ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ หายโง่

 
khampan.a
วันที่  12 ต.ค. 2561
หมายเลข  30160
อ่าน  2,282

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ประมวลสาระสำคัญ

จากการสนทนาธรรม

ที่โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ

วันศุกร์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑
















~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี (คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) นานมาก เพื่อที่จะรู้ความจริงซึ่งมีอยู่ทุกขณะ แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ เพราะยังไม่มีการตรัสรู้ความจริงเมื่อไหร่ คำที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง จะมีไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงโอกาสที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะทรงแสดง ด้วยความลึกซึ้งอย่างยิ่งของคำที่พวกเราจะได้ศึกษาได้เข้าใจถูกต้องว่าแต่ละคำมาจากจากปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งไม่มีใครที่จะเทียบได้เลย


~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ อะไร มีจริง?

~ มีผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจ ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เคยได้ยินได้ฟังมา ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้ที่เข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงได้ยินว่ามีผู้ตรัสรู้ธรรม บางคนอยู่ใกล้มาก เช่นพวกเดียรถีย์ ไม่ไปเฝ้าเลย แต่ฟังครูบาอาจารย์ ไม่เข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็มีผู้ที่พอได้ฟังแล้ว เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี แค่ได้ยินคำว่าพุทโธ (พระพุทธเจ้า) ท่านนอนไม่หลับเลย เพราะอยากที่จะได้ฟังคำที่พระองค์ตรัสว่าคำนั้นแสดงถึงความจริงว่าอย่างไร

~ เห็น ไม่ใช่ตาและไม่ใช่สิ่งที่กระทบตา

~ ที่กล่าวว่าเป็นคนสัตว์หรือว่าสิ่งที่มีชีวิตนั้น ความจริง ก็คือ เป็นรูปธรรม (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) และนามธรรม (สภาพรู้) เท่านั้น ที่เกิดขึ้นหลากหลาย ต่างๆ นานา

~ มีความไม่รู้ความจริงทุกภพชาติ ตั้งแต่เกิดมา แล้วเราก็กำลังจะตาย โดยที่เราไม่รู้อะไรเลย เหมือนมืดไหม? ชาตินี้ไม่เหลือ แล้วก็ไม่รู้ด้วย เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ว่า อวิชชา (ความไม่รู้) มืด แล้วก็หลง เพราะไม่รู้ความจริง

~ อวิชชา ความไม่รู้ มีจริง เป็นธรรม นี่คือ เริ่มรู้จักพระพุทธศาสนาซึ่งชาวพุทธไม่รู้จัก ถ้าไม่ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง จริง แม้แต่คิด แม้แต่จำ ทั้งหมดอะไรก็ตามที่ปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ เป็นธรรม ทั้งหมด

~ ไม่มีคำว่าบังเอิญ แต่ว่ามีเหตุปัจจัยทุกอย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง ไม่ว่าจะเห็นอะไร ได้ยินอะไรทั้งหมด ล้วนมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น

~ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ มีการเสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีการนินทา มีสุขแล้วก็ต้องเสื่อมไปเป็นทุกข์ แล้วแต่อะไรจะเกิดก่อน เกิดหลัง เมื่อไหร่ แสดงความไม่เที่ยง แต่เพราะไม่รู้ ก็โศกเศร้า แต่ว่า ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างหาเป็นของใคร ไม่

~ กรรมที่ทำไว้ สะสมอยู่ในจิต แล้วจะหายไปได้อย่างไร จะมีใครลักขโมยไปได้ไหม? ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้น ที่เก็บที่ปลอดภัยที่สุด แดดลมก็ไม่แตะต้อง ไม่กระทบกระเทือนใดๆ เลยทั้งสิ้น คือ สิ่งที่สะสมอยู่ในจิต เพราะฉะนั้น บุญ (กุศล, ความดี) บาป (อกุศล, ความชั่ว) ที่สะสมมา ไม่มีทางหายไปไหนเลย

~ ความไม่รู้ ทำให้เกิดความติดข้อง ทำให้เกิดอกุศล ทำให้เกิดกิเลสมากมาย เกิดความเห็นแก่ตัวทุกอย่าง แต่ความรู้ (ปัญญา) ตรงกันข้าม เริ่มละคลายความติดข้อง เพราะฉะนั้น บุญกุศลทั้งหลาย ก็เจริญขึ้น เพราะไม่ติดข้อง เพราะรู้ความจริง ว่า แต่ละอย่าง ก็เป็นแค่ธรรม

~ มีใครบ้างเกิดแล้วไม่ตาย ทั้งๆ รู้ แล้วอย่างไร? จะอยู่ไปโดยไม่รู้ต่อไปหรือว่าจะมีชีวิตอยู่ก็เป็นประโยชน์เมื่อรู้เมื่อเข้าใจความจริง ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า ในบรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหมด ปัญญาประเสริฐที่สุด เพราะถ้ามีปัญญาเมื่อไหร่ ไม่มีทุกข์ เพราะรู้ความจริง ว่า ไม่มีเรา แค่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

~ มิตร คือ เพื่อน เพื่อนคือใคร? คือ ผู้ที่หวังดี พร้อมที่จะทำประโยชน์เกื้อกูล ถ้าขณะนั้นไม่เป็นอย่างนี้ ก็ไม่ใช่มิตร เพราะฉะนั้น มิตร ต้องให้สิ่งที่ดีที่สุด ให้ความจริง ไม่ใช่ให้สิ่งที่ไม่จริงหรือว่าไม่ใช่ให้เข้าใจผิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นกัลยาณมิตรสูงสุด เพราะฉะนั้น ใครที่รู้จักพระองค์แล้วก็มีคุณความดีที่ได้เข้าใจธรรม ย่อมกล่าวคำของพระองค์ เพื่อที่จะให้คนอื่นได้ประโยชน์ด้วย ไม่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดหรือว่าไม่ช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา เพราะถ้าทำให้คนอื่นเข้าใจผิด นั่น เป็นสิ่งที่เป็นโทษอย่างยิ่ง เพราะทำลายประโยชน์สูงสุด

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ คนฟังเข้าใจได้ และก็เข้าใจขึ้นๆ ได้ เพราะฉะนั้น จึงมีประโยชน์ ที่จะต้องเข้าใจตรงตามความเป็นจริง ว่า ปัญญาทั้งหมด จะต้องเริ่มต้น ทีละเล็กทีละน้อย จากคำทีละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ถ้าเห็นว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดดับ เห็นจริงๆ ว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากสิ่งที่เกิดดับ ก็จะพ้นจากความเป็นทาสของความติดข้อง และความเห็นผิดว่าเป็นเรา

~ ถ้าสะสมความติดข้องไว้มาก เช่น บางคนไปตลาดนัด อยากได้ของหมดทุกอย่างเลย ทุกอย่างน่าซื้อไปหมด เพราะความติดข้อง แต่ถ้าเป็นคนที่สะสมความหงุดหงิด ความโกรธ ความไม่พอใจมามาก ต่อให้อยู่ที่ไหนที่พร้อมไปด้วยสิ่งที่น่าพอใจ เขาก็หงุดหงิดได้ หาเรื่องหงุดหงิดจนได้ เห็นไหมใครจะไปห้ามไปยับยั้งอย่างไรก็ไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่า มีเหตุที่จะทำให้เป็นอย่างนั้น ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น แต่ละคนหลากหลายมากในทุกทาง ตามการสะสม แม้ขณะนี้ ฟังคำเดียวกัน ความเข้าใจต่างกัน ความสนใจต่างกัน ความเห็นประโยชน์ต่างกัน ความคิดต่างกัน

~ ถ้าพรุ่งนี้เราฟังพระธรรมอีก ความเข้าใจจากวันนี้จะปรุงแต่งให้เข้าใจคำเดิมที่ได้ฟัง มากขึ้นชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) ถ้าไม่มีเหตุ ก็ไม่เกิด แต่เมื่อมีเหตุแล้วพร้อมที่จะเกิด ใครจะบังคับไม่ให้เกิด ไม่ได้เลย

~ ใครหวังที่จะเป็นคนดียิ่งขึ้น ไม่มีทางสำเร็จ ถ้าไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ความเข้าใจหรือปัญญา จะนำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นกุศลที่เป็นส่วนที่ดีงาม ไม่ใช่เรา แต่ความเห็นถูกความเข้าใจถูก ทำหน้าที่ของการรู้ว่า อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร

~ ประมาทไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าคนต่อไปที่มาจากเราในชาตินี้ จะไปทำกรรมอะไรสาหัสหรือเปล่า ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ประมาทกิเลสไม่ได้เลย อันตรายอย่างยิ่ง

~ เชื่อคำของคนอื่นที่ทำให้เราเข้าใจผิด จะมีประโยชน์อะไร

~ เกิดมาคนเดียว เห็นคนเดียว ทำกรรมคนเดียว รับผลของกรรมคนเดียว แล้วชาติต่อๆ ไปยังมีอีกมาก เพราะฉะนั้น ขอให้เป็นความสว่างไสวทีละเล็กทีละน้อยที่จะได้รู้ความจริง ที่จะไม่ไปในหนทางที่ผิด เพราะเหตุว่า ถ้าผิดชาตินี้ ชาติต่อไปก็ผิดต่อไป เหมือนพวกเดียรถีย์ในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ก็ไม่มาเฝ้า ใครก็ช่วยไม่ได้เพราะสะสมมา

~ มีความหวังดีที่จะให้ความจริงความถูกต้อง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เพราะชาตินี้จะนำไปสู่ชาติต่อๆ ไป ถ้ามีความเห็นผิดมาก ก็นำไปหาสิ่งที่ผิดคำที่ผิดหลงเชื่อว่าเป็นคำที่ถูก ใครก็ช่วยไม่ได้

~ เห็นคุณค่าของความจริง ซึ่งเป็นประโยชน์ที่จะทำให้เข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้น

~ "เก็บไว้ในหทัย" ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่ง แต่คำที่มีค่า ควรที่เราจะไม่ลืม ไหม? นี่เป็นความเข้าใจของเราหลังจากที่ได้ฟังแล้ว เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ไม่ใช่สั่งให้เราทำ แต่แสดงความจริงให้เข้าใจ

~ เห็นประโยชน์ของพระธรรมแล้วไม่ลืม นั่นคือ เก็บไว้ในหทัยแล้ว

~ ผู้ให้ ก็จะปลาบปลื้ม แต่ผู้รับ ใหม่ๆ ก็จะยากที่จะเป็นผู้รับ เพราะว่าเกรงใจคนให้บ้างหรืออะไรหลายๆ อย่าง โอกาสที่จะทำกุศลของใคร เกิดยากทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เกิดกุศล ก็ให้เขา (ได้มีโอกาสได้ทำกุศล) เถอะ เพราะว่าเขามีโอกาสที่จะเกิด (กุศล) แต่เราก็มีโอกาสที่จะได้เจริญกุศลอื่นๆ อีก

~ คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัส เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะเป็นความจริง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเชื่อ แต่ฟังแล้วพิจารณาและเข้าใจ ความเข้าใจนี้เป็นสมบัติที่เป็นของเราจริงๆ ที่ได้จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า เป็นความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งติดตามไปได้

~ จริงๆ แล้ว ไม่มีเรา ต้องมั่นคง ไม่มีเรา แต่มีธรรม และ ธรรม ไม่ใช่เรา

~ ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ หายโง่



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Selaruck
วันที่ 13 ต.ค. 2561

"เกิดมาคนเดียว เห็นคนเดียว ทำกรรมคนเดียว รับผลกรรมคนเดียว"

จริงที่สุด

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยเกล้า

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
panasda
วันที่ 13 ต.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
William_Tan
วันที่ 13 ต.ค. 2561

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pulit
วันที่ 13 ต.ค. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
มกร
วันที่ 13 ต.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ