ไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับความเข้าใจพระธรรม

 
khampan.a
วันที่  9 ธ.ค. 2561
หมายเลข  30295
อ่าน  1,859

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

(ภาพขณะสนทนา)

ประมวลสาระสำคัญ

จากการสนทนาพิเศษ เรื่อง

“พุทธบริษัท ทำอะไรที่ทำลายพระธรรมวินัย”

ที่บ้านคุณทักษพล-คุณจริยา เจียมวิจิตร

วันอาทิตย์ที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๑

~ ถ้ามีใครชวนใครไปปฏิบัติ ก็น่าจะถามว่าไปทำอะไร ไปทำทำไม ซึ่งคำตอบไม่ตรงกับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีความเข้าใจพระธรรมเลย ก็ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดปฏิปัตติ (ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ) ได้ เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ทุกคำของพระองค์ลึกซึ้ง และต้องเข้าใจถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ธรรม ต้องรู้ว่าธรรมคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ทุกคำที่ตรัส กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ทรงแสดงว่าทุกอย่างที่มีจริง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น แล้วจะให้ใครทำอะไรได้หรือ? เพราะฉะนั้น ก็สมควรอย่างยิ่งที่ใครที่เมื่อถูกชักชวนหรือบอกว่าให้ไปปฏิบัติธรรม ก็น่าจะสอบถาม ว่า ปฏิบัติคืออะไร และให้ไปทำอะไร เพื่ออะไร แล้วจะรู้อะไร?

~ เวลานี้ไม่เข้าใจอะไรเลย และหนทางที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ มีไหม? ก็ต้องมี หนทางนั้นคืออะไร? คือ ความเข้าใจมาจากการฟังพระธรรม ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้นได้

~ ภาวนา คือ การอบรมปัญญา ไม่ใช่ไปนั่งอยากจะรู้ หรือว่าไปท่องบ่นว่าขอให้ปัญญาเกิด แต่ไม่ใช่เลย เพราะปัญญาจะเกิดจากการไปนั่งดู ไม่ได้ (แต่ต้องได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง)

~ โลภะ (ความติดข้องต้องการ) เห็นยากอย่างยิ่ง ละเอียดอย่างยิ่ง แล้วอะไรจะละโลภะได้ ก็ต้องเป็นปัญญา แล้วปัญญาอยู่ไหน?

~ ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นปัญญา สามารถที่จะทำให้คนที่ได้ฟังมีความเข้าใจถูก เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยในสังสารวัฏฏ์ นี่คืออานุภาพ หรือ ปาฏิหาริย์ คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระมหากรุณาของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงมีพระมหากรุณาที่จะให้เปิดสำนักปฏิบัติแล้วก็ให้คนไปปฏิบัติ

~ คนที่ปฏิเสธปริยัติหรือสละปริยัติ แล้วใครทรงแสดงพระปริยัติ? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระปริยัติ และผู้ที่กล่าวว่าสละปริยัติ หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า ไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริง ว่า ทั้งหมดที่มี ไม่ใช่เรา แล้วเมื่อไหร่จะรู้อย่างนั้นโดยละเอียดอย่างยิ่งในขณะนี้ตามปกติ เพราะว่าทรงแสดงหนทางที่จะทำให้ละความไม่รู้แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงจนสามารถที่จะดับความเห็นผิดที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

~ หลงว่าตัวเองรู้ ก็ชักชวนคนอื่นให้ทำสิ่งที่ตัวเองทำ เป็นโทษอย่างยิ่ง

~ การประพฤติปฏิบัติด้วยความเข้าใจผิดหลงผิด ก็จะแสวงหาในทางที่ผิด ล่วงเลยไปสู่ความเห็นผิดต่างๆ เพิ่มขึ้น

~ การที่ได้พูดความจริงแล้วทำให้คนมีความเห็นที่ถูกต้อง เท่ากับว่าได้กล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้คนอื่นได้มีโอกาสรู้ว่าอะไรไม่ตรง อะไรไม่เป็นไปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็จะต้องเป็นประโยชน์ที่จะทำให้คนได้รู้ถูกต้องตามความเป็นจริง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้มีโอกาสที่จะทำให้คนได้เข้าใจพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ซึ่งก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่าเข้าใจว่าหลายคนที่ผิด เขาจะไม่พูด (ว่าเขาผิด ปฏิบัติผิด) ไม่ทราบว่าจะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวธรรมท่ามกลางพวกเดียรถีย์ผู้ที่มีความเห็นผิด เพื่อประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ เพราะเหตุว่า ถ้ามีความเห็นผิด ความเห็นผิดนั้นไม่ใช่เพียงแค่นั้น ยังจะต้องติดตามไปถึงชาติต่อๆ ไป จนกระทั่งแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ไหนก็ตาม อย่างเช่นพระองค์นี้ประทับที่พระวิหารเชตวัน พวกที่มีความเห็นผิดไม่มาเฝ้า ไม่มาฟังธรรม เพราะเขาคิดว่าที่เขาทำนั้นสมควรแล้ว เพราะฉะนั้น การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงด้วยพระมหากรุณา ก็เพื่อที่จะให้คนได้เข้าใจถูกต้อง ซึ่งถ้าพระองค์ไม่ตรัสคำจริงให้คนอื่นได้รู้ คนอื่นก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าความถูกต้องและความจริงคืออะไร เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่กล่าวคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นผู้ที่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงกล่าวคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและกล่าวคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ซึ่งจะทำให้หลายๆ คนได้พ้นจากการที่จะสะสมความเห็นผิดต่อไปซึ่งไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ก็ต้องฟังคำของพระองค์ เพราะว่าเป็นสาวก คือ ผู้ฟังคำของพระองค์

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครที่จะเปรียบพระองค์ได้ในทุกทาง คนที่ไปเฝ้าพระองค์ เขาสะสมอะไรมาสมควรที่จะเข้าใจสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสดงสิ่งนั้นกับบุคคลนั้น ทั้งหมดเป็นกรรมฐาน (ที่ตั้งแห่งการอบรมเจริญปัญญา) เพราะเหตุว่า เป็นหน้าที่ของปัญญาที่เมื่อผู้นั้นได้ฟังแล้วมีความเข้าใจที่ถูกต้อง

~ เพียงหนึ่งขณะจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ที่เรียกว่าตาย ไม่นานเลย แค่หนึ่งขณะจิตนี้เกิดขึ้นแล้วดับ จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อเป็นชาติหน้าต่อไปทันที ไม่มีทรัพย์สมบัติที่เคยมีในชาตินี้ ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา เพราะฉะนั้น ใครจะแสวงหาสักเท่าไหร่ก็ตาม ไม่มีทางที่จะเป็นเจ้าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย และพร้อมที่จะจาก คือ หมดสิ้นไปเมื่อไหร่ได้หมดเลย

~ พุทธานุสสติ คือ สติที่เกิดขึ้นระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เคยเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แม้จะพูดคำว่า "พุทฺโธ" ไปทั้งวัน ก็ไม่เข้าใจอะไรเลย

~ แม้เพราะเหตุนี้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรม และ แม้เพราะเหตุนี้ที่พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรม เราจึงมีโอกาสได้ฟังและเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

~ พระพุทธศาสนา ไม่ใช่สำหรับ "ค่าย" แต่สำหรับผู้ที่สะสมมาที่จะเห็นความประเสริฐยิ่งของการที่จะได้มีโอกาสได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็ไม่มีใครที่จะสามารถให้ความจริงของสิ่งนี้ได้เลยนอกจากพระสัมมามาสัมพุทธเจ้า

~ ต้องอาศัยความเข้าใจซึ่งเกิดจากการฟังพระธรรมแล้วก็ไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรม ก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับความเข้าใจพระธรรม ตลอดชีวิต จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าสิ่งอื่นไม่สามารถที่จะนำไปได้เลย นอกจากกุศลและอกุศลติดตามไป

~ ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีอะไรเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ถูก ผิด อย่างไร

~ เด็กต้องตามผู้ใหญ่แน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใหญ่สนใจธรรม ไม่ต้องบังคับเด็กเลย เด็กได้ยินอยู่แล้ว ที่บ้านก็ได้ยิน ในรถยนต์ก็ได้ยิน ก็จะเป็นประโยชน์กว่าที่จะไปมีค่าย ซึ่งทำไมในครั้งพุทธกาล ไม่มี? เพราะท่านเหล่านั้นเห็นถูกต้องว่าธรรมเป็นเรื่องของการสะสมที่จะต้องค่อยๆ เห็นประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์อย่างนี้ ผู้ใหญ่ก็เริ่มต้น ถ้าผู้ใหญ่เริ่มต้น (ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม) คิดว่าสำเร็จไปพอสมควร (ในการที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็ก เป็นผู้นำเด็กในทางที่ถูกต้อง)

~ ใครก็ตามอยู่ที่ไหนก็ตาม ที่เขาสะสมมาที่จะสามารถเข้าใจธรรมได้ ก็เป็นโอกาสที่เขาจะได้เข้าใจ และเผยแพร่ความเข้าใจให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เหมือนอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระศาสนา เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีประโยชน์ที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ก็เพราะมีความเห็นที่ถูกต้อง

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสคำจริงหรือเปล่า ตรัสคำตรงหรือเปล่า แล้วตรัสเพื่อประโยชน์หรือเปล่า? แล้วถ้าใครที่เข้าใจถูกต้อง ควรที่จะให้คนอื่นได้รู้ถูกต้อง หรือเปล่า?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้เราเกิดอกุศล แต่ตรัสให้รู้ว่าสิ่งใดควร และสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่คำชม ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญสำหรับเรา แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ สามารถที่จะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา แล้วถ้าไม่ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ ไม่สืบทอดพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว พระธรรมก็อันตรธาน (สูญสิ้น)

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้ไปปฏิบัติ และในครั้งพุทธกาลก็ไม่มีสำนักปฏิบัติเลย แล้วทำไมสมัยนี้ มี? ยุคนี้ มีสำนักปฏิบัติมากมาย แต่ในสมัยพุทธกาล ไม่มีสำนักปฏิบัติ เพราะว่า มีความเข้าใจว่าธรรม เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) และการประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่ใช่เราด้วย แต่ต้องอาศัยความเข้าใจ ซึ่งก่อนที่จะได้ฟังธรรม ไม่มี (ความเข้าใจ) เลย แต่เมื่อได้เข้าใจหลังจากที่ฟังแล้ว ก็รู้ว่า ไม่มีเรา พระพุทธเจ้าตรัสหรือเปล่า ว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา?


(ทีมงานอาสาสมัครบันทึกวีดีโอการสนทนาพิเศษในครั้งนี้)

....กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Nataya
วันที่ 9 ธ.ค. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
panasda
วันที่ 10 ธ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Ponla
วันที่ 10 ธ.ค. 2561

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน สาธุๆ คะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มกร
วันที่ 10 ธ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 10 ธ.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ