ขอความกรุณาเพื่อความเข้าใจ

 
praisin
วันที่  28 มี.ค. 2550
หมายเลข  3210
อ่าน  1,135

... ... ... การบรรลุธรรมนั้น ขั้นแรกต้องเริ่มจากการละความเห็นผิด คือ ละความยึดถือ ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน หรือ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ... ... ... ข้อความข้างต้นนั้นถ้าจะอธิบายในทางธรรมะในทางที่ถูกจะอธิบายหรือขยาย ความได้อีกอย่างไรครับ จึงจะถือว่าเป็นความเห็นถูก


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
narong.p
วันที่ 28 มี.ค. 2550

สิ่งที่มีจริง (สัจธรรม) คือ ปรมัตรธรรม แบ่งได้เป็น ๔ ชนิด คือ จิต เจตสิก รูป

นิพพาน ซึ่งย่อลงได้เป็น ๒ ประเภท คือ รูปธรรม และ นามธรรม

รูปธรรม คือ สิ่งที่ไม่รู้อะไรเลย ส่วนนามธรรมคือสภาพรู้ (จิต เจตสิก) สภาพธรรม

ทั้งสองชนิดนี้เกิดดับเร็วมาก โดยที่รูปธรรมเกิดดับเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ จึง

ทำให้ เห็น ได้ยิน เสมือนเกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้เห็นผิดว่า มีตัวตน เป็นแท่งเป็นก้อน

ทั้งที่จริงสภาพธรรมเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยสืบต่อกันไปไม่มี

ระหว่างคั่น จึงต้องเข้าใจความจริงนี้ซึ่งเป็นความเห็นถูก ก็จะสามารถละความเห็นผิด

ว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 28 มี.ค. 2550

ปกติเคยยึดถือโต๊ะเก้าอี้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่พอกระทบสัมผัสก็มีแต่ลักษณะแข็งเท่านั้นไม่มีการยีดถือว่าเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ แต่เป็นธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏให้รู้ แต่ไม่ใช่เรารู้เป็นปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรมเข้าใจแล้วสติเกิดเอง เป็นปัจจังตังรู้ได้เฉพาะตนจริงๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
praisin
วันที่ 28 มี.ค. 2550

ขอบพระคุณมากครับ.... อธิบายได้ดีทั้ง 3 ท่านเลยครับ อ่านแล้วเย็นเข้าไปถึง

ขั้วหัวใจ ทำให้ผมมองเห็นความเป็นมิจฉาทิฐิของตนเองได้ชัดเจน (ต้องขออภัย

ท่าน werayut s ด้วยครับ ที่เคยล่วงเกินเพราะ เข้าใจผิดหลงตัวเอง)

จากการอ่านและพิจารณาแล้วรู้สึกว่า ผมจะต้องมองตัวเองให้เห็นตัวเองอยู่ใน

สภาพธรรมคือการเห็นตัวเองที่ไม่ใช่สภาพที่เห็นอยู่ ใช่ไหมครับไม่มีความเป็นนาย

praisin นายpraisinเป็นเพียงสิ่งสมมุติ

ขอความเห็นเพิ่มเติมครับจากท่านอื่นที่จะกรุณาด้วยครับ (แต่ที่อธิบายแล้วก็

ทำให้เข้าใจได้มากทีเดียวครับ)

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 มี.ค. 2550

ต้องเข้าใจว่าเป็นธัมมะที่ทำหน้าที่ครับ (สติและปัญญา) ไม่ใช่เราจะทำให้เห็น

ดังนั้น เมื่อเหตุปัจจัยไม่พร้อมที่สติจะเกิดเห็นอย่างนั้น ก็เป็นตัวเราที่จะทำ ซึ่งก็

เป็นโลภะอย่างละเอียดอีกครับ ซึ่งกว่าจะเห็นเป็นธัมมะก็ต้องใช้เวลานานในขั้นการ

ฟัง ซึ่งชาตินี้สติอาจไม่เกิดก็ได้ เพราะเราสะสมความไม่รู้มามาก แต่เราต้องมั่นคง

ว่า ไม่มีเรา แม้ขั้นการฟัง ในเมื่อไม่มีเรา มีธัมมะ ก็ไม่มีใครไปบังคับให้เห็นแบบ

นั้นตามใจชอบครับ เพราะธัมมะเกิด จากเหตุปัจจัย ต้องฟังไปเรื่อยๆ ครับ ทางนี้ต้อง

อดทน ถ้าไม่อดทนก็จะถูกโลภะพาไปทางอื่น เพราะเห็นว่าทางอื่นง่ายกว่าครับ ฟัง

เพื่อเข้าใจเท่านั้นครับ ธัมมะเขาทำหน้าที่เอง ไม่ใช่เราครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
praisin
วันที่ 29 มี.ค. 2550

...ท่าน kusala เข้าไปฟังแล้วแต่ฟังไม่ได้พยายามอยู่ตั้งนานก็ไม่มีเสียงออก

มา อาจจะเป็นเพราะ คอมฯผมไม่ดี...

ขอบคุณท่าน "แล้วเจอกัน" .......ตอนนี้เข้าใจมากขึ้นครับ สรุปว่าแท้จริงไม่

มีตัวเรามีแต่สภาพธรรมอยู่แสดงว่าเราเข้าใจตัวเองผิดมาตั้งแต่ต้น ทำให้เราเข้าใจ

อย่างอื่นผิดไปด้วย เราต้องเข้าใจสิ่งอื่นในความเป็นสภาพธรรมด้วยเช่นกัน การ

เข้าใจว่ามีตัวตนเป็นความเห็นผิด นำไปสู่ความเข้าใจผิด การเห็นก็ผิด,การฟังก็ผิด, ฯลฯ ถ้ายึงมีตัวตนเกิดอยู่ในการเห็น,การฟังนั้น..... ดังนั้นจึงต้องเห็น

สักแต่ว่าเห็น,ฟังสักแต่ว่า ฟังฯลฯ............ มีความเข้าใจมากขึ้นครับ (แต่ไม่ทราบว่า

ยังเป็นความเข้าใจที่ผิดอยู่หรือไม่) ......ตอนนี้พอมองออกว่ากิเลสเกิดเพราะการมี

ตัวตน, การเกิดมีตัวตนเพราะมีความเข้าใจตนเองผิดต้องปรับแก้ความเข้าใจนี้.......

เพื่อการเข้าใจในสิ่งอื่นๆ ที่ถูกต้องจะเกิดขึ้นตาม

ขอความเห็นและการวิจารณ์เพิ่มเติมด้วยครับผมว่าผมกำลังมองเห็นอะไรบาง

อย่างเกิดขึ้นคือความเห็นผิดนำไปสู่ความเข้าใจผิด เราต้องปรับแก้ตัวเองตรงนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
กุมารน้อย
วันที่ 29 มี.ค. 2550

ขออนุโมทนากับคุณ praisin ที่เป็นผู้ตรงต่อตัวเองนะครับ เมื่อรู้ว่าตนเคยเห็นผิด

เข้าใจผิดแล้วก็น้อมมาเพื่อสนใจและศึกษาในสิ่งที่ถูกต้อง ธัมมะก็คือธัมมะครับไม่ใช่

เรา ไม่ใช่มีเราจะไปบังคับบัญชา ไปจัดการอะไรได้ ความเข้าใจที่ถูกนี่แหละครับ

เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเกิดปัญญา ในเมื่อเราไม่สามารถจะนึกหรือคิดถึงความ

เป็นจริงของสภาพธัมมะต่างๆ ที่ปรากฏได้เอง แต่มีผู้ที่ตรัสรู้และกรุณาถ่ายทอดให้

เราแล้ว เช่น สมเด็จพระผู้มีพระภาค หน้าที่ของเราก็คือรับฟังและพิจารณาตามด้วย

ความเคารพครับ ขอให้มั่นคงในการเป็นสาวก (ผู้ฟัง) ที่ดี เชื่อมั่นได้เลยครับว่าปัญญา

ที่ถูกย่อมเกิดขึ้นกับคุณ praisin แน่นอน.. ผมเองคงถ่ายทอดสิ่งที่คุณ praisin อยากรู้ได้ไม่ดีนักเพราะเหตุว่าเพิ่งเริ่มฟัง

เหมือนกัน (เคยผิดทางมาก่อน) แต่ที่ทำได้คือแนะนำให้คุณเริ่มฟังไปเรื่อยๆ ครับ.. ถ้า

ฟังจากทางเวปไม่ได้จริงๆ ผมยินดีส่ง CD ไปให้คุณครับ ขอเพียงที่อยู่ของคุณ..

ขออนุโมทนาอีกครั้งและอนุโมทนากับญาตธรรมทุกท่านที่บ้านหลังนี้ครับ..

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
praisin
วันที่ 29 มี.ค. 2550

ขอบคุณท่านกุมารน้อย .....ที่อยู่ของผม นาย ไพรสินธ์ ทองประเสริฐ 1789

ม.3 ม.สินธร -รังสิต ซอย E-8 ต.บางพูน อ.เมือง จ.ปทุมธานี 12000 (ขอบ

คุณล่วงหน้าครับ)

หลบไปพิจารณาความเป้นตัวเองในสภาพธรรมอยู่ครับและพิจารณาสิ่งอื่นใน

สภาพธรรม ......ให้ความรู้สึกที่ดีมาก มีความว่างเกิดขึ้นมากมาย ทำให้นึกถึงเรื่อง

จิตว่างของท่านพุทธทาส ที่ผมเองก็ไม่เคยเข้าใจเหมือนกัน พิจารณาตัวเองใน

สภาพธรรมเหมือนหลุดออกไปจากความเป็นตัวตน การที่เราหลงติดความเป้นตัวตน

อยู่เหมือนตกหลุมพรางในทางธรรมชาติ ........ก็คงต้องทบทวนอีกครับว่าจิตหลอน

หรือเปล่า........

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 29 มี.ค. 2550

การรู้ธัมมะไม่ต้องไปหลบที่ไหนครับ เพราะธัมมะนั้นมีอยู่ขณะนี้ โกรธก็เป็น

ธัมมะ แต่เราไม่รู้ว่าเป็นธัมมะ เพราะปัญญาไม่เกิด ต่อให้ไปหลบ แต่ไม่มีปัญญาเพียง

พอ ก็ไม่รู้ว่าเป็นธัมมะ การเจริญวิปัสสนามิใช่เป็นการกั้นไม่ให้กิเลสเกิด (บังคับไม่ได้

อยู่แล้ว) พอกิเลสไม่เกิดก็ดีใจ เข้าใจว่าได้ผลของธัมมะ แต่การเจริญวิปัสสนา (สติ

ปัฏฐาน) คือ การรู้ตามความจริงว่ากิเลสเป็นธัมมะ ต้องเริ่มต้นที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา แม้

กิเลส ดังนั้น กิเลสเขาไม่ได้เลือกจะเกิดว่าถ้าที่ตรงนี้เงียบๆ หลบไปซักพัก กิเลสจะ

ไม่เกิด กิเลสเกิดที่จิตครับ ดังนั้น ไม่ต้องหลบหลีกไปไหน เพียงแต่ฟังธัมมะให้เข้า

ใจ จนวันหนึ่งสติเกิดรู้ว่าเป็นธัมมะไม่ใช่เรา ที่สำคัญก็ต้องย้ำอีกครั้ง ไม่มีตัวตนจะไป

ให้สติเกิด เป็นอนัตตาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
praisin
วันที่ 30 มี.ค. 2550

...ขอบคุณครับ.. อย่างน้อยก็ต้องทบทวนว่าสิ่งที่ตนเข้าใจนั้นมีความถูกต้อง

อยู่อย่างไร เพราะบางที่เป็นเพียงอารมณ์เกิดขึ้นเท่านั้นก็ได้ เมื่ออารมณ์นั้นดับไปสิ่งที่

คิดว่าเป็นจริงก็หายไปด้วยคือมันไม่จริงนั่นเอง ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่ามีความจริงที่ได้

รับคือการพิจารณาตัวเองในความเป็นสภาพธรรมทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีเกิดขึ้น...เห็น

การเกิดความรู้สึกที่ดี ทำให้มองเห็นความมีตัวตนเหมือนหลุมที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ

.....ก็ยังมีหลักที่เป้นความจริงคือความเข้าใจที่ผิดนำไปสู่ความเห็นที่ผิด ทำให้เราไม่

เข้าใจความเป็นสภาพธรรมของทุกสิ่ง...สิ่งที่เราจะต้องระวังก็คือความรู้สึกที่เป็นตัวเรา

นั่นเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
praisin
วันที่ 31 มี.ค. 2550

ความว่างหายไปเพราะเกิดความวิตกกังวล ความไม่มั่นใจในแนวทางที่เกิด

จิตส่ายทำให้ความเป็นอัตตาเกิด เมื่อความวิตกกังวลหมดไปจึงรู้ว่าความว่างคือ

ความสงบที่เกิดขึ้นนั่นเอง การอยู่กับความเป็นปัจจุบันความสงบจึงเกิดขึ้นได้ ความ

สงบเป็นพลังที่สวยงาม ความเป็นอัตตาทำให้จิตเศร้าหมอง จิตไม่ว่างเพราะมันดิ้น

รนอยู่นั่นเอง ....การเกิดเป็นอัตตาคือความทุกข์เพราะมันเตรียมที่จะปรุงแต่งอยู่

ตลอดเวลามันจึงมีความรู้สึกเป็นทุกข์อยู่เหมือนคนที่มีแต่ความกระวนกระวายอยู่ มี

ความรู้สึกเศร้าหมองแม้ความรู้สึกที่ว่าเป็นตัวเราก็ทำให้เกิดความเศร้าหมองความสงบ

เกิดขึ้นจึงจะเป้นความสวยงามของจิต .........ที่เราควรทำให้เกิดขึ้นได้เพราะการปรุง

แต่งเป็นอัตตาเป็นความทุกข์นั่นเองจึงต้องสงบลง (เป็นแนวทางที่เห็นว่ามีความ

ต่อเนื่องกันอยู่)

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
praisin
วันที่ 31 มี.ค. 2550

ก็คงสรุปได้ว่าเราต้องละวางความมีตัวตน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดทุกข์ การ

มีตัวตนจะแสดงอย่างหยาบๆ ได้คือการมีความโกรธ และอย่างกลางๆ คือการเสพสุข

และอย่างละเอียดคือ การหลงตัวเอง และสุดท้ายคือความฟุ้งซ่าน ความไม่มั่นใจ

การมีความรู้สึกที่มีตัวตนจึงทำให้เกิความรู้สึกที่เศร้าหมอง (ตั้งแต่ในระดับหยาบถึง

ละเอียด) ดังนั้น เราต้องระวังการมีตัวตนจากสิ่งที่มากระทบคือการไม่เกิดปฏิกริยาโต้ตอบ

สิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปคือความไม่เที่ยง ถ้าเข้าไปยึดถือจะเป็นทุกข์ สิ่งสุด

ท้ายที่จะคงอยู่นั่นคือความจริง การอยู่กับความจริงจึงเป็นความสิ้นสุดในการแสวง

หา แท้จริงจิตของเราแสวงหาความจริงอยู่เสมอ การไม่พบความจริงจึงเหมือนการ

ดิ้นรนอยู่

ขอขอบคุณทีมงานบ้านธัมมะที่มีความอดทนต่อความโง่เฃลาของผู้มาเยือน

....ความเข้าใจนี้ทำให้มีความเห้นว่า ศาสนาพุทธน่าจะเป็นศาสนาของโลกได้

เพราะคงไม่มีศาสตร์ใดที่จะให้คุณค่าต่อชีวิตได้เท่าแนวทางของศาสนาพุทธนี้........

ขออนุโมทนาต่อความเสียสละของทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
praisin
วันที่ 31 มี.ค. 2550

การที่ผมกล่าวพาดพิงถึงท่านพระพุทธทาสว่าผมไม่เข้าใจเรื่องจิตว่างนั้น เป็น

ความเข้าใจของผมเองที่ไม่อาจจะเข้าใจตามนั้นได้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของปัจเจค

บุคคล จึงไม่อาจจะเอามาเป็นบรรทัดฐานได้ แต่ท่านพระพุทธทาสก็ได้แสดงความ

เห็นไว้ในหลายเรื่อง เช่น ตัวกู-ของกู ก็คือการไม่ยึดมั่นในตัวตนนั่นเอง และคน

เราเกิดมาทำไม (คู่มือมนุษย์) ก็ทำให้เกิดคำถามที่แยบคายเกิดขึ้น ผมเองก็อยากจะ

ต่อว่าพวกเรามีธุระอะไรในโลกนี้ จึงต้องมาดิ้นรนอยู่อย่างนี้ด้วยเหมือนกัน นั่นคือ

สาเหตุของการที่เราไม่เข้าใจตัวเอง ซึ่งความเห็นของท่านพระพุทธทาสนั้น แสดง

ความลึกซึ้งในระดับอัจฉริยะที่ชาวโลกเข้าใจได้ ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดา ท่านจึงได้รับ

การยกย่องเป็นบุคคลระดับโลก ซึ่งมองในมุมกลับจะเห็นว่าศาสนาพุทธมีสิ่งที่จะทำให้ชาวโลกเข้าใจ คือเข้าใจในความเป็นตัวของเขาเองนั่นเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
wirat.k
วันที่ 1 เม.ย. 2550

ขออนุโมทนาที่ คุณไพรสินธ์ มีกุศลจิต ปราถนาที่จะศึกษาหาความจริงซึ่งก็มีพร้อมอยู่ในคำสอนของพระบรมศาสดา องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนอื่นขออนุญาตแนะนำให้เริ่มศึกษาด้วยความเข้าใจจริงๆ ก่อน เอาตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่า ธรรม คืออะไร ถ้าเป็นไปได้ในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่มูลนิธิฯ มีรายการสนทนาธรรม และมีกัลญาณมิตรมากมายที่พร้อมที่จะช่วยแนะนำ รายละเอียดที่จะเดินทางมีใน web นี้แล้ว หรือเริ่มฟังจากแผ่น CD, MP.3 ที่เพื่อนสมาชิกจะส่งไปให้จากนั้นโปรดค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองจากสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาว่า จริงหรือไม่ รวมทั้งโปรดตรวจสอบจากพระไตรปิฏกด้วยความรอบคอบ ทั้งอรรถ และพยัญชนะ จากความเห็นที่ 1 คือความหมายของธรรม ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนอกเหนือจากปรมัตถธรรมสี่อย่างนี้แล้วก็ไม่มีอีก จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นสิ่งที่ มีจริง ..สิ่งที่มีจริง = ธรรม.. แล้วค่อยๆ ศึกษาว่าแต่ละอย่างแยกย่อยเป็นอย่างไร ซึ่งมีรายละเอียดมากมายโดยสามารถรู้ได้ในชีวิตประจำวันนี้ทั้งนั้น เช่นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่นลิ้มรส กระทบสัมผัส และคิดนึก ขอให้ค่อยๆ ทำความเข้าใจนะครับ ใจเย็นๆ และอย่าไปเอาสิ่งโน้นสิ่งนี้ที่เราเคยเข้าใจมาปะปน จะเป็นจับแพะชนแกะไปซะหมด รวมถึงความเห็นของใครก็ตามที่เราเคยเชื่อถือ ถ้าไม่ตรงตามพระธรรมคำสอนก็ต้องกล้าที่จะเป็นผู้ซื่อตรงที่จะยอมรับว่าไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง (ปรมัตถธรรมสี่) เพราะถ้าแตกต่างจากสิ่งที่ทรงแสดง ก็แสดงว่าท่านนั้นก็เป็นศาสดาองค์ใหม่ไม่ใช่สาวก (ผู้ฟัง) คำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านก็เป็นผู้สะสมบุญมาดีจึงมาพบเจอมิตรที่ดี พยายามจะเกื้อกูล สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดในชีวิต บุญกุศลที่ท่านสั่งสมมาคงจะอำนวยประโยชน์แก่ตัวท่านเองอย่างสมเหตุสมผล ไม่มีขาดเกิน และไม่มีลูกฟลุ๊คอย่างแน่นอน ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ปังคุง
วันที่ 1 เม.ย. 2550

ขอนำข้อความจากเพื่อนสมาชิกที่เป็นประโยชน์ครับจากกระทู้

เห็นด้วยครับ ที่ว่า ..

ทำใจให้ว่างทำไม่ได้หรอก แต่ทำใจให้ว่างจากอกุศลความวุ่นวายก็ยังพอได้ คือ การ

ฟังธรรม เพราะขณะนั้นจิตสงบจาก โลภะ โทสะ โมหะ ชั่วขณะที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจ

จิตเป็นกุศล ก็ว่างจากอกุศลชั่วคราว แต่ปกติแล้วจิตไม่ว่าง เพราะจิตดวงหนึ่งดับ

ไปเป็นเหตุปัจจัยให้จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น เว้น จุติจิตของพระอรหันต์ ไม่มีเหตุปัจจัยให้

เกิดอีก

โดย : Suvidech

จิตเป็นสภาพรู้ เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้ในขณะที่มีนิพพานเป็นอารมณ์

ขณะนั้นจิตก็ไม่ว่างค่ะ เพราะนิพพานเป็นอารมณ์ของจิต

โดยสมาชิก : devout

กล่าวโดยนัยนี้ แม้พระอรหันต์ซึ่งมีจิตเพียง 2 ชาติ จิตก็ไม่ว่าง เพราะจิตของท่านก็ยังรู้อารมณ์

โดยสมาชิก : pornchai.s

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
praisin
วันที่ 1 เม.ย. 2550

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
praisin
วันที่ 4 เม.ย. 2550

เรียนท่านกุมารน้อย

ได้รับ cd. แล้วครับขอบพระคุณท่านกุมารน้อยที่มีเมตตา..........ฟังไปบ้างแล้วทำให้

ได้รู้คำศัพท์ในทางลึกที่เรามักรู้เพียงผิวเผิน เหมือนเปิดประตูออกไปสู่อีกโลกหนึ่งที่

มีแต่ความสงบเย็น โลกของธรรมะคือความสงบเย็น

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
แวะเข้ามา
วันที่ 4 เม.ย. 2550
อนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
กุมารน้อย
วันที่ 5 เม.ย. 2550
ขออนุโมทนาครับคุณไพรสินธ์..
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ