[คำที่ ๘๘] กิเลสมาร

 
Sudhipong.U
วันที่  2 พ.ค. 2556
หมายเลข  32208
อ่าน  424

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ กิเลสมาร” 

คำว่า กิเลสมาร เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า กิ - เล - สะ - มา - ระ อ่านในภาษาไทยว่า กิ - เหลด - มาน หรือ กิ - เหลด - สะ- มาน] มาจากคำ ๒ คำรวมกัน คือกิเลส เครื่องเศร้าหมองของจิต กับ คำว่า มาร สิ่งที่ขัดขวางความดี แปลรวมกันได้ว่า กิเลสเป็นสิ่งที่ขัดขวางความดี, มารคือกิเลส,กิเลสเป็นมาร นิยมแปลทับศัพท์ว่า กิเลสมาร ข้อความจาก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท แสดงถึงกิเลสมาร ไว้ว่า

“เหมือนอย่างว่า ลมนั้น ยังส่วนต่างๆ มี ดอก ผล ใบอ่อนเป็นต้น แห่งต้นไม้นั้น ให้ร่วงลงบ้าง หักกิ่งน้อยบ้าง หักกิ่งใหญ่บ้าง พัดถอนต้นไม้นั้นพร้อมทั้งราก ทำให้รากขึ้นเบื้องบน กิ่งลงเบื้องล่าง ฉันใด; มารคือกิเลส อันเกิดในภายใน  ย่อมรังควานบุคคลผู้เห็นปานนั้น  ได้ฉันนั้น  เหมือนกัน”


ชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังเป็นปุถุชน หนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมจะมีกิเลสอกุศลธรรมเกิดขึ้นเกือบทั้งวัน กุศลเกิดน้อยมากถ้าเทียบกับอกุศล ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ ในชาตินี้เท่านั้น แต่ว่าได้เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ เพราะได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นผู้ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลส ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นศัตรูภายใน เป็นข้าศึกภายใน เป็นมลทินของจิต พร้อมทั้งเป็นมาร ด้วย เพราะมารในที่นี้ มุ่งหมายถึงสิ่งที่หักรานหรือตัดรอนขัดขวางไม่ให้ความดีเจริญขึ้น กิเลสประการต่างๆ เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เมื่อเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ก็เป็นเครื่องตัดหรือทำลายซึ่งกุศลธรรม ไม่สามารถทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้นได้เลย ยกตัวอย่าง กิเลสมาร ๓ ประเภท คือ โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อโลภะเกิดขึ้นก็ติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ปล่อย ไม่สละ ไม่ยอมให้จิตเป็นกุศล และไม่ปล่อยให้ออกไปจากสังสารวัฏฏ์ โลภะเป็นเหตุให้วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ไม่สิ้นสุด โทสะเป็นกิเลสมาร ขณะที่โทสะเกิดขึ้น คุณความดีเกิดไม่ได้ จิตของผู้ถูกโทสะครอบงำย่อมไม่น้อมไปสู่กุศลธรรมเลย มีแต่ความขุ่นข้องหมองใจ ไม่พอใจ เมื่อสะสมมีกำลังมากขึ้นก็ถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรมประทุษร้ายผู้อื่นให้เดือดร้อน โมหะเป็นกิเลสมาร ขณะที่มีโมหะ ขณะนั้นมืดมิด ไม่สามารถรู้สภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงได้ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี  ไม่รู้ว่าอะไรเป็นคุณเป็นโทษ และตราบใดที่ยังมีโมหะอยู่ก็ย่อมเป็นเหตุให้อกุศลประการต่างๆ เกิดตามมาอีกมากมาย ทำให้วนเวียนในสังสารวัฏฏ์ต่อไป นี้เพียง ๓ ประเภทใหญ่ๆ ที่เป็นกิเลสมาร  แต่เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว กิเลสทุกประเภท เป็นมารทั้งหมด เพราะขัดขวาง ตัดรอนโอกาสแห่งกุศลธรรมของตนเองโดยส่วนเดียว          เพราะฉะนั้น ผู้มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม    ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะเห็นพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมอย่างละเอียด โดยประการทั้งปวง  ซึ่งถ้าไม่ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด   โดยนัยต่าง ๆ   ก็จะไม่มีใครรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่ายังเป็นผู้เต็มไปด้วยกิเลส ยังมีส่วนที่ไม่ดีอยู่มากทีเดียวที่จะต้องขัดเกลา และที่สำคัญ เพราะยังมีกิเลสอยู่นี้เอง จึงยังต้องมีการเกิดและตายอย่างไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าจะได้มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง การอบรมเจริญปัญญาสะสมปัญญาไปตามลำดับ เป็นหนทางที่จะทำให้จะค่อยๆ ละคลายกิเลสมาร จนกว่าจะสามารถดับกิเลสมารได้ ในที่สุด.


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ