จิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้หรือไม่

 
fueng
วันที่  13 มี.ค. 2550
หมายเลข  3048
อ่าน  1,640
จิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้หรือไม่ กรุณาช่วยอธิบายด้วยครับ เพราะไม่เข้าใจจริงๆ

  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 14 มี.ค. 2550

จิตเป็นธรรมชาติรู้ รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสิ่งที่มีจริงและสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริงเรียกว่า ปรมัตถธรรม ๔ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง คือ บัญญัติ เป็นสิ่งที่สมมติกันขึ้นเพื่อใช้สื่อสารเพื่อให้เข้าใจในกลุ่มชน เช่น ชื่อของคนวัตถุสิ่งของ เป็นบัญญัติ เมื่อจิตคิดถึง ชื่อ คำสมมติ อักษร ตัวเลข ต่างๆ ขณะนั้นจิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
study
วันที่ 14 มี.ค. 2550
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
fueng
วันที่ 14 มี.ค. 2550

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 14 มี.ค. 2550
จิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้ และจิตมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ได้เหมือนกัน แม้แต่พระพุทธ-เจ้า หรือสาวกของพระพุทธเจ้าก็ยังมีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้ บัญญัติเป็นสมมติใช้เรียกชื่อคน เช่น ชื่อพระสารีบุตร ชื่อพระอานนท์ ถ้าไม่มีบัญญัติก็เรียกไม่ถูก จะเรียกขันธ์ ๕ โน้น ขันธ์ ๕ นี้หรือ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
อิคิว
วันที่ 14 มี.ค. 2550

ทั้งพระอภิธรรมและพระสูตรได้แยกแม่บทหรือกระทู้ธรรมออกเป็นสองฝ่ายที่แตกต่างกัน

ผู้ที่อ่านพระไตรปิฏกโดยเฉพาะพระสูตร ถ้าไม่ทราบหลักธรรมที่แท้จริงของพุทธ

ศาสนาในเรื่องของอนัตตาแล้วจะต้องเข้าใจว่าพระสูตรเป็นเรื่องของอัตตาเป็นบัญญัติ

๑. ธัมมสังคณี ว่าด้วยการ " รวมกลุ่มธรรมะ " คือจัดระเบียบธรรมะต่างๆ ที่กระจายกัน

อยู่มากมายมาไว้ในหัวข้อสั้นๆ เทียบด้วยการนำเครื่องประกอบต่างๆ ของนาฬิกามา

คุมกันเข้าเป็นนาฬิกาทั้งเรือน มีเล่มเดียว คือเล่มที่ ๓๔. ๑. แม่บทหรือมาติกา แม่บทหรือมาติกานี้ แบ่งออกเป็น ๒ หัวข้อใหญ่ คือ อภิธัมมมาติกา ได้แก่ แม่บท

หรือกระทู้ธรรมที่เป็นฝ่ายอภิธรรมอย่างหนึ่ง. สุตตันตมาติกา ได้แก่ แม่บทหรือกระทู้

ธรรมที่ฝ่ายพระสูตร คือนำ ธรรมะจากพระสูตรมาตั้งเทียบเคียงให้ดูอีกอย่างหนึ่ง. แม่

บทฝ่ายพระสูตรไม่มีหัวย่อย คงกล่าวถึงชื่อธรรมะต่างๆ แต่ต้นจนจบ ส่วนแม่บทฝ่าย

อภิธรรม แบ่งออกเป็นหัวข้อย่อย ๑๔ หัวข้อเฉพาะเล่มที่ ๓๔ ซึ่งมีชื่อว่า " ธัมมสังคณี

" (รวมกลุ่มธรรมะ) นั้น แบ่งออก เป็น ๕ หัวข้อใหญ่ ดังต่อไปนี้ :

๑. หัวข้อที่เป็นกระทู้ธรรมหรือแม่บท (มาติกา) เท่ากับเป็นแก่นหรือ สาระสำคัญ

ของ ธัมมสังคณี แต่มีย่อมาก จึงจำเป็นต้องมีหัวข้ออื่นๆ ต่อๆ ไปอีก ๔ ข้อ เพื่อช่วย

ขยายความ.

๒. คำอธิบายเรื่องจิตว่าเกิดขึ้นอย่างไร (จิตตุปปาทกัณฑ์) เป็นคำ อธิบาย

เพียงบางส่วนของมาติกาหรือแม่บท เฉพาะที่เกี่ยวกับจิตกับธรรมะที่เนื่องด้วยจิต (ที่

เรียกว่าเจตสิก) จัดว่าเป็นคำอธิบาย ที่พิสดารที่สุดกว่าหัวข้อทุกๆ หัวข้อ.

๓. คำอธิบายเรื่องรูปคือส่วนที่เป็นร่างกาย (รูปกัณฑ์) เมื่อแยกพูด เรื่องจิต

และเจตสิกไว้ใน ข้อที่ ๒แล้ว จึงพูดเรื่องรูปหรือกายไว้ในข้อที่ ๓ นี้.

๔. คำอธิบายแม่บทหรือมาติกาที่ตั้งไว้ในข้อหนึ่ง หมดทุกข้อ (นิกเขปกัณฑ์)

เป็นการอธิบายบทตั้งทุกบทด้วยคำอธิบายขนาดกลาง ไม่ยาวเกินไป ไม่สั้นเกินไป. ไม่

เหมือนกับข้อ ๒ และข้อ ๓ ซึ่งอธิบายเฉพาะบทตั้งเพียงบางบทอย่างพิสดาร.

๕. คำอธิบายแม่บทหรือมาติกาที่ตั้งไว้ในข้อหนึ่งแบบรวบรัดหมดทุกข้อ (อัตถุท

ธารกัณฑ์) ๒ หัวข้อนี้อธิบายอย่างย่อมาก.

ได้กล่าวไว้แล้วว่า ในแม่บทของเล่มที่ ๓๔ นี้ แบ่งหัวข้อหรือแม่บทใหญ่ออกเป็น

ฝ่ายอภิธรรม กับฝ่ายพระสูตร เพื่อให้เทียบเคียงกันดู. แม่บทฝ่ายอภิธรรมมี ๑๒๒ หัว

ข้อ (หัวข้อละ ๓ ประเด็น มี ๒๒, หัวข้อละ ๒ ประเด็น มี ๑๐๐) ส่วนแม่บทฝ่ายพระ

สูตร มี ๔๒ หัวข้อ (หัวข้อละ ๒ ประเด็น) แต่ไม่มีคำอธิบายแม่บทฝ่ายพระสูตร คง

นำมาตั้งไว้ให้ทราบเท่านั้น

ตัวอย่างของแม่บทฝ่ายพระอภิธรรม ๑. กุสลติกะ กุสลา ธมฺมา ธรรมเป็นกุศล

อกุสลา ธมฺมา ธรรมเป็นอกุศล

อพฺยากตา ธมฺมา ธรรมเป็นอัพยากฤต

๒. เวทนาติกะ สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา ธรรมสัมปยุตด้วยสุขเวทนา ทุกฺขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา ธรรมสัมปยุตด้วยทุกขเวทนา อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา ธรรมสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา ตัวอย่างแม่บทฝ่ายพระสูตร สุตตันตมาติกา ๔๒ ทุกะ คืออธิวจนทุกะ ธรรมคือคำร้องเรียก, ธรรมคือทางแห่งคำร้องเรียก นิรุตติทุกะ ธรรมคือภาษาพูด, ธรรมคือทางแห่งภาษาพูด ปัญญัติติทุกะ ธรรมคือบัญญัติ, ธรรมคือทางแห่งบัญญัติ ขอเจริญในธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
อิคิว
วันที่ 14 มี.ค. 2550

ขออนุโมทนา

อารมณ์บัญญัติ เป็นธาตุอะไร จัดอยู่ในขันธ์อะไร เป็นอายตนะภายในหรือภายนอก มี

อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด เป็นปรมัตถ์ธรรมอะไร เราจะรู้ว่ามีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้

ทางทวารไหน มีลักษณะของอารมณ์เป็นอย่างไรครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
devout
วันที่ 14 มี.ค. 2550

บัญญัติไม่เป็นธาตุ ไม่เป็นขันธ์ ไม่เป็นอายตนะ ไม่ใช่ปรมัตถธรรม เพราะไม่มี

สภาวะ คือลักษณะที่เป็นจริงที่ปรากฎให้รู้ได้ แต่บัญญัติเป็นธัมมารมณ์ คือรู้ได้ด้วยใจ

เท่านั้น ตามการปรุงแต่งของสัญญาและสังขารขันธ์

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
อิคิว
วันที่ 15 มี.ค. 2550

ขออนุโมทนาเมื่อจิตมีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้ และจิตมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ได้รวมทั้งบัญญัติอารมณ์นี้

เป็นธรรมารมณ์ที่รู้ได้ทางมโนทวาร อารมณ์นี้จะเป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต หรือเป็น

ทั้งสองอย่างได้ไหมครับ (ผมต้องกราบขออภัยที่ต้องซักถามหลายประเด็น เพียง

เพราะผมต้องการกำหนดรู้ให้ชัดในอารมณ์นี้ ผมเพิ่งจะทราบชื่อบัญญัตินี้ในกระทู้นี้ได้

ไม่นาน หาได้มีเจตนาอื่นแต่ประการใด)

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
study
วันที่ 15 มี.ค. 2550

อารมณ์ของจิตเป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ เป็นอัพพยากตะก็ได้

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ