ฟังธรรม สามารถเข้าใจ ละสักกายทิฏฐิ ได้ไหม

 
Kidza_eiei
วันที่  23 เม.ย. 2564
หมายเลข  34113
อ่าน  399

เมื่อฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมโดยเข้าใจถูกเสมอว่าเป็นแต่เพียงธรรม จนเข้าใจ จำได้ จะได้ผลเป็นอย่างไรคะ

1. เป็นเพียงเข้าใจในขั้นการฟัง

2. บรรลุธรรม ละ สังโยชน์

หากเป็นไปตาม กรณี 1 ต้องทำอย่างไรคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ค่อยๆ อ่านในประเด็นที่ถามในกระทู้ก่อนหน้านี้ ค่อยๆ เข้าใจ และ ค่อยๆ ฟังลิงก์ธรรมที่ส่งไปให้ ในเบื้องตน ในเรื่อง ธรรมคืออะไร เป็นต้น ซึ่งรวบรวมไว้แล้วก่อนหน้านี้ ค่อยๆ ฟัง อ่านไป คำตอบ มีอยู่ในกระทู้ ที่ถามไปก่อนหน้านี้ทั้งหมดครับ ในประเด็นที่ถามในข้อที่ 1 และ 2 ครับ ค่อยๆ กลับไปอ่านและฟังใหม่เป็นเบื้องตน ครับ ซึ่งอ่านทบทวนเข้าใจ ก็จะได้คำตอบในประเด็นที่ถามกระทู้ใหม่นี้เองครับ ทั้งประเด็นเบื้องต้น เรื่องการเข้าใจขั้นการฟัง การเข้าใจว่าเป็นเพียงธรรม ผลของการเข้าใจ เรื่องการปฏิบัติ และ การบรรลุธรรม

เชิญคลิกอ่าน ที่กระทู้ก่อนหน้านี้ครับ..

ปฏิบัติ คืออะไรคะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 23 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 23 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา กล่าวคือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมนั่นเอง ซึ่งจะต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังธรรมสะสมความเข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริง ย่อมเป็นประโยชน์ตั้งแต่ขั้นของการฟัง ว่า ธรรม มีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน กว่าจะเข้าใจจนสามารถละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ ก็ต้องมีความเข้าใจอย่างมั่นคง ซึ่งจะขาดรากฐานที่สำคัญคือ ฟังพระธรรม ไม่ได้เลย

การศึกษาธรรม เป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น จึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด โดยเริ่มต้นสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ในขณะนี้ ไม่ใช่การไปทำอะไรที่ผิดปกติด้วยความหวังความต้องการ ด้วยความที่อยากจะละความเป็นตัวตนเร็วๆ ซึ่งนั่น ก็เป็นไปด้วยอำนาจของโลภะ แล้ว ทางที่จะทำให้หลง นั้น มีมากทีเดียว จึงต้องมีความมั่นคงในหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา เพราะเมื่อไม่ขาดการฟังการศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้ว ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Kidza_eiei
วันที่ 23 เม.ย. 2564

"กว่าจะเข้าใจจนสามารถละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ ก็ต้องมีความเข้าใจอย่างมั่นคง ซึ่งจะขาดรากฐานที่สำคัญคือ ฟังพระธรรม ไม่ได้เลย"

เพราะเข้าใจผิดหรือเพราะไม่เข้าใจ จึงไม่สามารถละคลายการยึดถือใช่ไหมคะ

ฟังธรรมเรื่องเดียวกัน แต่เข้าใจต่างกัน จะทราบได้อย่างไร ใครผิด ใครถูกคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Kidza_eiei
วันที่ 23 เม.ย. 2564

เพราะคนที่พูดคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส แต่ไม่เข้าใจ ก็มี

เพราะไม่เข้าใจเลยว่า ยาก หรือเปล่า

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 23 เม.ย. 2564

เรียน ความคิดเห็นที่ 4 และ 5 ครับ

เพราะเข้าใจผิดหรือเพราะไม่เข้าใจ จึงไม่สามารถละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ มีแต่จะยึดถือหนาแน่นเพิ่มขึ้นไปอีก


ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ปัญญาเมื่อเกิดขึ้น ก็ทำกิจดังกล่าวนี้ ไม่ต้องมีใครตัดสิน เพราะปัญญา ทำกิจเข้าใจถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง แต่ถ้าเข้าใจผิด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ขณะนั้น เป็นอกุศล ซึ่งจะไม่ใช่ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกเลย

จะเห็นได้จริงๆ ว่า การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม จะต้องเคารพอย่างยิ่งในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อฟังแล้ว ก็ไตร่ตรองตามคำที่ได้ฟัง ไม่คิดเอง ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Kidza_eiei
วันที่ 23 เม.ย. 2564

จะแยกระหว่าง

1. เมื่อฟังแล้ว ก็ไตร่ตรองตามคำที่ได้ฟัง ไม่คิดเอง

2. ปัญญาเมื่อเกิดขึ้น ก็ทำกิจดังกล่าวนี้ ไม่ต้องมีใครตัดสิน เพราะปัญญา ทำกิจเข้าใจถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง

ถ้าคิดเอง เคารพพระธรรม เข้าใจถูกบ้าง ผิดบ้าง เห็นความจริงบ้าง เข้าใจว่าจริงบ้าง (เข้าใจผิด)

ไม่ต้องมีใครตัดสิน เพราะปัญญา ทำกิจเข้าใจถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง น่ามีหลัก มีพระธรรมคำสอนเป็นตัวตัดสินนะคะ ถ้าไม่ยึดหลัก ยึดพระธรรม ไม่ต้องมีใครตัดสิน มันจะได้เหรอคะ

ถ้าท่านอาจารย์เห็นว่าถูก ก็ถูกค่ะ

ขอบคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 24 เม.ย. 2564

เรียน ความคิดเห็นที่ 7 ครับ

ปัญญา ที่เข้าใจถูก ก็ต้องถูก ตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ที่สำคัญ ถ้าไม่มีพระธรรมคำสอนของพระองค์ จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า "ไม่ต้องมีใครมาตัดสิน" นั้น มุ่งอธิบายว่า ขณะนั้น ปัญญา ทำกิจของปัญญา ตรงตามความเป็นจริง แล้วปัญญา นั้น ก็ต้องมาจากการได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว นั่นเอง สำหรับ ปัญญา แล้ว ใครๆ ก็ไม่สามารถหลอกลวงได้ เพราะเป็นจริงอย่างนั้น ถ้าได้เข้าใจถูกต้องแล้ว ใครจะบอกว่า ผิด ย่อมไม่ได้ จากความคิดเห็น ไม่ได้ละทิ้งพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยแม้แต่น้อย ครับ

ก็ขอให้คุณ Kidza_eiei ได้ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ ไตร่ตรองในเหตุในผลไปทีละเล็กทีละน้อย นะครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 24 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 24 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก 

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ