สาระสำคัญจากสนทนาปัญหาสารพัน เรื่อง เสรีภาพ

 
khampan.a
วันที่  23 ต.ค. 2563
หมายเลข  33135
อ่าน  1,327

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ประมวลสาระสำคัญ

จากการสนทนาปัญหาสารพัน

เรื่อง "เสรีภาพ"

ที่บ้านคุณทักษพล - คุณจริยา เจียมวิจิตร

วันศุกร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๓



พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิเทส เล่ม ๖
หน้าที่ ๕๓๖

ชื่อว่า เสรี ได้แก่ เสรี ๒ อย่าง คือ ธรรมเสรี ๑ บุคคลเสรี ๑

ธรรมเสรี เป็นไฉน? สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ชื่อว่า ธรรมเสรี

บุคคลเสรี เป็นไฉน? บุคคลใด ประกอบด้วยธรรมเสรี นี้ บุคคลนั้น ท่านกล่าวว่า บุคคลเสรี จริงอยู่ โลกุตตรธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า เสรี เพราะไม่ไปสู่อำนาจของกิเลส และ บุคคล ชื่อว่า เสรี เพราะประกอบด้วยโลกุตตรธรรมเหล่านั้น



(ทีมงานอาสาสมัครบันทึกวีดีโอการสนทนาปัญหาสารพันในครั้งนี้)

ก่อนอื่น ความเป็นจริงของเสรีภาพ ตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั้น ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๓ ดังนี้

~ เริ่มเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของพระองค์ไม่เหมือนกับคำของคนอื่นเลย แม้แต่คำว่า เสรี (อิสระ พ้นจากกิเลส)
แม้แต่คำว่าภาวะ (ความเป็น) เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาด้วยความเคารพ อย่างละเอียด รอบคอบ จึงสามารถที่จะเข้าใจคำที่พระองค์ทรงแสดงจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ง่าย แต่ว่าสามารถที่จะเริ่มเข้าใจได้

~ ใครเสรี? พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ทั้งหลาย ถึงอย่างนั้น จึงจะกล่าวได้ว่า เสรี แต่ที่แต่ละคนไม่เสรี เพราะอะไร? เพราะยังไม่เป็นอิสระจากกิเลส แม้อยู่คนเดียว ก็ยังไม่เสรี

~ แม้แต่ความสงบที่ต้องการ ที่เรียกร้องหาความสงบ นั่น ไม่สงบ เพราะกำลังเรียกร้องหาความสงบ ขณะนั้น ไม่ใช่ความสงบ เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ โลกอะไร ก็ไม่สามารถที่จะเป็นเสรีได้ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความจริงถึงที่สุด

(อ้างอิงจากหัวข้อ .... เสรีภาพ)



~ เสรีภาพที่แท้จริงอยู่ที่ไหน และใครเป็นคนที่รู้จักเสรีภาพ ที่สุด? เราคิดเอง จะเท่ากับผู้ที่ทุกคนยอมรับว่าไม่มีใครเหนือพระองค์ไปได้หรือ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงแม้เสรีภาพ แต่ว่าเราไม่ได้ตามคำที่พระองค์ตรัส เราคิดเองว่าเสรีภาพเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้าเทียบกับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้ไหมว่าเรารู้จักเสรีภาพหรือเปล่า? ต้องยอมรับตามความเป็นจริง เพราะว่า การสนทนาไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งหมด เพื่อเข้าใจถูก ถ้าเราสนทนากัน แต่ไม่ทำให้เข้าใจอะไรเลย แล้วจะมีประโยชน์อะไร

~ เพียงถามว่า คนอื่นไม่ดี ไม่ว่ากันในความคิดของเรา แต่เราดีตรงไหน? แค่ไม่รู้จักเสรีภาพ ดีหรือยัง? เพราะฉะนั้น เราคิดที่จะแก้คนอื่น แต่เราไม่คิดที่จะแก้เราเอง แล้วจะแก้สำเร็จไหม? คือ เป็นสิ่งซึ่งบอกว่าคนรุ่นใหม่คิด แต่คนรุ่นใหม่ไม่ได้คิด คนรุ่นใหม่เพียงแต่ตามคำของคนอื่น แต่ถ้าเป็นความคิด ความคิดมีสองอย่าง (ผิด กับ ถูก) อิสระเสรีที่จะคิด แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่เสรีภาพ ไม่ใช่เสรีภาวะ นี่คือ ความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าไม่มีแสงสว่างที่นำทาง (จะเข้าใจถูกต้องได้อย่างไร) จะเก่งสักเท่าไหร่ เป็นนายแพทย์ เรียนมาหลายปีรักษาโรคได้เยอะ เป็นคนดีหรือเปล่า? แพทย์ที่ไม่ดี ก็มีใช่ไหม? เป็นคนเก่งสารพัดเก่ง ทำอะไรได้คนอื่นชื่นชอบว่ามีความสามารถ เป็นคนดีหรือเปล่า? ถ้าเราไม่พอใจใคร หมายความว่า เขาไม่ดีใช่ไหม? ถ้าเขาดี แล้วเราไม่พอใจ ก็เป็นอิสระที่จะคิดอย่างนั้น แต่ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ขาดการไตร่ตรอง ไม่ว่าจะยุคไหน ใครก็ตามที่ได้ยินอะไรแล้วไม่พิจารณาไตร่ตรองให้เข้าใจความจริงโดยละเอียด คิดไม่ถูก จะบอกว่า ถูกไม่ได้ เพราะไม่ได้ไตร่ตรองอะไร เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุด ไม่ตามใคร แต่ว่า ตามความเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเป็นผู้ที่ชี้ทางให้รู้ถึงที่สุดของความจริง แม้แต่คำว่าเสรีภาพที่เราใช้กันในภาษาไทย ก็มาจากคำว่าเสรีภาวะ ความเป็นอิสระ แค่นี้รู้หรือยังว่า อิสระจากอะไร ไม่อิสระเลย แล้วก็อยากมีอิสระ อยากมีเสรีภาพ ไปขอใคร? ในเมื่อใครๆ ก็ไม่อิสระ เพราะไม่รู้จักคำว่าเสรีภาวะ ภาวะที่เป็นอิสระจริงๆ เห็นไหม? เราคิดเองหมดเลย และการคิดของเราก็คล้อยตามอาจจะเป็นคนโน้นคนนี้คนนั้นที่พูดแล้วเราก็ไม่ได้คิดเลย ตามเขาไปอย่างเดียว เป็นคนรุ่นใหม่ที่ดีหรือเปล่า? แล้วถ้าคนรุ่นเก่า เขาคิดไตร่ตรองละเอียดมาก สามารถที่จะพูดถึงทุกสิ่งทุกอย่างให้คนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นต่อๆ ไปได้เข้าใจถูกต้องตามความจริงในเหตุผล คนรุ่นเก่าดีหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงความจริงได้ ที่คนรุ่นใหม่ขาด คือ ขาดการไตร่ตรองให้เข้าใจถูกต้อง

~ ความโกรธเกิดขึ้น จะไม่ให้โกรธ เป็นไปไม่ได้ แต่ต้องรู้ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้โกรธที่เกิดแล้วเปลี่ยนเป็นไม่โกรธได้ นี่คือ ความจริงถึงที่สุด

~ ในชีวิตที่แสนสั้นของทุกคน ทุกคนตายวันไหนได้หมด เดี๋ยวนี้ก็ตายได้ จะเด็ก ผู้ใหญ่อายุเท่าไหร่ จะอยู่ไปอีก ๑๐๐ ปีหรือเท่าไหร่ก็ตามแต่ ต้องจากโลกนี้ไปทั้งหมด แต่ลองพิจารณาคิดดูว่า ตั้งแต่เกิดมาทุกวันตั้งแต่ที่แล้วมาจนถึงทุกวันนี้และต่อไปด้วย ประโยชน์จริงๆ ของการที่เกิดมาทำอะไร ทุกวันโกรธบ้างไม่โกรธบ้าง ทุกวันประโยชน์สูงสุดคืออะไร?

~ ตราบใดที่มีคนไม่ดี ง่ายๆ ที่สุด ประเทศไม่เจริญ

~ มีความรู้เท่าไหร่ ทำให้ประเทศชาติเสียหายมากมาย เพราะไม่ใช่คนดี ไม่ใช่ความดี

~ เกิดมาทั้งชาติ จากโลกนี้ไปไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ทำแต่สิ่งต่างๆ ด้วยความไม่เข้าใจเลย แล้วสิ่งนั้นจะดีได้อย่างไร แต่ชีวิตก็อยู่ไป ไม่มีใครรู้แน่ ใช่ไหม ก็ให้เข้าใจความจริงเสียที จะได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่จริงและถูกต้องเป็นประโยชน์แน่นอน แต่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น ความไม่รู้จะนำประโยชน์อะไรมาให้ได้?

~ ใครก็ช่วยใครไม่ได้ แต่ปาฏิหาริย์หนึ่ง ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ใดๆ คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้จากคนไม่รู้หรือว่ารู้ผิด กลับมีความเข้าใจขึ้น ถูกต้อง ซึ่งความเข้าใจถูกจะไม่เป็นโทษภัยอะไรเลยทั้งสิ้น

~ แก้ ให้เขาเข้าใจถูกต้องว่า อะไรถูก อะไรผิด และไม่ทำสิ่งที่ผิด

~ ความเข้าใจที่ถูกต้อง วางความไม่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง วางความเข้าใจผิดออกไป ไม่ยึดถืออีกต่อไป

~ อยากให้คนอื่น ดี แต่เราล่ะ ไม่เป็นไรอย่างนั้นหรือ?

~ ค่อยๆ เห็นประโยชน์ ว่า สิ่งเดียวที่จะคุ้มครองโลก ก็คือ คุณความดี

~ ต้องพึ่งพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้รู้ความจริง อย่าคิดว่าที่เรารู้แล้วเป็นความจริง แต่ว่าเป็นความคิดของเราต่างหาก แล้วต่างคนก็ต่างคิดหลากหลายกันไป ดีชั่ว ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ แต่สามารถที่จะแก้ได้ คือ ตัวเอง แก้คนอื่น แก้ไม่ได้ และชีวิตก็แสนสั้น จะแก้ไหม หรือจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ? เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุด คือ ความเห็นถูกความเข้าใจถูก ในบรรดาสิ่งที่มีทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุด เพราะไม่ผิด ไม่เข้าใจผิด

~ ศึกษาธรรม เพื่อประโยชน์ของเราในสังสารวัฏฏ์ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ชีวิตก็ดำเนินไปผิดๆ ถูกๆ เห็นผิดเป็นถูกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ความจริง ว่า ที่ถูกแล้ว ความดีต่างหากที่ควรที่จะสะสม และตรงต่อความดี เพื่อที่จะดับหรือละความไม่ดี ถ้าจะปล่อยวาง ก็คือ ปล่อยวางความไม่รู้ ความเห็นผิดและความชั่วทั้งหมด แต่ไม่ใช่เป็นเราไปปล่อยวาง ต้องเป็นความเข้าใจตรงขึ้นถูกขึ้น เห็นโทษของสิ่งที่เป็นโทษ จึงรู้ว่ามีหนทางที่จะละโทษนั้น แม้หนทาง ก็ไม่ใช่เรา

~ มีเราที่จะทำให้คนนั้นเป็นอย่างนี้ให้ประเทศเป็นอย่างนั้น ไม่มีทาง แต่มีความหวังดี เพราะฉะนั้น เมื่อมีความหวังดีแล้ว เป็นคนดีอันดับแรกเพื่อที่จะทำสิ่งที่ดี นั่นแหละคือวิธีแก้ไข

~ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งมีลักษณะของตน ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เพราะว่ามีปัจจัยจึงเกิดได้ เกิดแล้วก็ดับ ถ้าไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางจะรู้ความจริงได้

~ คนรุ่นไหนก็เหมือนกัน ถ้าไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาแล้ว ก็คือ ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา แต่คิดว่าตัวเองนับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่าไม่รู้จักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงๆ แล้ว มีคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ไหม เพราะมีแต่ธรรมที่เกิดแล้วดับ

~ จากวันนี้ที่ได้สนทนาแล้วก็มีความเข้าใจจากการพิจารณาพอสมควร จะรู้ได้ว่า วันข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร ได้ประโยชน์อะไรบ้างหรือเปล่าจากการที่พูดถึงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้เข้าใจจริงๆ ทุกคำ แม้แต่คำว่า ภิกษุในพระธรรมวินัย ต้องรู้ว่า เป็นใคร บวชทำไม เพื่ออะไร และชีวิตที่ดำรงอยู่ทำอะไร จึงสมกับการที่จะดำเนินตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตตามที่พระองค์ได้ทรงกระทำแล้ว ไม่ใช่ทุกคน ต้องแล้วแต่การสะสม

~ มีประโยชน์ไหมถ้าจะรู้ความจริงยิ่งขึ้น จะไม่ถูกลวงให้ไปนับถือเครื่องรางของขลัง อะไรๆ อีกตั้งหลายอย่าง ทั้งต้นไม้ ต้นกล้วย พญานาคหรือพญาอะไรก็แล้วแต่

~ ถ้าเราสนุกสนานในชีวิตไปเรื่อยๆ เราก็ไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ และเมื่อไหร่จะรู้ความจริงเสียทีในสังสารวัฏฏ์อีกยาวนานมาก ไม่มีใครไปให้ความรู้เกิดขึ้นได้เองเลย นอกจากการไตร่ตรองและรู้ประโยชน์ว่าแม้จะฟังก็บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่ไม่ฟังก็บังคับไม่ได้ ต้องไม่ลืม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีใครไปฝืน แต่ความเข้าใจนั่นแหละจะค่อยๆ ทำหน้าที่ เห็นประโยชน์ว่าอะไรมีประโยชน์ที่สุดในชีวิต เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็แล้วแต่สะสมมาที่จะเริ่มฟังไหม เริ่มเห็นประโยชน์ไหม หรือว่าฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ก็แล้วแต่ ให้ทราบอยู่อย่างเดียวว่ารู้จักธรรมไหม แล้วธรรมเป็นอนัตตาไหม แค่สองคำ จะนำไปสู่ความเข้าใจมั่นคงขึ้น

~ สติ เป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ไม่ใช่ระลึกในทางชั่ว ถ้าระลึกที่จะไปขโมยเขา นั่น ไม่ใช่สติแน่

~ ไม่ประมาทกุศลแม้เพียงเล็กน้อย อันนี้ไม่ใช่ไปบังคับว่าต้องฟังธรรม ฟังทุกวัน แต่ แต่ละคนจะเป็นไปตามการที่สะสมจากการได้ฟังธรรมว่าจะมีความมั่นคงและเห็นประโยชน์แค่ไหน เพราะฉะนั้น จึงหลากหลายกันมากแต่ละชีวิต ไม่ซ้ำกันเลยสักแบบเดียว



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
panasda
วันที่ 23 ต.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
siraya
วันที่ 23 ต.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pulit
วันที่ 26 ต.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ