ความไม่สงบมาจากความไม่รู้ความจริง

 
khampan.a
วันที่  16 ต.ค. 2563
หมายเลข  33109
อ่าน  1,632

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ประมวลสาระสำคัญ

จากการสนทนาพิเศษ

เรื่อง

"ความไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา กับ ความไม่สงบของประเทศชาติ"

ที่บ้านคุณทักษพล - คุณจริยา เจียมวิจิตร

วันศุกร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓




(ทีมงานอาสาสมัครบันทึกวีดีโอการสนทนาพิเศษวันนี้)



~ โลกไม่สงบมานานเท่าไหร่แล้ว ทุกยุคทุกสมัย ร้ายแรงกว่านี้ไหม น้อยกว่านี้ไหม ก็ทั้งนั้นเลย ตามรูปแบบต่างๆ แต่ทั้งหมด ความไม่สงบเปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นความไม่สงบ ความสงบจะเปลี่ยนเป็นความไม่สงบ ไม่ได้ ความสงบเป็นอย่างหนึ่ง ความไม่สงบเป็นอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองอย่างตรงกันข้ามกัน แต่ทั้งหมดอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้น ถ้าโลกรู้จักจิตหรือรู้จักใจอย่างละเอียดรอบคอบยิ่งขึ้น โลกจะสงบแน่นอน แต่ถ้าไม่สามารถที่จะรู้จักจิตหรือใจได้ จะสงบได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้เลย

~ คนไหนที่เริ่มรู้ความจริง คนนั้นก็เริ่มสามารถที่จะสงบได้ ความสงบ ธรรมดาก็ยากกว่าความไม่สงบ ทุกวันนี้คิดว่าทุกคนสงบ นานๆ ก็ไม่สงบ แต่ความจริง ความสงบ ยากกว่าความไม่สงบ

~ เป็นธรรมดาที่โลกวุ่นวายไม่สงบทุกกาลสมัย ไม่ใช่แค่สมัยนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ วันก่อน เดือนก่อน ปีหน้า ปีโน้น แต่ว่าความไม่สงบมีอยู่ตลอดเวลาแล้วแต่ว่าจะมากน้อยประการใด เป็นโทษระดับไหน แต่ว่า ทั้งหมดมาจากความไม่รู้ความจริง

~ เรื่องของคนรู้ กับ คนไม่รู้ จะต่างกันมากมหาศาล เพราะฉะนั้น โลกไม่มีวันที่จะสงบ ถ้าไม่เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ว่าคืออะไร สิ่งนั้นเป็นอะไร มาจากไหน อย่างไร

~ รู้ความจริงเมื่อไหร่ สงบเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น ที่จะห้ามโลกไม่ให้ไม่สงบ เป็นไปได้ไหม ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ เป็นไปไม่ได้เลย

~ โลกจะร่มเย็น สงบ ด้วยความเข้าใจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง

~ ประเทศไทยมีชาวพุทธ นับถือพระพุทธศาสนา บางคนอยากให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ โดยไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร เห็นไหม? ทั้งหมด อยาก ใช่ไหม? อยู่ดีๆ ก็อยาก พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงความจริง ก็ไปอยากให้เป็นของชาติไทยหรือประจำชาติไทย ทั้งหมดนี้มาจากความไม่รู้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง โลกไม่มีทางที่จะสงบได้เลย

~ ที่จะนำความสงบมาให้ เกิดจากความไม่รู้หรือเปล่า? เกิดจากความโกรธหรือเปล่า? เกิดจากความต้องการหรือเปล่า? เกิดจากคำสอนที่ไม่ให้รู้ความจริงหรือเปล่า? ก็ไม่ใช่

~ ไม่สามารถที่จะสงบได้ ตราบใดที่ไม่ได้เข้าใจความจริงซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อให้แต่ละคนสงบ ถ้าทุกคนแต่ละคนสงบ มีหรือที่จะไม่สงบ แต่ที่ไม่สงบกันวันแล้ววันเล่ามากบ้างน้อยบ้าง ประจำวันไม่สงบแน่ ข่าวคราวประจำวันไม่สงบเลย นั่นเฉพาะข่าว แล้วที่ไม่เป็นข่าวล่ะ สงบหรือเปล่า ก็เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความไม่สงบ ก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะรวมกันแล้วไม่สงบอย่างมากจนนำความเดือดร้อนมาให้ ก็เพราะไม่รู้ความจริง เพราะไม่เห็นค่าไม่เห็นประโยชน์สูงสุดของการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อให้ทุกคนได้สงบจากสิ่งที่มีประจำวันที่ไม่สงบเลย ตั้งแต่เกิดมา ถ้าใครก็ตามที่ยังไม่เห็นค่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกไม่สงบ

~ พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ประเสริฐที่สุด บริสุทธิ์ที่สุด เพราะสามารถที่จะทำให้จากที่มีความไม่ดี มีความไม่รู้ เป็นค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงซึ่งจะไม่นำไปสู่ความไม่สงบ เมื่อมีปัญญา

~ สงบแล้ว ทำอะไร? อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยหรือ? ไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะให้คนอื่นได้รู้ความจริงแล้วสงบด้วยหรือ? ผู้ที่สงบ เช่น พระอรหันต์ทั้งหลาย สาวกทั้งหลาย ทำประโยชน์ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ

~ อัศจรรย์ สำหรับผู้ที่ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จากที่ไม่รู้แล้วค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจถูก อัศจรรย์ยิ่งกว่าอย่างอื่น

~ ทุกกาลสมัย ไม่ว่าสมัยที่กำลังไม่สงบอย่างนี้ แต่ก็ยังมีผู้ที่อัศจรรย์ที่ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วสามารถที่จะเห็นประโยชน์และเข้าใจได้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความสงบตามลำดับแต่ละบุคคลจนกระทั่งกว้างขวางขึ้นถ้ามีผู้ที่เห็นประโยชน์จริงๆ จะอัศจรรย์เพียงใด

~ สำนึกถึงอกุศลของตัวเองเมื่อไหร่ ก็อัศจรรย์จริงๆ แต่ไม่ใช่สำนึกเองใช่ไหม ถ้าไม่ได้ฟังคำที่ทำให้ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจและเห็นประโยชน์

~ ไม่มีอะไรที่จะมีค่าที่จะอัศจรรย์ยิ่งที่สามารถที่จะทำให้ความไม่รู้และความเข้าใจผิดลดน้อยลง จนกระทั่งสามารถที่จะดับความไม่รู้ได้ เท่ากับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเห็นค่าจริงๆ ไม่ใช่กล่าวแต่ว่านับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่าไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไร นับถือพระพุทธศาสนาแล้วไปก่อกวนคนอื่นให้ลำบากเดือดร้อนให้เสียเงินเสียทองมากมายอย่างนั้นหรือ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ เป็นคนดี สงบ

~ มีหรือ ถ้ารู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดซึ่งใครไม่สามารถที่จะรู้เองได้และทรงแสดงสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ให้คนอื่นได้เข้าใจ นานมาแล้วด้วย แล้วจะไม่ฟังไม่เห็นประโยชน์

~ มารดาผู้ให้กำเนิดมีพระคุณมากไหม? มีพระคุณมาก เลี้ยงดูสั่งสอนทุกประการ ห่วงใย ไม่ว่ายามเจ็บใครได้ป่วย แต่มารดาให้รู้ความจริงหรือเปล่า? มีมารดามาแล้วกี่คนในสังสารวัฏฏ์? มีมารดา มากมาย คุณเหลือล้นทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ออกจากสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น ใครที่สามารถที่จะทำให้รู้ความจริง? (พระสัมมาสัมพุทธเจ้า) แม้มารดายังเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วบุคคลผู้ที่เป็นที่เคารพของมารดา เราควรเคารพไหม มากกว่าไหม เพราะมารดาก็ยังเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา โดยประการทั้งปวง ก็เพื่อให้ละความติดข้องว่าเป็นเรา ถ้าไม่รู้จักคำนี้ จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะว่ารู้ว่าธรรม มีทั้งดี ทั้งชั่ว ไม่มีเรา ธรรมที่ดี ก็เป็นเหตุให้เกิดผลที่ดี ธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ก็เป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดี เมื่อมีความเข้าใจว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมซึ่งเป็นไปตามเหตุผล ก็รู้ว่าควรจะประพฤติในธรรมที่เป็นสิ่งที่นำประโยชน์มาให้ แต่ทั้งหมด ก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา ถ้ามีเราแล้ว ก็ยาก แทรกเข้ามาแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเห็นธรรมตามความเป็นจริงได้

~ ไม่ว่าจะพูดอะไร ก็ต้องเข้าใจคำนั้น ถ้าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ หมายความว่าอะไร ไม่ใช่พูดเพราะอยากให้เป็นเพียงชื่อว่าเป็น แต่เป็นแล้วเป็นคุณหรือเป็นโทษ? เป็นความจริงหรือเป็นความเท็จความไม่จริง? เพราะฉะนั้น จะทำอะไรก็ตาม ก็ต้องหมายความว่าต้องพร้อมด้วยเหตุผลโดยประการทั้งปวง เพราะเหตุว่า ศาสนาไม่ใช่เรื่องบังคับ คนไทยทุกคน มีสิทธิ์ที่จะนับถือศาสนาอะไรก็ได้ ใช่ไหม แต่เขาเป็นคนไทย คนไทยมีความเห็นต่างกันให้เห็นเหมือนกัน นั้น เป็นไปไม่ได้ ต่างกันนี้หลากหลายจนแม้กระทั่งพระพุทธศาสนาเอง ก็มีทั้งเถรวาท มีทั้งมหายาน แล้วจะเอาอะไร ใครเป็นคนมีอำนาจมาบอกว่าจะเอาศาสนาไหนแล้วให้เป็นประจำชาติไหนได้ แต่ความจริงเท่านั้นที่ต้องตรง ว่า ไม่มีทางที่ศาสนาหนึ่งศาสนาใดจะประจำชาติหนึ่งชาติใดได้

~ จะเอากฎหมายมาบังคับให้นับถือศาสนา เป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของจิตใจ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นไปไม่ได้แล้วจะไปเป็นทำไม ในเมื่อไม่ใช่ มันไม่จริง เป็นไปเพื่ออะไร? ต้องการอะไร? ประโยชน์อะไร? นอกจากความไม่สามัคคี ไม่พร้อมเพรียงกัน เป็นการแตกแยก ซึ่งนั่นไม่ใช่พระพุทธศาสนาเลย พระพุทธศาสนาไม่แตกแยกกับใคร มีความเป็นมิตร แม้แต่กับศัตรู แม้แต่คนที่กำลังเลื่อยแขนขา ก็ไม่โกรธ นั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะโกรธ เป็นอะไร เป็นอกุศล เป็นสิ่งไม่ดี แล้วใครโกรธ? เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงสอนให้เป็นอกุศลใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นคำสอนที่บริสุทธิ์จริงๆ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นคนที่ตรง ถ้าจะกล่าวว่าพระพุทธศาสนาควรจะเป็นหรือน่าจะเป็นหรือจะเป็นศาสนาประจำชาติ เป็นได้หรือ? ถ้าเป็นไม่ได้ คิดอย่างนั้นทำไม เพราะฉะนั้น ก็เท่ากับทำสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้และไร้เหตุผลด้วย และไม่เป็นประโยชน์ เพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้งได้ แต่เราควรมีความเป็นมิตรกับทุกศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นมิตรแม้แต่กับสัตว์ แม้แต่กับศัตรูแม้แต่ทุกอย่าง นั่นคือ คำสอนซึ่งไม่เป็นภัยเลย

ถ้าเราเป็นมิตรกับเขา เขาโกรธเรา ไม่เกี่ยวกับเราเลย จะไม่ให้เราเป็นมิตรกับเขา ก็ไม่ได้ จะให้เราไปโกรธเขา ก็ไม่ถูกต้อง เพราะความโกรธ ไม่ใช่สิ่งที่สมควร เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมากที่จะต้องรู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์จริงๆ และอะไรไม่เป็นประโยชน์

~ การกระทำทุกอย่างควรคำนึงอย่างยิ่งว่า สิ่งนั้นเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น แม้แต่จะพูดว่าขอให้บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ประโยชน์อะไร? ต้องถามแล้วชี้แจงให้ละเอียดว่าเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ลองแสดงประโยชน์มา ว่า ถ้าให้พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ ประโยชน์อยู่ตรงไหน? เพราะเหตุว่า ทุจริตทั้งเมือง ทุกวงการ แล้วบอกว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ สมควรไหม? อายไหม?

~ หนทางที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนา มีไหม? มี แล้วใครกำลังทำหน้าที่ดำรงพระพุทธศาสนา ในเมื่อหนทาง มี ยังไม่รู้เลยว่าหนทางนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้น ดำรงไม่ได้ ต้องรู้ก่อน หนทางเดียวที่จะดำรงพระพุทธศาสนาคือการศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง หมายความว่า ต้องด้วยความเข้าใจจริงๆ ไม่บิดเบือนคำสอน ไม่เข้าใจผิด เพราะเหตุว่า ถ้าเข้าใจผิด ก็ทำลายพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ดำรงพระพุทธศาสนาเลย เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืม ไม่มีทางอื่น อาคาร วัดวาอารามวิจิตร ๓ พันล้านหรืออะไรก็ตามแต่ ไม่ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาเลย แต่คำสอนที่ได้ศึกษาด้วยความเคารพที่จะรักษาคำสอนนั้นไม่ให้เปลี่ยนแปลงบิดพลิ้วไปด้วยความเข้าใจผิด จึงจะสามารถดำรงรักษาพระพุทธศาสนาได้ ไม่ใช่เป็นชื่อที่ไปตั้งไว้

~ ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นประโยชน์สำคัญที่สุด ถ้าทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เลย เสียเวลา แล้วก็ทำทำไมในเมื่อสิ่งนั้นไม่มีประโยชน์

~ ความคิดที่จะเบียดเบียนคนอื่น แม้ศาสนาอื่น ไม่ใช่ความคิดของชาวพุทธแน่ เพราะถ้าคิดอย่างนั้น เป็นการเบียดเบียนคนอื่น ความเป็นมิตรไม่มี เมตตาค้ำจุนโลกหายไปไหน ไม่ตรงกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

~ ชาวพุทธมีหน้าที่ที่จะดำรงรักษาคำสอนซึ่งเป็นความจริง เป็นเรื่องขัดเกลากิเลส เป็นเรื่องเหตุและเป็นเรื่องผล ไม่ใช่เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้

~ เราเป็นมิตร ไม่ใช่เจาะจงเฉพาะพวกเรา แต่ความเป็นมิตรกว้างไกลไพศาลมาก เป็นประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร มีอะไรที่เราจะช่วยใครให้เป็นประโยชน์ในทางที่ถูกต้อง ควรทำไหมหรือว่าไม่ควรทำ? จะต้องทำกับชาวพุทธเท่านั้น จะไปยุ่ง จะไปทำให้คนอื่นทำไม นั่นผิด นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ไม่ทรงจำกัดความเมตตาเลย ความดีทั้งหลาย ไม่จำกัด

~ สิ่งเดียวที่เราควรอย่างยิ่งที่จะทำกับทุกคน คือ ความเป็นมิตรคือ ความหวังดี ไม่ว่าเขาจะเป็นใครทั้งสิ้น

~ เราไม่หยุดที่จะกล่าวถึงพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เพื่อให้ทุกคนได้ไตร่ตรอง ว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ควรอย่างยิ่งที่จะมีความเห็นที่ถูกต้องว่ามีประโยชน์มาก ไม่ได้ทำให้เกิดความเกลียดชังหรือว่าการแตกสามัคคีหรืออะไรเลยทั้งสิ้น แต่นำมาซึ่งบารมี ๑๐ ความดี ไม่ใช่สิ่งที่ทำง่าย แต่เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ปัญญาที่เข้าใจถูก ไม่เห็นว่าอย่างอื่นจะมีประโยชน์เท่ากับการสะสมคุณความดีเพื่อค่อยๆ ชำระล้างจิตให้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เป็นบารมี ดีหมด เช่น เมตตาบารมี เรากล่าวถึงความจริง ถ้าเขาพิจารณาก็เป็นประโยชน์ และประโยชน์ก็คือเมื่อเข้าใจแล้วทุกอย่างดีขึ้น




...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Selaruck
วันที่ 17 ต.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละคำที่ท่านอาจารย์แสดงช่างแจ่มแจ้งด้วยเหตุด้วยผลอย่างหาข้อโต้แย้งไม่ได้โดยสิ้นเชิง มีแต่คำจริง คำตรง ให้น้อมไตร่ตรองในแต่ทางเจริญกุศลลงในใจ

กราบแทบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์เหนือเกล้า

กราบขอบคุณและอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นที่บรรจงบันทึกคำที่มีค่านี้ไว้แก่พวกเรา ยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 17 ต.ค. 2563

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์คำปั่น อักษวิลัยที่เรียบเรียงการสนทนาธรรมครั้งนี้มาให้ผู้สนใจได้มีโอกาสศึกษาเพื่อความเข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงและท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์นำมาถ่ายทอดให้ผู้สนใจศึกษา เพื่อเข้าใจและประพฤติปฏิบัติตามคำของพระพุทธองค์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 17 ต.ค. 2563

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
mammam929
วันที่ 17 ต.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

คำจริงที่ท่านอาจารย์กล่าวชัดเจนและเกื้อกูลแก่ผู้ฟังผู้ศึกษาอย่างยิ่งค่ะ

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และอาจารย์ผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 17 ต.ค. 2563

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nattawan
วันที่ 18 ต.ค. 2563

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงสอนให้เป็นอกุศลใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นคำสอนที่บริสุทธิ์จริงๆ

ยินดีในความดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เฉลิมพร
วันที่ 18 ต.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
สิริพรรณ
วันที่ 18 ต.ค. 2563

กราบนอบน้อมพระอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

ฟังพระธรรม เมื่อเข้าใจคำที่ได้ฟัง ระลึกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มีจริงทุกขณะของชีวิต แม้ขณะที่ฟังก็มีความจริงที่ทรงแสดงตลอดเวลา ขณะที่เข้าใจ สงบค่ะ

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณกุศลวิริยะท่านอาจารย์คำปั่น อักษวิลัย ที่มีโดยสม่ำเสมอ เป็นประโยชน์มากๆ ค่ะ

ยินดีกับทุกท่านที่เข้าใจพระธรรมอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
panasda
วันที่ 19 ต.ค. 2563

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nantafongchan
วันที่ 19 ต.ค. 2563

❤️

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ