อกุศลมูลสูตร - อกุศลมูล ๒ ประการ - ๓๑ มี.ค. ๒๕๕o

 
บ้านธัมมะ
วันที่  30 มี.ค. 2550
หมายเลข  3246
อ่าน  2,040

สนทนาธรรมที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๓๑ มี.ค. ๒๕๕๐

เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐น.

อกุศลมูลสูตร

ว่าด้วยอกุศลมูล ๒ ประการ

จาก [เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 338

นำการสนทนาโดย..

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และคณะวิทยากร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2550

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 338

อิติวุตตกะ ติกนิบาต วรรคที่ ๑

๑. อกุศลมูลสูตร

ว่าด้วยอกุศลมูล ๒ ประการ

[๒๒๘] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อกุศลมูล ๓ ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ โลภะเป็นอกุศลมูล ๑ โทสะเป็นอกุศลมูล ๑ โมหะเป็นอกุศลมูล ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อกุศลมูล ๓ ประการ นี้แล. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า โลภะ โทสะ และโมหะ เกิดแล้วในตน ย่อมเบียดเบียนบุรุษผู้มีจิตอันลามก เหมือนขุยไผ่ ย่อมเบียดเบียนไม้ไผ่ ฉะนั้น เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.

จบ อกุศลมูลสูตรที่ ๑

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2550

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 339

ติกนิบาตวรรณนา วรรควรรณนาที่ ๑

อรรถกถาอกุศลมูลสูตร

ในอกุศลมูลสูตรที่ ๑ แห่งติกนิบาต พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า ตีณิ เป็นการกำหนดนับจำนวน.

บทว่า อิมานิ เป็นคำชี้ชัดถึงสิ่งที่อยู่เฉพาะหน้า.

บทว่า อกุสลมูลานิ เป็นตัวอย่างแห่งธรรมที่ทรงกำหนดไว้.

ในบทว่า อกุสลมูลานิ นั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ กิเลสชาติชื่อว่า เป็นอกุศลมูล เพราะเป็นทั้งอกุศล เป็นทั้งรากเง่า (ของอกุศล) อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเป็น อกุศลมูล เพราะเป็นรากเง่า (ของอกุศลทั้งหลาย) โดยความหมายว่า เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เป็นปกวะ (แดนเกิดก่อน) เป็นชนกะ (ผู้ให้กำเนิด) เป็นสมุฏฐาปกะ (ผู้สถาปนา) เป็นนิพพัตตกะ (ผู้ให้เกิด) แห่งอกุศลธรรมทั้งหลาย คือเป็นทั้งการณะ (เหตุ) แห่งอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะว่าการณะ ท่านเรียกว่า เหตุ เพราะเป็นแดน คือเป็นไปแห่งผล เรียกว่า ปัจจัย เพราะเป็นเหตุให้ผลอาศัยเป็นไป เรียกว่า ปภวะ เพราะเป็นแดงเกิดก่อนแห่งผล เรียกว่า ชนกะ เพราะยังผลของตนให้เกิดเรียกว่า สมุฏฐาปกะ เพราะให้เผล็ดผล และเรียกว่า นิพพัตตกะ เพราะยังผลให้เกิดขึ้น ฉันใด กิเลสชาติมีโลภะ เป็นต้น ชื่อว่าเป็นรากเง่า เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้ง (แห่งอกุศลทั้งหลาย) ก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า บทว่า อกุสลมูลานิ หมายความว่า เป็นเหตุให้ (อกุศลธรรมทั้งหลาย) สำเร็จความเป็นธรรมที่ตั้งไว้สมบูรณ์แล้ว.

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2550

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 340

ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า ความโลภที่ให้อกุศลทั้งหลายสำเร็จความเป็นอกุศล เป็นมูลฐานของอกุศลทั้งหลาย มีโลภเป็นต้น เหมือนพืช (พันธุ์) ของข้าวสาลีเป็นต้น เป็นมูลฐานของข้าวสาลีเป็นต้น และเหมือนน้ำความใสของแก้วมณี เป็นต้น เป็นมูลฐานของประกายของอัญญมณีเป็นต้นฉะนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ในรูปที่มีอกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน ไม่พึงมีความที่อกุศลธรรมเหล่านั้น เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพราะว่า รูปที่มีอกุศลจิตเป็นสมุฏฐานเหล่านั้นให้สำเร็จความเป็นอกุศลธรรมแก่รูปไม่ได้ แต่ว่าไม่ใช่จะเป็นปัจจัยไม่ได้สมจริง ดังคำที่ตรัสไว้ว่า เหตุเป็นปัจจัย โดยเหตุปัจจัย แก่ธรรมทั้งหลายที่สัมปยุตด้วยเหตุ และรูปทั้งหลาย ที่มีธรรมสัมปยุตด้วยเหตุเหล่านั้น เป็นสมุฏฐาน ก็ความที่มีโมหะเป็นอกุศล ไม่พึงมีแก่อเหตุกสัตว์ เพราะไม่มีรากเง่าอย่างอื่น ที่ให้สำเร็จความเป็นอกุศล.

อนึ่ง ความที่ธรรมทั้งหลายมีโลภะเป็นต้น เป็นอกุศลเป็นต้น สำเร็จแล้วโดยสภาวะพึงมีได้ แต่ความที่ธรรมทั้งหลาย ที่สัมปยุตด้วยโลภะเป็นต้นเหล่านั้นเป็นอกุศลเป็นต้น เป็นธรรมเนื่องด้วยโลภะเป็นต้น พึงมีได้ดังนี้ แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น ความที่กุศลธรรมทั้งหลาย แม้มีอโลภะเป็นต้น เป็นกุศลสำเร็จได้โดยสภาวะ เหมือนความที่โสภะเป็นต้น เป็นอกุศลสำเร็จได้โดยสภาวะนั้น ดังนั้น อโลภะเป็นต้น พึงเป็นกุศลอย่างเดียว ไม่เป็นอัพยากฤตและไม่มีอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น นักศึกษาควรแสวงหาสภาพของกุศลธรรมเป็นต้น แม้ในรากเง่าทั้งหลายเหมือนในสัมปยุตธรรมทั้งหลาย บัณฑิตพึงถือเอามูล (รากเง่านั่นแหละ) ว่าเป็นเหตุดุจโยนิโสมนสิการเป็นต้น เป็นเหตุแห่งความเป็นกุศล (และ) ดุจอโยนิโสมนสิการเป็นต้น เป็นเหตุแห่งความเป็นอกุศล เมื่อไม่ถือเอามูลฐานแห่งความโลภเป็นต้น ด้วยสามารถแห่งการยังความเป็นอกุศลให้สำเร็จ แล้วถือเอา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2550

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 341

(มูลฐาน) ด้วยอำนาจแห่งการยังความเป็นธรรมที่ประดิษฐานไว้อย่างดีแล้ว ให้สำเร็จอย่างนี้ ก็ไม่มีโทษอะไร เพราะว่าธรรมทั้งหลายที่ได้เหตุและปัจจัยแล้วจะประดิษฐานมั่นคง เหมือนต้นไม้ที่มีรากแผ่ไพศาล ส่วนธรรมที่เว้นจากเหตุจะไม่ประดิษฐานมั่นคง เหมือนงาและสาหร่ายมีพืชเป็นต้น เพราะฉะนั้นกิเลสทั้ง ๓ อย่าง จึงชื่อว่าเป็นอกุศลมูล เพราะเป็นมูลเหตุที่เป็นอุปการะแก่อกุศลธรรมทั้งหลาย โดยความหมายมีเหตุเป็นต้น แต่เพราะเหตุที่จิตตุปบาทที่เป็นอกุศลที่พ้นจากกิเลสที่เป็นรากเง่าย่อมไม่มี ฉะนั้น พึงทราบว่าด้วยกิเลสที่เป็นมูลทั้ง ๓ พระองค์ทรงแสดงคลุมเอากองอกุศลทั้งหมดไว้ เพื่อจะทรงแสดงอกุศลมูลเหล่านั้น

โดยสรุป จึงตรัสคำมีอาทิว่า โลโภอกุสลมูลํ ความโลภเป็นอกุศลมูล ดังนี้. บรรดาคำเหล่านั้น คำที่จะต้องกล่าวในความโลภเป็นต้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังแล้วทั้งนั้น ก็ในตอนนั้นความโลภเป็นต้น อันมรรคที่ ๓ จะพึงฆ่ามีมาแล้ว แต่ในพระสูตรนี้ความโลภเป็นต้น ไม่มีเหลือเลย นี่แหละเป็นข้อที่แตกต่างกัน. พึงทราบวินิจฉัยในพระคาถาดังต่อไปนี่

บทว่า ปาปเจตสํ ได้แก่ จิตลามก เพราะประกอบด้วยอกุศลธรรม.

บทว่า หึสนฺติ ความว่า ย่อมเบียดเบียนในขณะแห่งความเป็นไปของตน และในขณะแห่งวิบากในอนาคต

บทว่า อตฺตสมฺภูตา ความว่า เกิดแล้วในตน.

บทว่า ตจสารํ ได้แก่ ไม้มีหนาม อธิบายว่า ไม้ไผ่

บทว่า สมฺผลํ ได้แก่ ผลของตน มีอธิบายว่า ไม่เป็นไม้มีแก่นข้างใน เหมือนไม้ตะเคียน และไม้ประดู่ลายเป็นต้น (แต่) เป็นไม้ไผ่เป็นต้น ที่ได้นามว่า ตจสาระ เพราะมีแก่นอยู่ข้างนอก คือความโลภเป็นต้นที่เกิดในคนนั่นเอง จะยังบุคคลผู้มีจิตลามก ปราศจากแก่นคือศีลในภายในให้พินาศไป เหมือนขุยไผ่ที่เกิดในตนนั่นเอง ย่อมเบียดเบียนคือให้ต้นไผ่พินาศไป ฉะนั้น.

จบอรรถกถาอกุศลมูลสูตรที่ ๑

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
อิสระ
วันที่ 31 มี.ค. 2550
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 31 มี.ค. 2550

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 513

๓. โลกสูตร

[๔๐๒] สาวัตถีนิทาน. พระเจ้าปเสนทิโกศลประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า ธรรมเท่าไรหนอแลเมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิด ขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ

[๔๐๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่าง เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ ธรรม ๓ อย่างเป็นไฉน

๑. ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมคือโลภะความโลภ เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ

๒. ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมคือโทสะความโกรธ เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ.

๓. ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมคือโมหะความหลง เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ. ดูก่อนมหาบพิตร ธรรม ๓ อย่างนี้แล เมื่อเกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สำราญ

[๔๐๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์คำ ร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า โลภะ โทสะ และโมหะ อันบังเกิด แก่ตนย่อมทำลายบุรุษ ผู้มีใจบาป ดุจ ขุยไผ่ทำลายต้นไฝ่ ฉะนั้น.

อรรถกถาโลกสูตร

ในโลกสูตรที่ ๓ คำทั้งหมดมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 10 ธ.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ