การบวชอุทิศให้บุพการี

 
vichit
วันที่  5 เม.ย. 2550
หมายเลข  3331
อ่าน  5,634
ไม่ทราบว่าเรื่องนี้มีในครั้งพุทธกาลหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างไรในเรื่องนี้บางคนอาจไม่อยากจะบวช แต่เป็นการฝืนทำตามประเพณีหรือความเชื่อ กรุณาช่วยแนะนำด้วยครับ

  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 6 เม.ย. 2550

ในสมัยครั้งพุทธกาลส่วนมากผู้ที่ออกบวชเป็นบรรพชิต เพราะท่านรู้จักตนเอง ตามความเป็นจริง เพราะท่านได้สะสมอุปนิสัยในการเห็นประโยชน์ของกุศล เห็นโทษของกิเลส เห็นโทษของการครองเรือน จึงออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ในเพศบรรพชิตท่านเหล่านั้นท่านแสวงหาความจริงเพื่อการหลุดพ้นจากวัฏฏะ คือท่านบวชเพื่อตัวท่านจะหลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์ ไม่ใช่บวชเพื่อผู้อื่น แต่การทำบุญเพื่ออุทิศให้แก่บุพการีสามารถทำได้หลายประเภทคือทั้งทาน ศีล ภาวนา ก็อุทิศได้จึงไม่จำเป็นต้องบวชก็ได้แต่บางท่านที่บวชเข้าไปแล้ว ถ้าไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย การบวชนั้นย่อมมีโทษต่อผู้บวช และไม่มีกุศลจะอุทิศให้แก่บุพการี การบวชนั้นก็ช่วยบุพการีไม่ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 6 เม.ย. 2550

การตอบแทนพระคุณท่าน มิใช่ด้วยการบวชแต่ให้ท่านเข้าใจพระรรม ชื่อว่าตอบแทนจริงๆ ครับ และควรเข้าใจจุดประสงค์ในการบวชที่ถูกต้องครับ ดังแสดงดังต่อไปนี้ ลองอ่านดูนะ เรื่องการตอบแทนพระคุณมารดา บิดาที่แท้จริง

บุคคล ๒ พวกที่กระทำตอบแทนไม่ได้ง่าย

พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒- หน้าที่ 357

เชิญคลิกอ่านที่นี่ >>> บุคคล ๒ พวก ที่กระทำตอบแทนไม่ได้ง่าย


เรื่องจุดประสงค์ของการบวชที่ถูกต้องพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔- หน้าที่ 73ข้อความบางตอนจาก รัฐปาลเถรคาถา

จริงอยู่ กามทั้งหลายวิจิตรด้วยรูปเป็นต้น คือมีรูปแปลกๆ โดยเป็นรูปสีเขียวเป็นต้น. กามทั้งหลายแสดงความชอบใจโดยประการนั้นๆ ด้วยรูปแปลกๆ นั้นอย่างนี้แล้ว ย่อมย่ำยีจิต คือไม่ให้ยินดีในการบรรพชาเพราะเหตุนั้น เราเห็นโทษในกามคุณทั้งหลาย โดยมีความยินดีน้อยมีทุกข์มากเป็นต้น เพราะฉะนั้น คือเพราะการเห็นโทษในกามคุณนั้น เราจึงบวช

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 6 เม.ย. 2550

ยุคนี้ไม่เหมาะที่จะบวชเพราะบวชแล้วอยู่ยาก ทำอะไรก็อาบัติง่ายมาก เช่น

พระพุทธเจ้าบัญญัติไม่ให้พระภิกษุรับเงินทอง ฯลฯ และในพระไตรปิฏกมีกล่าวไว้

ว่า ภิกษุในอนาคตบวชแล้วไม่ทำตามพระวินัย ตกนรกเป็นส่วนมาก การที่จะทด-

แทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยการเจริญกุศลทุกอย่าง บุญมี 10 อย่าง ตั้งแต่ ทานการ

ให้ การช่วยเหลือคนอื่น การฟังธรรม การอนุโมทนาเวลาเห็นคนอื่นทำความดี การ

อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ การให้ธรรมะ การอุทิศกุศลให้คนที่ล่วงลับไปแล้ว เหล่านี้เป็น

บุญเป็นกุศลจิตที่สามารถอุทิศให้ได้ แต่ถ้าบุพการียังมีชีวิต เราก็พาท่านไปทำบุญ

ทำทาน ฟังธรรมบ้าง เลี้ยงดูท่าน อยู่เป็นเพื่อนท่านเท่าที่มีโอกาส

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 6 เม.ย. 2550
ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มหา
วันที่ 13 เม.ย. 2550

ดูเหมือนหลายท่าน จะมองเรื่องการบวชเป็นเรื่องไม่ดี แต่ในสมัยพุทธกาลก็มี

บางคนที่ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา หรือ เพื่อที่จะทำที่สุดทุกข์แต่ประการใด เพียงแค่

ต้องการจะเรียนมนต์เท่านั้น แต่แล้วก็ได้เข้าใจธรรมะ ได้ดวงตาเห็นธรม แล้วบรรลุ

เป็นพระอรหันต์ ใครเลยจะสามารถรู้ได้เล่า ว่าผู้ที่บวชมาแล้วตามประเพณีในปัจจุบัน

เขาอาจจะไม่สึก แล้วก็ปฏิบัติธรรมเจริญสติปัฏฐานต่อไปในเพศบรรพชิตก็ได้ จริงๆ

แล้วมันเป็นเรื่องของอัธยาศัยและการสั่งสมมา ไม่ใช่ว่าการบวชมาไม่ดี แล้วเป็นอยู่

ยาก ที่บวชมาแล้วประพฤติไม่ดี อยู่ลำบาก มันเป็นเรื่องของบุคคลต่างหาก ไม่ใช่

เพราะการบวช

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Guest
วันที่ 13 เม.ย. 2550

การบวชเพื่อขัดเกลาอกุสลธรรมให้เบาบางลง


บวช เป็นภาษาบาลี มาจาก ป (ทั่ว) + วช (เว้น) ดังนั้นจึงแปลว่าเว้นทั่ว เว้นจากคิหิสัญโญชน์ เว้นจากกามทั้งปวง เว้นความประพฤติที่ไม่เหมาะสมตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ในพระวินัย ดังนั้น กุลบุตรผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตควรตั้งปุพพเจตนาเพื่อขัดเกลาอกุสลธรรมให้เบาบางลง และเจริญกุสลอันเป็นฝ่ายวิวัฏฏะ อันจะนำไปสู่อุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่สุด

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 13 เม.ย. 2550

บุคคลที่จะรู้จริตและอัธยาศัยของสัตว์อย่างแท้จริงอันประกอบด้วยพระญาณ

ต่างๆ คือ พระพุทธเจ้า พระองค์มิได้บังคับให้ใครบวชหรือไม่บวช แต่พระองค์ทรง

ทราบว่าใครควรบวช แม้ตอนแรกจุดประสงค์จะไม่ถูก แต่เขามีอุปนิสัยในเพศ

บรรพชิต ใครรู้ พระพุทธเจ้ารู้ ดังเช่นพระวังคีสะ เรียนมนต์ ทำนายกะโหลกคน

ตายว่า จะไปเกิดที่ไหน พระองค์ตรัสว่าถ้าต้องการเรียนมนต์กับเรา ก็ต้องบวช เพราะพระวังคีสะ มี

อุปนิสัย จนถึงพระอรหันต์ นั่นเอง ถามว่าใครรู้ ก็พระพุทธเจ้ารู้ ถามว่าทำไม

พระพุทธเจ้าไม่ให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีบวช ก็ท่านไม่ได้มีอุปนิสัย ที่จะละ

เพศฆราวาส และได้เป็นถึงพระอรหันต์ ดังนั้นการจะให้บุคคลใดบวชแม้เพื่อเรียน

มนต์ ก็ด้วยพระญาณของพระพุทธเจ้าที่ทรงรู้ว่าเขามีอุปนิสัย

แต่ปัจจุบันมิใช่ใครอยากบวชก็บวช โดยไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงในการ

บวช และความเข้าใจพระธรรม ถ้าอัธยาศัยเป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร และคำว่า มี

อัธยาศัยอย่างนั้น คำว่าอัธยาศัย คือ ไม่ยินดีในการครองเรือน และวัตถุกาม ไม่มี

ใครบังคับแต่ต้องรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง

เรื่อง เมื่อฟังธรรมจนเข้าใจแล้วจึงบวช

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 6

เชิญคลิกอ่านที่นี่ >>> เมื่อฟังธรรมจนเข้าใจแล้วจึงบวช [ฆฏิการสูตร]

ฆฏิการช่างหม้อ เป็นพระอนาคามี ทำไมไม่บวช

โชติปาล ฟังธรรมจนเข้าใจจึงบวช

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Guest
วันที่ 13 เม.ย. 2550

จุดประสงค์ของการบวชที่ถูกต้อง

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔- หน้าที่ 73

ข้อความบางตอนจาก รัฐปาลเถรคาถา

จริงอยู่ กามทั้งหลายวิจิตรด้วยรูป เป็นต้น คือ มีรูปแปลกๆ โดย

เป็นรูปสีเขียวเป็นต้น. กามทั้งหลายแสดงความชอบใจโดยประการนั้นๆ

ด้วยรูปแปลกๆ นั้นอย่างนี้แล้ว ย่อมย่ำยีจิต คือ ไม่ให้ยินดีในการบรรพชา

เพราะเหตุนั้น เราเห็นโทษในกามคุณทั้งหลาย โดยมีความยินดีน้อยมีทุกข์

มากเป็นต้น เพราะฉะนั้น คือ เพราะการเห็นโทษในกามคุณนั้น เราจึงบวช

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Guest
วันที่ 13 เม.ย. 2550

ผู้ศึกษาธรรมควรรู้ ..จุดประสงค์ของการบวชเป็นบรรพชิต

ในพระไตรปิฎกมีข้อความว่า ผู้ที่บวชเป็นบรรพชิตนั้นเพราะเห็นว่าชีวิตของฆราวาสคับแคบ ไม่ สามารถเจริญกุศลได้เต็มที่ตลอดเวลาชีวิตบรรพชิต ไม่มีกิจธุระที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง หรือวิตกกังวลมากอย่างชีวิตฆราวาสบรรพชิตนั้นตั้งแต่เช้าก็มีแต่เรื่องของกุศลจิต มีการสวดมนต์ระลึกถึงพระพุทธคุณการออกบิณฑบาตร ซึ่งเป็นการเจริญกุศลทั้งผู้ให้และผู้รับ

มีการศึกษาธรรม สนทนาธรรม ปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นชีวิตที่บำเพ็ญประโยชน์ตั้งแต่ตื่นจนหลับ เป็นชีวิตที่ประเสริฐ ฉะนั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงของการบรรพชา อุปสมบทนั้นก็เพื่ออบรมเจริญกุศลยิ่งขึ้น จนกระทั่ง ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์แต่ถ้าบรรพชาอุปสมบทแล้วไม่ได้ประพฤติธรรม ไม่ได้ขัดเกลากิเลสเมื่อสึกออกมาแล้วก็อาจจะเป็นบุคคล ที่ประพฤติไม่ดีแต่สำหรับผู้ที่บวชและได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลแล้วนั้นจะไม่สึกเลยเพราะการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้นั้น ต้องอบรมเจริญปัญญานานมากไม่ใช่เพียงหนึ่งชาติ แสนชาติดังนั้น เมื่ออบรมเจริญปัญญาในสภาพฐานะของ บรรพชิตจนได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมในเพศบรรพชิตแล้วจะไม่หวนกลับมาสู่การเป็นคฤหัสถ์อีกเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
devout
วันที่ 15 เม.ย. 2550

การบวชเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา เพราะกระทำได้ยาก ต้องเป็นอัธยาศัยใหญ่

จริงๆ คือ ผู้นั้นต้องยินดีพอใจในการบวช จึงจะเป็นกุศล การบวชไม่ได้ขึ้นกับยุค

สมัย แต่เป็นอัธยาศัยของผู้นั้นจริงๆ ที่ต้องการจะขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต

ขออนุโมทนาความเห็นของท่าน มหา ที่ว่า "จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของ

อัธยาศัยและการสั่งสมมา ไม่ใช่ว่าการบวชไม่ดี แล้วเป็นอยู่ยาก ที่บวชมาแล้ว

ประพฤติไม่ดี อยู่ลำบากมันเป็นเรื่องของบุคคลต่างหาก ไม่ใช่เพราะการบวช "

การบวชเป็นชีวิตที่ประเสริฐ แต่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ไม่ได้จำกัดว่า

ต้องเป็นเพศคฤหัสถ์หรือบรรพชิต จึงขึ้นอยู่กับการสั่งสมของแต่ละบุคคลจริงๆ

ขออนุโมทนา ท่านที่มีความยินดีพอใจในการบวช

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
คนรักหนัง
วันที่ 15 เม.ย. 2550

ตามพระวินัย ผู้บวชใหม่ต้องถือนิสสัยอยู่กับพระอุปปัชฌาย์ 5 ปี พระอุป

ปัชฌาย์ต้องมีความรู้พระธรรมวินัย สามารถแนะนำ สั่งสอนพระบวชใหม่ ได้ ทั้ง

คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ (กิจของพระมีเพียง 2 อย่างนี้เท่านั้น)

พระอุปปัชฌาย์ต้องดูแล พระบวชใหม่ผู้นั้นอย่างดี เหมือนพ่อดูแลลูก ถ้า

ถึง 5 ปี แล้วความประพฤติปฏิบัติของพระบวชใหม่นั้นยังไม่ถูกต้อง ก็ต้องถือนิสสัย

อยู่กับพระอุปปัชฌาย์ต่อไป ไม่มีกำหนด

ดังนั้น การที่จะมากำหนดว่า จะบวชเท่านั้นวัน เท่านี้ปี ไม่มีหรอกครับ

ในคำสอนของพระผู้มีพระภาค แต่ปีนี้ก็เป็นปีพุทธศักราช 2550 แล้ว อีกไม่นาน

ก็จะเห็นพระภิกษุมีเพียงผ้ากาสาวะพันคอหรือห้อยที่ติ่งหูเท่านั้น และพ.ศ. 5000

พระพุทธศาสนาก็จะสูญจากโลกนี้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
มหา
วันที่ 17 เม.ย. 2550

พ.ศ.5000 ไม่ใช่พระพุทธศาสนาสูญจากโลกนะ

แต่ที่หมดไปจากโลกคือพระอริยบุคคลชั้นเบื้องต้น คือพระโสดาบันต่างหาก

แต่ว่าเพศแห่งภิกษุยังคงอยู่ต่อไปไม่มีกำหนด

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 17 เม.ย. 2550

ตัวชี้วัดว่าศาสนาจะอันตรธาน คือ ปริยัติ ถ้าขาดปริยัติ พระพุทธศาสนาก็ชื่อว่าอันตรธานเช่นกัน ส่วน เพศ ก็มีกำหนด อันตรธาน เช่นกัน มิใช่ อยู่ต่อไปไม่มีกำหนดเมื่อใด ภิกษุทุศีลไม่เห็นสาระ จึงทิ้งท่อนผ้า ชื่อว่า เพศอันตรธาน จึงมีกำหนดครับสำหรับเพศ และเพศ มิใช่ เครื่องวัดว่า ศาสนาจะอันตรธาน ปริยัติครับเป็นตัวชี้วัดศาสนาอันตรธาน ขอยกข้อความที่ เพศมีกำหนดอันตรธาน และ ปริยัติ อันตรธาน ชื่อว่าศาสนาอันตรธานครับ ลองอ่านดูนะ

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 171 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาข้อนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จักมีโคตรภูบุคคลผู้มีผ้ากาสายพันคอ เป็นผู้ทุศีล เป็นผู้มีธรรมอันลามก ชนทั้งหลายให้ทาน ในคนผู้ทุศีล ผู้มีธรรมอันลามกเหล่านั้น อุทิศสงฆ์ อานนท์ในกาลนั้น เรากล่าวว่า

ทักษิณาไปแล้วในสงฆ์ มีผลนับไม่ได้ประมาณไม่ได้. แต่นั้น

เมื่อกาลล่วงไปๆ ชนเหล่านั้นคิดว่า นี้ชื่อว่าเป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้า

พวกเราจะต้องการอะไร ด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้านี้ จึงทิ้งท่อนผ้าโยนไปเสียในงา. ในกาลนั้น เพศชื่อว่าหายไป.ได้ยินว่า การห่มผ้าขาวเที่ยวไปเป็นจารีตของคนเหล่านั้น มาแต่ครั้งพระกัสสปทศพลดังว่านี้ ชื่อว่า การอันตรธานไปแห่งเพศ.

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 172 การอันตรธานแห่งปริยัตินั่นแล เป็นมูลแห่งอันตรธาน ๕ อย่างนี้ ชื่อ

ว่า อันตรธานมี ๕ อย่าง คือ อธิคมอันตรธาน อันตรธานเห่งการบรรลุ ๑ปฏิปัตติอันตรธานอันตรธานแห่งการปฏิบัติ ๑ ปริยัตติอันตรธาน อันตรธานแห่งปริยัติ ๑ ลิงคอันตรธาน อันตรธานแห่งเพศ ๑ ธาตุอันตรธาน อันตรธานแห่งธาตุ ๑.


พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 175 เมื่อปริยัติ ยังทรงอยู่ พระศาสนา ก็ชื่อว่ายังไม่อันตรธานไป ฉันนั้น เหมือนกันแล. จบ อรรถกถาวรรคที่ ๑๐

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
มหา
วันที่ 18 เม.ย. 2550

เพศแห่งบรรพชิตอันตรธานแน่ แต่ที่บอกว่าอยู่ต่อไปไม่มีกำหนดนั้น ไม่ใช่ว่า

จะอยู่ตลอดจนถึงแสนๆ กัปป์ หมายความว่าท่านไม่ได้ระบุแน่นอนว่ากี่พันปีกันแน่

เพศแห่งบรรพชิตถึงจะอันตรธานไป ระบุเพียงแต่ว่าพระอริยบุคคลยุคสุดท้ายเท่านั้น

ถ้าหากว่ามีข้อความในพระไตรปิฎก กล่าวว่า กี่พันปีเพศแห่งบรรพชิตหรือภิกษุ

อันตรธานแน่นอน โปรดระบุมาด้วยถึงจะเกิน พ.ศ. 5000 เพศแห่งภิกษุก็ยังมีอยู่

แต่ระบุไม่ได้ว่ากี่พันปีเท่านั้น ถึงจะหมดสิ้น นี่คือความหมายส่วนปริยัติก็ยังคงพอมี

อยู่ แต่ที่หมดแน่คือ ไม่มีผู้บรรลุมรรค ผล แล้ว

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
study
วันที่ 18 เม.ย. 2550

ขอเรียนความเข้าใจตามอรรถกถาทั้งหลายที่กล่าวถึงอายุของพระศาสนา คือ พระธรรมคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้ จะดำรงอยู่ ประมาณ๕,๐๐๐ ปี เท่านั้น ข้อความนี้ควรจะหมายถึงว่า ทั้งปริยัติสัทธรรม ปฏิบัติสัทธรรมปฏิเวธสัทธรรม รวมถึงผู้ที่ปฏิญญาว่าเป็นว่าเป็นพระภิกษุในศาสนาพุทธด้วย เท่ากับว่าเมื่อสิ้นพระศาสนาแล้วไม่มีใครรู้จักคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้ว จริงอยู่ในยุคนั้นอาจมีผู้ที่เรียกกันว่านักบวช แต่ไม่มีการประพฤติอย่างนักบวช เหมือนโคตรภูภิกษุเป็นภิกษุเพียงชื่อเท่านั้น แต่ความเป็นพระภิกษุหามีไม่

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 59

[พระพุทธศาสนาอาจตั้งอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี]

ก็ในเวลาจบการร้อยกรองพระพุทธพจน์นั้น มหาปฐพีเหมือนเกิดความปราโมทย์ให้สาธุการอยู่ว่า พระมหากัสสปเถระ ทำพระศาสนาของพระทศพลนี้ให้สามารถเป็นไปได้ตลอดกาลประมาณ ๕,๐๐๐ พระวรรษา ดังนี้ก็หวั่นไหวเอนเอียง สะเทือนสะท้านเป็นอเนกประการ จนถึงน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด และอัศจรรย์ทั้งหลายเป็นอันมากก็ได้ปรากฏมีแล้ว ด้วยประการฉะนี้. สังคีติใดในโลก ท่านเรียกว่า ปัญจสตาสังคีติ เพราะ พระธรรมสังคาหกเถระ ๕๐๐ รูปทำ, และ เรียกว่า เถริกาสังคีติ เพราะพระเถระ ทั้งหลายนั่นแลทำแล้ว สังคีตินี้ ชื่อปฐมมหาสังคีติ ด้วยประการฉะนี้.

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 18 เม.ย. 2550

เรื่อง เพศ ดำรงอยู่ได้ ห้าพันปี เท่านั้น เพราะปริยัติอันตรธาน เพศก็แปรเปลี่ยนไปมิใช่ภิกษุ และกำหนดอายุ เพศ 5000 ปี ก็อันตรธาน เพราะอันตรธานแห่งปริยัติเป็นเหตุ ปริยัติก็อันตรธาน 5000 ปี ครับ

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 554

ข้อความบางตอนจาก อรรถกถาโคตมีสูตร

ก็คำว่า วสฺสสหสฺส นี้ ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี ๑,๐๐๐ โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบันปฏิเวธสัทธรรมถูกดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี โดยอาการดังกล่าวมานี้แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน. เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้วเพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.

เรื่อง เมื่อ ปริยัติ อันตรธาน เพศก็อันตรธานด้วย

ดังนั้น เพศจึงดำรงได้ 5000 ปีเท่านั้น ตามปริยัติที่อันตรธาน พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 172

การอันตรธานแห่งปริยัตินั่นแล เป็นมูลแห่งอันตรธาน ๕ อย่างนี้ ชื่อว่า อันตรธานมี ๕ อย่าง คือ อธิคมอันตรธาน อันตรธานเห่งการบรรลุ ๑ ปฏิปัตติอันตรธานอันตรธานแห่งการปฏิบัติ ๑ ปริยัตติอันตรธาน อันตรธานแห่งปริยัติ ๑ ลิงคอันตรธาน อันตรธานแห่งเพศ ๑ ธาตุอันตรธาน อันตรธานแห่งธาตุ ๑.

เรื่อง เพศเปลี่ยนไป ชื่อว่าดำรงศาสนาไม่ได้ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 250 ข้อความบางตอนจาก สัมปสาทนียสูตรแต่วงศ์ของสมณะผู้นุ่งผ้าขาว ไม่สามารถจะดำรงศาสนาไว้ได้ตั้งแต่กาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามกว่ากัสสปะ.
เรื่อง เพศเปลี่ยนไป เช่น นุ่งผ้าขาว ก็ไม่ใช่ภิกษุ

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 171

แต่นั้นเมื่อกาลล่วงไปๆ ชนเหล่านั้นคิดว่า นี้ชื่อว่าเป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้า

พวกเราจะต้องการอะไร ด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้านี้ จึงทิ้งท่อนผ้าโยน

ไปเสียในงา. ในกาลนั้น เพศชื่อว่าหายไป. ได้ยินว่า การห่มผ้าขาวเที่ยว

ไปเป็นจารีตของคนเหล่านั้น มาแต่ครั้งพระกัสสปทศพล ดังว่านี้ ชื่อว่า

การอันตรธานไปแห่งเพศ.

เมื่อเป็นดังข้อความที่พระไตรปิฎกกล่าวมาทั้งหมด เมื่ออ่านแล้ว แสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนา จะดำรงอยู่เพียง 5000 ปี เท่านั้น เพราะ ปริยัติ อันตรธาน 5,000 ปีเมื่อปริยัติอันตรธาน อีก 4 ก็อันตรธาน รวมทั้งเพศด้วย ดังข้อความในพระไตรปิฎกครับอนุโมทนา

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
citta89121
วันที่ 18 เม.ย. 2550

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
คนรักหนัง
วันที่ 19 เม.ย. 2550

อนุโมทนา กับคุณแล้วเจอกัน และคุณstudy ด้วยนะครับ ที่ยกข้อความจาก

พระไตรปิฎกมา ก็สรุปได้แล้ว ว่า พระพุทธศาสนา จะดำรงอยู่เพียง 5000 ปีเท่านั้น

ซึ่งหมายถึงเฉพาะในภูมิมนุษย์นี้เท่านั้น แต่สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น - รูปพรหม 16 ชั้น - อรูปพรหม 4 ชั้น ยังคงมีพุทธศาสนาอยู่ เนื่องจากมีพระอริยบุคคลอยู่ทุกชั้น โดยเฉพาะรูปพรหมชั้นสุทธาวาสบางองค์ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าถึง 7 พระองค์

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
ปังคุง
วันที่ 19 เม.ย. 2550

ก่อนหน้าที่จะได้ศึกษาพระธรรม อย่างละเอียด ผมก็เคยบวช ตามประเพณี

เพราะมีความเชื่ออย่างที่คนทั่วไปเข้าใจคือเป็นบุญใหญ่ แต่ไม่ได้เข้าใจจุดประสงค์

ของการบวชเลย จากการศึกษาก็พอจะทราบว่าผู้ที่ต้องการบวชเพราะเห็นโทษของ

กาม คือการติดข้องใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งเป็นการประพฤติที่ประสงค์ที่จะ

ขัดเกลาตนเองอย่างยิ่ง จึงสละทุกอย่างทั้งอาคารบ้านเรือนและวงศาคณาญาติทั้ง

หลาย

เมื่อได้เห็นพระภิกษุในสถานที่ใดจึงมักจะมีความเลื่อมใส ให้ความเคารพแก่

ท่านเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ทั้งนี้เพราะเริ่มมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าท่านประพฤติ

ในสิ่งที่ประพฤติได้ยาก ยิ่งในสมัยปัจจุบันการที่จะดำรงตนในเพศบรรพชิตที่ถูกต้อง

ตามพระธรรมวินัยยิ่งยากมาก เพราะโยมทั้งหลาย ไม่มีความเข้าใจในกิจของท่าน

ก็เป็นเหตุ ให้ท่านทำผิดพระวินัยมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าโทษที่ท่านจะได้รับย่อมหนัก

ตามด้วย หากมีความเข้าใจพระธรรมคำสอนจริงๆ แล้ว ตัวผู้นั้นเองจะทราบอุปนิสัย

ของตนเองว่า จริงๆ แล้วเราต้องการที่จะออกจากกามหรือยังพอใจอยู่กันแน่ หรือ

ว่าบางทีเพียงเพราะได้ยินว่าการบวชจะทำให้สามารถที่จะบรรลุธรรมได้เร็วขึ้น ก็

อยากจะบรรลุธรรมจึงบวชก็มี แต่ความจริงการที่จะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมนั้นไม่ได้

เพราะมีความอยากเป็นเหตุแต่เพราะความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ขั้นการฟังต่างหาก

ดังนั้นหากเริ่มต้นก็ผิด แล้วหนทางที่จะเดินไปโดยถูกต้องจะมีได้อย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
คนรักหนัง
วันที่ 19 เม.ย. 2550

ขอชี้แจงเรื่องพระอนาคามี และพระอรหันต์ที่เป็นรูปพรหมชั้นสุทธาวาส ที่เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ 7 พระองค์ มิใช่หมายความว่า มีพระพุทธเจ้าให้เข้าเฝ้าพร้อมกันได้ 7 พระ-องค์ แต่เป็นเพราะท่านมีอายุยืนยาวมาก แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า จะปรินิพพานไปแล้ว7 พระองค์ ตัวท่านเองก็ยังไม่ปรินิพพาน

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
มหา
วันที่ 19 เม.ย. 2550

ข้อความโดยตรง จากจตุตถสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัย จุลลวรรค วรรณนา (ภิกขุนิกขันธก วรรณนา ว่าด้วยครุธรรม ๘)

...เชิญคลิกอ่าน...

ความสิ้นไปแห่งพระปริยัติธรรม [จุลลวรรค]

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 20 เม.ย. 2550



อนุโมทนาท่าน มหา ครับ ที่ช่วยเพิ่มเติมความละเอียดซึ่งจะได้ตรวจสอบความละเอียดในเรื่องนี้กันต่อไป โดยผู้รู้และวิทยากรของมูลนิธิฯ อนุโมทนาครับขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
reflect
วันที่ 21 เม.ย. 2550

ขออนุโมทนา

พุทธบริษัทควรเกื้อกูลกันและกันด้วยธรรม มิใช่ข่มกันและกันด้วยความรู้ความเข้าใจของตน

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
suntarara
วันที่ 14 พ.ค. 2550

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 26  
 
suwit02
วันที่ 11 ธ.ค. 2551

อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 11 โดย devout

การบวชเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา เพราะกระทำได้ยาก ต้องเป็นอัธยาศัยใหญ่

จริงๆ คือ ผู้นั้นต้องยินดีพอใจในการบวช จึงจะเป็นกุศล การบวชไม่ได้ขึ้นกับยุค

สมัย แต่เป็นอัธยาศัยของผู้นั้นจริงๆ ที่ต้องการจะขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต

ขออนุโมทนาความเห็นของท่าน มหา ที่ว่า " จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องของ

อัธยาศัยและการสั่งสมมา ไม่ใช่ว่าการบวชไม่ดี แล้วเป็นอยู่ยาก ที่บวชมาแล้ว

ประพฤติไม่ดี อยู่ลำบาก มันเป็นเรื่องของบุคคลต่างหาก ไม่ใช่เพราะการบวช "

การบวชเป็นชีวิตที่ประเสริฐ แต่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ไม่ได้จำกัดว่าต้อง

เป็นเพศคฤหัสถ์หรือบรรพชิต จึงขึ้นอยู่กับการสั่งสมของแต่ละบุคคลจริงๆ

ขออนุโมทนา ท่านที่มีความยินดีพอใจในการบวช


ขออนุโมทนาครับ

ผมเห็นด้วยว่า ถ้าออกบวชด้วย ศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาแล้ว

การบวชจะเป็นชีวิตที่ประเสริฐ และผู้บวชจะได้รับประโยชน์มาก แต่ถ้าบวชเพื่อ

เลี้ยงชีวิต ทำให้พระศาสนาเสื่อม ก็เป็นโทษแก่ผู้กระทำมากเช่นกัน

สำหรับการออกบวชด้วยศรัทธานั้น เนื่องจาก พรหมจรรย์นี้มีการศึกษาไป

โดยลำดับ มีการกระทำไปโดยลำดับ ผมจึงขอเสนอให้ผู้ที่ประสงค์จะออกบวช

ได้ทดสอบตนเองว่า ยินดีพอใจในการออกบวช จริงหรือไม่ และความยินดีพอใจนั้น

ยั่งยืนยาวนานเพียงใด ดังต่อไปนี้

ให้ทดลองรักษาอุโบสถศีล ในวันอุโบสถ ถ้ามีใจผ่องใส ยินดีในการรักษา

อุโบสถศีลนั้น (โดยปกติของตนเอง) ก็ขยายระยะเวลาการอยู่ในอุโบสถศีลนั้น

ออกไปให้มากยิ่งขึ้น ถ้ารักษาอุโบสถศีลตลอดกาลเป็นนิตย์แล้วยังยินดียิ่งอยู่

ก็รักษาศีล 10 ของสามเณร และค่อยๆ ขยายระยะเวลาออกไป โดยนัยเดียวกัน

ถ้ารักษาศึลตลอดกาลเป็นนิตย์ แล้วยังยินดียิ่งอยู่ ก็ขอเชิญ ศึกษา

พระปาฏิโมกข์ และเตรียม อัฏฐบริขาร ไว้ได้เลยครับ .................... สาธุ

ปล.1.ระยะเวลาทดลองรักษาศีล ตั้งแต่เริ่มทดสอบ จน เสร็จการทดสอบ

ประมาณ 2 ปี (ไม่ควรต่ำกว่า 1 ปี) และในช่วงที่ทดลองรักษาศีลของ

สามเณร นั้น ถ้าละบ้านเรื่อนไปอาศัยในวัดด้วย ก็จะใกล้เคียงการ

ออกบวชยิ่งขึ้น

2. พระอุปัชฌาย์/อาจารย์ มีความสำคัญ แก่การออกบวชมาก

ต้องใส่ใจแสวงหา เพราะ มิตรดีเป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น

...เชิญคลิกอ่าน...

ชื่อและปฏิญญาว่าสมณะ [มหาอัสสปุรสูตร]

............................................................................................

 
  ความคิดเห็นที่ 27  
 
คุณ
วันที่ 31 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
lovedhamma
วันที่ 26 มี.ค. 2554

การตอบแทนพระคุณท่าน มิใช่ด้วยการบวชแต่ให้ท่านเข้าใจพระรรม ชื่อว่าตอบ

แทนจริง อีกประการ หากการบวชช่วยให้ขึ้นสวรรค์ได้จริง...แบบนี้ มันก็เท่ากับว่า "นรก

ไม่มีในโลก...ใครทำอะไรไม่ดี ก็เท่ากับว่าให้ลูกหลานรุ่นหลังมาชักผ้าเหลืองขึ้น

สวรรค์ทั้งนั้น อย่างนั้นน่ะหรือครับ" เพราะฉะนั้น ผมเห็นด้วยเลยว่า คำสอนของ

อ.สุจินต์ ถูกที่สุด การตอบแทนบุญคุณพ่อ แม่ ที่ดีที่สุดคือ...ให้ท่่านรู้จักธรรมะ และ

การทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นั่นแหละครับถูกที่สุดและในโลก

ธรรมะของผม จะไม่มีการบวชตามประเพณีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นบวชหน้าไฟ บวช

สามเณรภาคฤดูร้อน บวชพระภิกษุ แต่จะเป็นการบวชตามศาสนาต่างหาก

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ