[คำที่ ๒o๒] สงฺขารธมฺม

 
Sudhipong.U
วันที่  9 ก.ค. 2558
หมายเลข  32322
อ่าน  397

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “สงฺขารธมฺม

คำว่า สงฺขารธมฺม เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า สัง - ขา - ระ - ดำ - มะ] มาจากคำว่า สงฺขาร (เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง,มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น) กับ คำว่า ธมฺม (สิ่งที่มีจริงๆ, ธรรม) รวมกันเป็น สงฺขารธมฺม แปลว่า สิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง  แปลทับศัพท์เป็น สังขารธรรม เป็นคำที่แสดงถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ซึ่งเมื่อเกิดแล้ว ก็ต้องมีความดับไป เป็นธรรมดา ไม่มีสังขารธรรมแม้แต่อย่างเดียวที่เกิดแล้วจะไม่ดับ ล้วนดับไปทั้งหมด ทั้งจิต เจตสิก และรูป ตามข้อความจาก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ดังนี้ คือ

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สังขารแม้ทั้งปวงในภพทั้งหลาย มีกามภพเป็นต้น เป็นสภาพไม่เที่ยงเลย เพราะอรรถว่า มีแล้วไม่มี”  


สิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นจากชีวิตประจำวัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้นเป็นไปได้  ไม่มีสภาพธรรมอย่างหนึ่งอย่างใดที่เกิดขึ้นเองลอยๆ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เมื่อประมวลแล้ว ก็คือ จิตทั้งหมด เจตสิกทั้งหมด และรูป ทั้งหมด เป็นสังขาร หรือ สังขารธรรม

จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไป และทุกขณะของชีวิตไม่มีขณะใดเลยที่จะปราศจากจิต เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) ก็เป็นสภาพธรรมมีจริง เป็นสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกันกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ (คือมีทั้งรูปและนาม) เจตสิกก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ตัวอย่างเจตสิก เช่น ผัสสะ (สภาพธรรมที่กระทบอารมณ์) เวทนา (ความรู้สึก) โลภะ โทสะ โมหะ สติ (สภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล) หิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ(ความเกรงกลัวต่อบาป) ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) เป็นต้น รูป หรือ รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร รู้อารมณ์อะไรๆ ไม่ได้ เพราะไม่ใช่นามธรรม รูปธรรม ก็เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดแล้วก็ดับไปเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้ เป็นสังขารธรรม เช่นเห็นในขณะนี้ เกิดเพราะปัจจัยหลายอย่างกล่าวคือมีอารมณ์ของจิตเห็น มีเจตสิกเกิดร่วมกับจิตเห็น มีที่เกิดของจิตเห็น มีกรรมเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรมนั้นๆ เลย 

จิต เจตสิก รูป เป็นสังขารธรรม ไม่ใช่แต่เฉพาะรูปอย่างเดียวที่เป็นสังขารธรรม สังขารธรรม คือ ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าเข้าใจคำนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะรู้ได้เลยว่า ต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง มิฉะนั้นเกิดไม่ได้ และสิ่งใดก็ตามที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป นั่นคือความหมายของสังขารธรรม ซึ่งตลอดทั้ง ๓ ปิฎกของพระธรรมคำสอน จะไม่เปลี่ยนความหมายนี้เลย ถ้าได้ยินคำว่า “สังขารธรรม” ขณะใดก็หมายความถึงสภาพธรรมใดๆก็ตามที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วดับไปนั่นเอง เมื่อจิตเป็นสภาพธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น จิตก็เป็นสังขารธรรม เจตสิกเป็นสภาพธรรมที่อาศัยจิตเกิดขึ้น เช่น ความชอบใจ ความต้องการอารมณ์ เป็นโลภเจตสิก ความขุ่นเคืองใจ ความหยาบกระด้างของจิต เป็นโทสเจตสิก ไม่ใช่จิต เพราะเหตุว่าเจตสิกเกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมจิต แต่ว่าเจตสิกมีหลายชนิด และบางชนิดก็เกิดกับจิตประเภทหนึ่ง อีกบางชนิดก็เกิดกับจิตอีกประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้นจิตประเภทหนึ่งก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากน้อยต่าง ๆ กัน และเป็นแต่ละประเภทด้วย เช่น ขณะที่ชอบ สนุกสนานเบิกบานใจ ไม่ใช่ขณะที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ เพราะฉะนั้น ตัวจิตมี เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป กำลังสนุกสนานดับไป สักประเดี๋ยวก็อาจจะมีข่าวร้าย ร้องไห้เสียใจ ก็เป็นจิตและเจตสิกอีกประเภทหนึ่ง

เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน และก็เจตสิกก็เกิดร่วมด้วย และรูปก็เกิดดับ เพราะฉะนั้นทั้งจิต เจตสิก รูป เป็นสังขารธรรม เป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีสภาพธรรมแม้แต่ขณะเดียวที่เกิดแล้วจะไม่ดับ ล้วนแล้วย่อมดับไปทั้งนั้น โดยการศึกษาพระธรรม จะเห็นได้ว่า สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง กล่าวคือ จิต เจตสิก รูปเป็นสังขารธรรม เพราะฉะนั้นต้องไม่เที่ยง ไม่เที่ยงนี่อย่างรวดเร็วมากเลย คือ ทันทีที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นไม่มีใครรู้ว่า จิตเกิดจริงๆ และดับจริงๆ แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วจากการตรัสรู้ ก็เป็นหนทางให้พุทธบริษัทศึกษาพระธรรมและพิจารณาพระธรรม และอบรมเจริญปัญญาได้

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะทรงแสดงในส่วนใดก็ตาม ย่อมไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ถ้าเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาทพระธรรมว่าง่าย ศึกษาด้วยความตั้งใจ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ พระธรรมแม้จะยากแต่ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะเข้าใจได้ ที่สำคัญ คือ ไม่ขาดการฟัง ไม่ขาดการศึกษาพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ว่างเว้นจากการฟังพระธรรม และมีจุดประสงค์ที่ถูกต้องในการศึกษาว่า เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น  ในเมื่อพระธรรมละเอียดลึกซึ้ง ก็ยิ่งจะต้องมีความอดทนเป็นอย่างยิ่งที่จะค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เป็นการศึกษาพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่คิดเอาเอง     และจุดประสงค์ในการศึกษาต้องตรง คือ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกขัดเกลาความไม่รู้ซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่ง.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ