สัมภเวสี หมายถึง

 
panaporn.a
วันที่  18 เม.ย. 2564
หมายเลข  34078
อ่าน  506

คำว่า "สัมภเวสี" ในความหมายที่ถูกต้อง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คืออย่างไร? ขอให้อธิบายพร้อมยกตัวอย่าง โดยละเอียดครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 18 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คำว่า สัมภเวสีตามความเป็นจริงแล้ว ใครก็ตาม ที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ได้ชื่อว่าเป็นสัมภเวสีทั้งหมด เพราะยังต้องเกิดอยู่ ดังนั้นพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เป็นสัมภเวสี ปุถุชน จนถึงพระอนาคามี เป็นสัมภเวสี เพราะยังต้องเกิด ยังแสวงหาที่เกิดอยู่ครับ

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 567

สัตว์เหล่าใด กำลังแสวงหาการเกิด สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า สัมภเวสี คำว่า สัมภเวสี นี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนผู้กำลังแสวงหาการเกิดต่อไป เพราะยังละสังโยชน์ในภพไม่ได้.

ดังนั้น สิ่งที่มีจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง คือ สภาพธรรมที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน เพราะมีสภาพธรรมเหล่านี้ จึงบัญญัติว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ เทวดา เปรต อสุรกาย เป็นสิ่งต่างๆ การได้เข้าใจความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะรู้ว่า สิ่งที่ควรรู้และสิ่งที่มีจริง คือ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ที่เป็น จิต เจตสิกและรูปที่กำลังเกิดดับ และเพราะความเกิดดับของสภาพธรรมอย่างรวดเร็ว จึงทำให้สำคัญว่ามีสัตว์ บุคคลจริงๆ

ประโยชน์สูงสุด คือ การไถ่ถอนความเห็นผิดว่า มีสัตว์ บุคคล เปรต อสุรกาย หรือผี เพราะมีแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก และรูปที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 18 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
mana.amo
วันที่ 18 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 18 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สัตว์โลกที่ยังมีกิเลส มี ตัณหา และ อวิชชา เป็นต้น ก็ยังต้องมีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป เป็นผู้เดินทางในสังสารวัฏฏ์ จากชาตินี้ไปสู่ชาติหน้า จากชาติหน้าก็ไปสู่ชาติต่อๆ ไปอีก ยังไม่พ้นไปจากความเป็นสัมภเวสีเลย ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เนื่องจากว่าเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เป็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง และในชาตินี้ เมื่อละจากโลกนี้ไป ก็ต้องเกิดในภพใหม่อีก ขึ้นอยู่กับว่ากรรมใดจะให้ผลนำเกิด กล่าวคือ ถ้ากรรมดีให้ผล ก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผลก็ทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ถึงแม้จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม ก็ยังต้องเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ เพราะบุคคลผู้ที่สิ้นสุดการเดินทางในสังสารวัฏฏ์แล้ว ไม่ต้องเกิดอีก มีเพียงประเภทเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันต์ ซึ่งเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง

การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น ไม่ยั่งยืนเลย สั้นมาก เกิดมาในแต่ภพแต่ละชาติ ต้องสิ้นสุดที่ความตายทั้งนั้น แต่เมื่อยังไม่ได้ดับเหตุที่ทำให้เกิด คือ กิเลส ก็ต้องเกิดอีกในชาติต่อไปอย่างแน่นอน สำหรับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยากแสนยาก เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยากแสนยากแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เป็นผู้ประพฤติธรรม ตั้งอยู่ในธรรมอันงาม เพราะภูมิมนุษย์ เป็นภูมิที่เอื้ออำนวยให้สามารถเจริญกุศลได้ทุกๆ ประการ ทั้งในเรื่องของการให้ทาน การรักษาศีล การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น การอ่อนน้อมถ่อมตน การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เป็นต้น และประการที่สำคัญที่สุด การที่ไม่จะประมาทจริงๆ คือ เห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม, ความเข้าใจพระธรรม จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต พึ่งได้ตั้งแต่ในเบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับ ซึ่งจะต้องไม่ขาดเหตุที่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Kalaya
วันที่ 18 เม.ย. 2564

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ