเปรียงเป็นต้น ลงในภาชนะนั้น คือตราบเท่าที่ยังไม่ถึงภาชนะของเปรี้ยว มีภาชนะนมส้มเป็นต้น ย่อมละในภายหลัง ฉันใด แม้บาปกรรมที่บุคคลกำลังทำ ก็ย่อมไม่ให้ผลฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าบาปกรรมพึงให้ผล (ในขณะทำ) ใครๆ ไม่พึงอาจเพื่อทำบาปกรรมได้ ก็ขันธ์ทั้งหลายที่บังเกิดด้วยกุศล ยังทรงอยู่เพียงใด ขันธ์เหล่านั้น ย่อมรักษาบุคคลนั้นไว้ได้เพียงนั้น เมื่อขันธ์ทั้งหลายเกิดในอบาย เพราะความแตกแห่งขันธ์เหล่านั้น บาปกรรมย่อมให้ผล ก็เมื่อให้ผลชื่อว่า ย่อมตามเผาผลาญคนพาล".

ถามว่า. เหมือนอะไร.

แก้ว่า. เหมือนไฟอันเถ้ากลบไว้.

อธิบายว่า เหมือนอย่างว่า ถ่านไฟปราศจากเปลวไฟ อันเถ้ากลบไว้ แม้คนเหยียบแล้วก็ยังไม่ไหม้ก่อน เพราะเถ้ายังปิดไว้ แต่ยังเถ้าให้ร้อนแล้ว ย่อมไหม้ไปจนถึงมันสมอง ด้วยสามารถไหม้อวัยวะ มีหนังเป็นต้นฉันใด แม้บาปกรรมก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นบาปกรรมอันผู้ใดกระทำไว้ ย่อมตามเผาผู้นั้น ซึ่งเป็นพาล เกิดแล้วในอบาย

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 238

มีนรกเป็นต้น ในอัตภาพที่ ๒ หรือที่ ๓.

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

เรื่องอหิเปรต จบ.