โมหะคือความไม่รู้..ทุกอย่าง??

 
talaykwang
วันที่  22 ก.ค. 2563
หมายเลข  32115
อ่าน  784

โมหะเป็นอกุศลธรรม คือ ความไม่รู้ ความไม่รู้นี้ ถ้าจะรวมถึง ความไม่รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดควรให้ความสำคัญก่อน สิ่งใดเป็นประโยชน์ หรือสิ่งใดไม่เหมาะสม อย่างที่ทั่วๆ ไปพูดกันว่า “เรื่องแค่นี้คิดไม่ได้เหรอ ว่าต้องทำอะไรก่อน อะไรสำคัญกว่า หรือแม้แต่เรื่องของมารยาทบางอย่างที่ควรมี ในบางสถานที่ กลับไม่มี” อยากทราบที่คำว่า..คิดไม่ได้เหรอ.. ถือเป็น โมหะ ด้วยหรือเปล่าคะ ขอคำแนะนำเพิ่มเติมด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โมหะ ว่าโดยศัพท์ โมหะ มาจาก มุห ธาตุ เป็นไปในอรรถว่า หลง เขลา แปลง อุ ที่ มุ เป็น โอ สำเร็จรูปเป็น โมหะ (ความหลง ความเขลา)

โมหะ คือ ความหลง อวิชชา ความไม่รู้ ทั้งสองคำ เป็นสภาพธรรมอย่างเดียวกัน แต่แสดงความหมายได้หลากหลายนัย เพราะ มีความไม่รู้ จึงมีความหลง หลงไปในทางที่ผิด และ ที่สำคัญ เพราะ มีอวิชชา ความไม่รู้ จึงทำให้มีความเห็นผิด ซึ่งความเห็นผิด เป็นสภาพธรรมคนละอย่าง กับความไม่รู้ เพราะความเห็นผิด เป็นการเห็นผิดจากความเป็นจริง เห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล แต่ ความไม่รู้ ก็คือไม่รู้ความจริง แต่ไม่ได้มีความเห็นผิด แต่เพราะมีความไม่รู้ จึงทำให้มีอกุศลประการต่างๆ เกิดขึ้น อวิชชา โมหะ จึงเป็นสภาพธรรมที่เป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งหลาย พระโสดาบันดับความเห็นผิดได้ แต่ ยังมีความไม่รู้เกิดขึ้นอยู่ พระอรหันต์เท่านั้นที่ดับความไม่รู้ได้ ครับ

การไม่รู้เรื่องต่างๆ ถ้าไม่เป็นไปในทาน ในศีล ในภาวนา ไม่เป็นในกุศล ก็ต้องเป็นอกุศลแน่นอน และ ขณะที่เป็นอกุศลก็ไม่ปราศจากโมหเจตสิก หรือ อวิชชา ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
talaykwang
วันที่ 23 ก.ค. 2563

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เพราะมีความไม่รู้ คือ อวิชชา เป็นเหตุ จึงทำให้มีการกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรสะสมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการสะสมเหตุที่ไม่ดี ให้กับตนเอง และเมื่อผลที่ไม่ดีเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นกับตนเองเท่านั้น เพราะอวิชชา จึงกระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อกระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ก็เป็นการตัดโอกาสแห่งการเกิดขึ้นของกุศลธรรมประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

แต่ถ้าเป็นปัญญาแล้ว ตรงกันข้ามกับอวิชชาอย่างสิ้นเชิง เป็นเหตุให้ความดีประการต่างๆ เจริญยิ่งขึ้น ทำให้ได้ในสิ่งที่ควรได้ เพราะกุศลธรรมเจริญ จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ปัญญาหรือวิชชา จึงเป็นธรรมที่นำไปสู่ความดีทั้งปวงอย่างแท้จริง ทำให้เว้นจากสิ่งที่ไม่ดี เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่ปัญญาจะเลือกทำชั่ว

อวิชชา เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ความจริง เมื่อว่าโดยองค์ธรรม ได้แก่ โมหเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดกับกุศลจิตทุกประเภท จะเห็นได้ว่า อกุศลจิตทุกดวง ทุกประเภท เกิดเพราะโมหะ หรือ อวิชชา ซึ่งเป็นความหลง ความไม่รู้ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลอะไรในชีวิต เป็นต้น สาเหตุหลักที่แต่ละบุคคลยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ก็เพราะยังมีอวิชชาอยู่นั่นเอง เป็นสภาพที่หุ้มห่อไว้ทำให้ไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริงก็มืดมน ไม่สามารถที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ได้, ในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต เพราะฉะนั้นแล้ว อวิชชาจึงเกิดกับขณะจิตมากมายอย่างนับไม่ถ้วน (เพราะอวิชชา เกิดร่วมกับอกุศลจิตทุกดวง)

หนทางเดียวที่จะค่อยๆ ละคลายอวิชชาให้เบาบางลงได้ คือ การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง สะสมปัญญาซึ่งความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่ละทิ้งโอกาสสำคัญในชีวิต นั่นก็คือ การฟังพระธรรม ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ