ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ร้านแม่นงนุช หัวหิน ๑๓ - ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๑

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  17 ก.ค. 2561
หมายเลข  29922
อ่าน  3,661

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๑๓-๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และวิทยากร อาจารย์ธิดารัตน์ หอมจันทร์ ได้รับเชิญจากคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๑๖๕๘ เพื่อไปพักผ่อนและสนทนาธรรม ที่ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

การมาพักผ่อนและสนทนาธรรมของท่านอาจารย์จากการกราบเรียนเชิญของคุณขจีรัตน์ (คุณตู่) ในครั้งนี้ คุณตู่ได้รับความกรุณาจากพี่บี๋ (ดร.ปรีดา โกมลกิติ) และ พี่จู (คุณกุสุมา โกมลกิติ) สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๗๖ ให้ใช้บ้านพักตากอากาศที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน เป็นสถานที่พักผ่อนและสนทนาธรรมสำหรับท่านอาจารย์และคณะฯ

โดยในวันที่ ๑๓ วันแรกของการเดินทางไป คุณตู่ (ขจีรัตน์) ได้จัดเตรียมอาหารกลางวันไว้ต้อนรับท่านอาจารย์และสหายธรรมที่ ร้านแม่นงนุช ร้านข้าวเหนียวมะม่วงชื่อดังของหัวหิน ซึ่งเปิดมานานกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว ตั้งอยู่ตรงข้ามกับตลาดฉัตรไชย ซึ่งเป็นร้านของคุณตู่เอง นอกจากจะมีชื่อเสียงในเรื่องของข้าวเหนียวมะม่วงแล้ว ยังมีขนมเทียนเสวยแสนอร่อยที่ใครๆ รู้จักเป็นอย่างดี ลูกสาวคนกลางของข้าพเจ้าที่ทำงานอยู่ที่การบินไทยสุวรรณภูมิเคยนำไปให้พี่ๆ เพื่อนๆ ที่ทำงานรับประทาน เธอกลับมารายงานว่า พี่ๆ ที่ทำงานถามว่าขนมเทียนจาก ร้านแม่นงนุช หัวหิน ใช่ไหม? แสดงว่าเป็นขนมเทียนที่โด่งดังจริงๆ (ไม่ได้โม้) ทั้งยังทราบอีกว่า ในเทศกาลตรุษจีน สารทจีน ต่างๆ คุณตู่รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าไม่หวาดไม่ไหว ทั้งที่นำไปขายต่อและรับประทานเอง เคยเห็นคุณตู่ลงภาพในไอจี มีกล่องกระดาษสำหรับบรรจุขนมเทียนขนาดต่างๆ กองเป็นภูเขาเลากาเลยทีเดียว

เมื่อไปถึง ก็ได้เห็นภาพของการจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้อย่างเรียบร้อยสวยงาม และเมื่อเดินเข้าไปสำรวจในครัว ก็พบว่าคุณตู่กำลังขมักเขม้นกับการทำอาหารต้อนรับท่านอาจารย์และพวกเรา ด้วยฝีมือของคุณตู่เอง ซึ่งคุณตู่เล่าว่า ได้ฝึกทำอาหารจานพิเศษมาก่อนล่วงหน้าคือไข่เจียวปูสูตรเจ๊ไฝ (ประตูผี) ไข่เจียวปูเลื่องชื่อที่ได้รับมิชลินสตาร์ เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งคุณตู่จัดเต็มใส่เนื้อปูก้อนโตสดใหม่เนื้อใสแจ๋วแบบไม่อั้นเลยทีเดียว

อาหารจานอื่นๆ ก็มี ออส่วนหอยนางรม ซึ่งคุณตู่จัดหนักเช่นกัน คัดแต่หอยนางรมสดตัวโตๆ มาปรุงแบบที่ว่าหอยเรียงตัวเต็มจาน มีปลาเก๋าสดๆ ตัวโตนึ่งซีอิ๊ว ยำมะม่วงสูตรโบราณที่ไม่เคยรับประทานที่ไหนมาก่อน อร่อยมากครับ ชมกันทุกคน เฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์ นอกจากนั้นก็มีแกงคั่วสับปะรดใส่กุ้งสด ที่คุณแม่ของคุณแอ๊วปรุงให้คุณแอ๊วนำมาร่วมเจริญกุศลกับคุณตู่ด้วย เหตุที่กล่าวถึงเรื่องอาหารบันทึกไว้ในกระทู้ในแต่ละครั้งอยู่บ่อยๆ ก็เพราะรู้สึกอนุโมทนาในกุศลศรัทธาและกุศลเจตนาของท่านเจ้าภาพ ทั้งเป็นการแสดงให้เห็นว่า นอกจากที่ท่านเจ้าภาพจะให้ความเป็นมิตรอย่างยิ่งแก่ผู้ที่เข้าร่วมในการสนทนาธรรม ด้วยการให้ธรรมทานอันเป็นเลิศที่สุดแล้ว ยังมีกุศลเจตนาที่จะจัดหาอาหารอย่างดีที่สุด มาไว้คอยต้อนรับทุกๆ ท่านด้วยความตั้งใจยิ่ง แสดงให้ให้เห็นถึงความพรั่งพร้อมของทาน ที่บางบุคคลสละ ละได้ยาก (มากน้อย ตามกำลัง) ซึ่งควรที่จะได้บันทึกไว้ เพื่อเป็นเหตุให้ทั้งท่านผู้ให้และท่านผู้รับ ได้ระลึกในกุศลเจตนานั้น ทั้งเป็นเหตุให้ผู้ที่ได้พบเห็น ได้ร่วมอนุโมทนาด้วย ตามการสะสม

การที่ข้าพเจ้าและภรรยาได้มีโอกาสเข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมในคราวนี้ นอกจากจะได้รับเชิญจากคุณตู่แล้ว ยังได้รับความอนุเคราะห์จากคุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) ให้เข้าพักที่บ้านพักตากอากาศของคุณแอ๊วที่ชะอำ พร้อมกับคุณเอ๋ สุภัทรา ใจชาญสุขกิจและสามี พลตำรวจตรี ปรัชญ์ชัย ใจชาญสุขกิจและหลานอีกสองคน ซึ่งเป็นเด็กที่น่ารักมาก แสดงถึงความเอาใจใส่อย่างดียิ่งจากคุณปู่และคุณย่า ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นชื่นชมเอ็นดูมาก เฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์ที่มีเมตตาหลานทั้งสองมากครับ

อีกอย่างที่จะลืมกล่าวไม่ได้ก็คือ คุณตู่สั่งทำเสื้อยืดให้ลูกน้องทั้งหมดในร้านที่มาคอยให้การต้อนรับขึ้นเป็นพิเศษ โดยมีข้อความ "ภิกษุในธรรมวินัย ไม่รับและไม่ยินดี ในเงินและทอง" ซึ่งเป็นการช่วยกันเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องในพระธรรมวินัยให้แพร่หลายกว้างขวางออกไป กราบอนุโมทนาในกุศลเจตนานะครับ

การกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์มาพักผ่อนและสนทนาธรรมที่หัวหิน นอกจากคุณตู่มีกุศลศรัทธาและกุศลเจตนาที่จะให้ท่านอาจารย์ได้พักผ่อนสบายๆ และให้พวกเรามีโอกาสได้สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์เป็นการส่วนตัวแล้ว คุณตู่ยังปรารถนาที่จะเกื้อกูลให้ลูกชายสุดที่รักคนเดียวของคุณตู่ซึ่งมีความสนใจในพระศาสนา ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงตามหนทางที่ถูกต้อง ตรงกับความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงหนทางไว้ ในพระไตรปิฎก ซึ่งทั้งหมดเป็นพระปัญญา เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอรหันต์ทั้งหลายในอดีต

พระไตรปิฎกจึงไม่ใช่หนังสือธรรมดาๆ ที่ใครๆ อ่านแล้ว จะเข้าใจได้โดยง่าย คำที่ดูธรรมดาๆ แต่มีความละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ผู้ที่ไม่ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจในอรรถอันลึกนั้นได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รู้ ที่มีความเข้าใจและสามารถชี้แนะถ่ายทอดให้เราเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องได้ ด้วยความตรง ด้วยความจริงใจ โดยปราศจากความหวังในลาภสักการะและชื่อเสียงในสมัยนี้ หากท่านทราบและเข้าใจพระธรรมถูกต้อง ย่อมจะเป็นผู้ที่รู้เองว่ามีหรือไม่ มากหรือน้อยประการใด

(พี่บี๋ขับรถเดินทางมาส่งพี่จูด้วยตัวเอง เข้ากราบท่านอาจารย์และร่วมรับประทานอาหารด้วย)

เพราะเหตุว่า ความเข้าใจธรรมะที่ทรงแสดงในหนทางที่ถูกต้อง ย่อมจะเป็นประโยชน์และสำคัญอย่างยิ่งแก่บุคคลนั้นเอง หาใช่ใครอื่นไม่ หากเป็นผู้ไม่พิจารณา ไตร่ตรองโดยละเอียด ไม่ใคร่ครวญให้ดีในเหตุและผล ย่อมจะเป็นผู้ที่ถูกโลภะ ความติดข้อง ต้องการ ซึ่งทรงแสดงว่าเป็นเพื่อนสนิท (เป็นนายช่างผู้สร้างเรือน) ที่คอยชักนำไปสู่หนทางอื่น ซึ่งเป็นหนทางของความติดข้องต้องการ ไม่ใช่หนทางที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ซึ่งเป็น "หนทางแห่งการละ" ตั้งแต่เริ่มต้น ไปจนถึงที่สุด!! ไม่ใช่หนทางของการได้ การมี และการเป็น เพราะความจริงจากการทรงตรัสรู้ ทั้งหมดเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา!! อันดับแรกของการละ คือ การละความเห็นผิดว่ามีตัวตน มีสัตว์ มีบุคคล ด้วยปัญญา ความเข้าใจที่ถูกต้อง จากการฟังและเข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ตามลำดับขั้น จนกว่าจะถึง การประจักษ์แจ้ง ความจริง ตรงตามที่ได้ฟัง ในวันหนึ่ง

ประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึง "หนทางของการละที่ถูกต้อง" คือ เมื่อเริ่มศึกษาและเริ่มเข้าใจธรรมะที่ทรงแสดง "ความเข้าใจ" ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นก็ "ละความไม่เข้าใจ" แล้ว เพราะขณะที่ความเข้าใจเกิด ความไม่เข้าใจ (อวิชชา) ก็เกิดไม่ได้ แต่หากในวันหนึ่งๆ ไม่มีการฟังธรรมะ ไม่มีความเข้าใจธรรมะเลย ตลอดทั้งวันของผู้นั้นย่อมเป็นไปกับความไม่รู้และความติดข้องประการต่างๆ ล้วนแต่เป็นขณะของอกุศลไปโดยตลอดทั้งวัน เพราะความไม่รู้ นี่เป็นความละเอียดลึกซึ้งของธรรมะ ที่เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษา บ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟัง ความเข้าใจที่สะสมไป ทีละเล็ก ทีละน้อย นั้น จะเริ่มปรากฏผลให้เห็นโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่ด้วยการไปกำหนด จดจ้อง ต้องการ แต่เป็นผู้ที่ฟังและเข้าใจแล้วๆ เล่าๆ ด้วยความอดทน ด้วยความเพียร ปัญญาความเข้าใจที่เกิดขึ้นสะสมจนมีกำลังขึ้น วันหนึ่ง จะเป็นผู้ที่เริ่มรู้ได้ถึงคำที่ท่านกล่าวว่า ธรรมะที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนี้ ละเอียด ลึกซึ้ง ยากแก่การเข้าใจจริงๆ ดังคำกล่าวที่ว่า ยิ่งเข้าใจธรรมะ ยิ่งรู้ว่าที่ยังไม่เข้าใจนั้นมีอีกมาก เปรียบเหมือนมหาสมุทรที่ลาดลึกลงไปโดยลำดับ ซึ่งก็ตรงกันข้ามกับคำของผู้ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ที่คิดว่าพระธรรมที่ทรงแสดงนั้นง่าย ซึ่งเป็นการประมาทในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริงที่มีอยู่จริงๆ ในขณะนี้ อันจะนำไปสู่ความสิ้นทุกข์ได้

(The Royal Princess Condominium หัวหิน มองเห็นเขาตะเกียบอยู่ไกลๆ )

เพราะเหตุว่า หากพระธรรมที่ทรงแสดงนั้น สามารถรู้และเข้าใจได้โดยง่าย ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีความสำคัญอะไร เพราะทรงแสดงธรรมที่ใครๆ ก็สามารถรู้และเข้าใจได้โดยง่าย แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ที่ศึกษาโดยเผิน อาจคิดว่า ในสมัยพุทธกาล บุคคลต่างๆ ในพระสูตร เพียงฟังคำไม่กี่คำก็สามารถถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ หารู้ไม่ว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ท่านสะสมการฟังและเข้าใจธรรมะในอดีตอนันตชาติมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เหมือนกับเราทั้งหลายที่มีโอกาสพบและฟัง เพื่อสะสมความเข้าใจในพระธรรมอยู่ในขณะนี้ ข้อสำคัญที่สุดคือ ต้องเป็นความเข้าใจพระธรรมในหนทางที่ถูกต้องตรงตามที่ได้ทรงแสดงไว้เท่านั้น หาไม่แล้ว หากหลงไปในหนทางที่ผิด มิจฉาทิฎฐิ ย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่งแก่สังสารวัฏของบุคคลนั้นเอง เพราะจะไม่สามารถพบกับหนทางที่จะออกจากทุกข์ในสังสารวัฏได้ ทรงแสดงถึงที่สุดของความเห็นผิดที่สะสมจนมีกำลังนั้นว่า ทำให้จมดิ่ง ปักแน่นเป็นตอในวัฏฏะ วนเวียนอยู่กับสุขและทุกข์แล้วๆ เล่าๆ ออกไปไม่ได้เลยในที่สุด แม้จะรู้ว่าน่าสงสาร แต่ก็ไม่มีใครเอาปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางไปใส่ หรือไปให้แก่ใครได้ นอกจากความเข้าใจ (คือปัญญา) ของผู้นั้นเอง ที่จะเกิดขึ้นจากการฟัง ใส่ใจ และพิจารณาไตร่ตรองโดยแยบคาย ด้วยตนเอง

ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว ฟังที่ไหนก็ได้ยิน เพราะว่าเราสนทนากันเพื่อที่จะเข้าใจ ที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะฟังอะไรทั้งหมด ไม่ต้องไปคิดว่าทำไมเราต้องซักถาม เรื่องนี้ คำนั้น เพราะเหตุว่า ต้องเข้าใจ ถ้าเราฟังผ่านหูแล้วเกรงใจบ้างอะไรบ้าง คิดว่าจะเสียเวลาคนอื่น คือ ประโยชน์ไม่ได้กับใครเลย เพราะว่า ไม่ใช่ความเข้าใจจริงๆ

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ เป็นโอกาสที่ว่า กลุ่มเล็กๆ อย่างนี้ จะได้ความเข้าใจที่ชัดเจน คือ สนทนาได้เต็มที่เลย จะเรื่องอะไรก็ได้ทั้งหมด เพราะว่า ทุกเรื่องเป็นธรรมะ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้และไม่เข้าใจ ทุกคำเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด แต่ว่าคนที่ฟังธรรมะไม่เข้าใจ คิดว่า ถึงเวลาไปฟังธรรมะต้องอีกอย่างหนึ่ง และเขาคิดว่าเรื่องของธรรมะต้องเป็นเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องชีวิตประจำวัน!!

แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ทุกขณะ ทุกอย่าง ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ แสดงว่าการตรัสรู้ของพระองค์ รู้ความจริงถึงที่สุด ที่ใครก็คะเนไม่ได้เลย ประมาณไม่ได้ว่าตรัสรู้ความจริงแค่ไหน ก็คิดว่าเพียงบางส่วน ตรงโน้นตรงนี้คงไม่ใช่ธรรมะ ที่ฟังธรรมะต้องเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ความจริงไม่ใช่!! สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรมะ!!

แค่นี้!! ต้องตั้งต้นใหม่ ตั้งต้นว่า สิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย จริงไหม? ถ้าจริงคือทั้งหมดนั้นแหละเป็นธรรมะ ที่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นธรรมะ แม้แต่ตรงนี้เองที่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ตั้งแต่ก่อนฟัง สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลย ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว เป็นธรรมะทั้งหมด!!

ให้รู้จริงๆ ว่า ทุกอย่างเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ว่าไม่มีเรา ที่สำคัญที่สุดของการฟังธรรมะ สูงสุดก็คือ มั่นคงว่าไม่มีเรา!! สิ่งที่มีนี้ ไม่ใช่เรา "เห็น" ก็ไม่ใช่เรา เพราะขณะเห็นเป็นเราเห็น แต่ขณะไม่เห็น เราหายไปไหน? ก็ต้องไม่มี แต่พอมีอะไรเกิดขึ้น เราได้ยิน พอคิดเกิดขึ้นก็ "เราคิด"

เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นสิ่งที่สามารถประจักษ์ได้ด้วยว่า ทั้งหมดคำสอนของพระองค์ ไม่ใช่มาจากการแค่คิด แต่การประจักษ์แจ้งเดี๋ยวนี้ทุกคำที่ทรงแสดงว่า พระองค์ได้ตรัสรู้ เห็นเกิดขึ้นแล้วเห็นดับ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา สิ่งที่เกิดแล้วไม่ดับมีไหม? ถ้ามีหมายความว่าคนนั้นไม่รู้ความจริง

"เห็น" ที่หัวหินดับไปหรือยัง? อยู่ไหน? เห็นตรงนั้นอยู่ไหน? (ท่านถามถึงเมื่อช่วงเที่ยงที่แวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านแม่มนงนุช หัวหิน ก่อนเดินทางมาสนทนาธรรมที่นี่) เพราะฉะนั้น "เห็น" เดี๋ยวนี้เหมือนกันเลย แต่ไม่รู้!! คนที่ไม่รู้ กับ คนที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ห่างกันแค่ไหน? ประมาณไม่ได้เลย!!

เพราะฉะนั้น หนทางเดียวคือฟังแล้วรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากขึ้น ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าพระองค์ตรัสรู้อะไร ได้แต่สอนๆ แต่ว่าสอนทุกคำ ต้องไตร่ตรองว่า ไม่ใช่เพราะการเพียงแค่คิด แต่ตรัสรู้จริงๆ ขณะเกิดต้องรู้ ขณะดับก็รู้ แต่เกิดสืบต่อก็รู้ อาศัยอะไรก็รู้ ทุกอย่างหมด มากกว่าที่เราคิด!!

เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดง พระองค์ตรัสด้วยพระปัญญาคุณสูงสุด ตรัสรู้!! แต่คนอ่าน ไปเทียบได้ไหม? เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจคำที่ผู้มีปัญญาสูงสุดตรัสไว้ กับคำที่คนไปอ่าน จะเข้าใจเหมือนอย่างพระองค์ได้อย่างไร? เทียบไม่ได้เลย!!

เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้ ว่ามีโอกาสได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้เห็นความยาก ละเอียด ลึกซึ้ง ไม่เหมือนใคร คำของพระองค์ไม่เหมือนใคร มีใครคนไหนที่จะบอกว่าขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏนี้แหละเกิด-ดับ ถามใครก็ไม่มีใครพูด เพราะเขาไม่ ประจักษ์แจ้ง เขาจะพูดได้อย่างไร แต่นี่ตรัสรู้แล้ว "ทรงแสดงความจริงให้ได้ไตร่ตรอง" ใน "ขั้นการฟัง" ซึ่งเป็นการเพาะปลูกปัญญาให้เกิดขึ้น เจริญขึ้น จนกว่าสามารถที่จะรู้จริงอย่างที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ไม่อย่างนั้นไม่มีประโยชน์ของการบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แค่รู้พระองค์เดียว นี่ให้คนอื่นรู้ได้ตั้งมากมาย

พี่อรวรรณ กราบเรียนท่านอาจารย์ เมื่อกี้ท่านอาจารย์กล่าวว่า สูงสุดของการฟังธรรมะให้เข้าใจก็คือ "ไม่มีเรา" ก็จะเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ว่า ในเมื่อเป็นสูงสุดของการฟังเข้าใจ แต่ท่านอาจารย์ก็มาเริ่มต้นว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรา เหมือนกับว่าเอาสิ่งที่ยากมากมาให้เริ่มต้นเข้าใจ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สูงสุดคืออะไร?
พี่อรวรรณ สูงสุดก็คือ ก็เข้าใจว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการตั้งต้น จะถึงสูงสุดได้ไหม?
พี่อรวรรณ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ได้แค่พูด แต่นี่ไม่ใช่แค่พูด จะ ประจักษ์ อย่างที่ได้ฟัง!! เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการเริ่มต้นที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วจะไปถึงสูงสุดได้อย่างไร อยู่ที่ดินอย่างนี้แล้วจะไปถึงสูงสุดได้อย่างไร?

พี่อรวรรณ กราบท่านอาจารย์ นั่นหมายความว่า ...
ท่านอาจารย์ ต้อง "เริ่มต้น" จาก "คำจริงทุกคำ" ตามลำดับขั้น ตั้งแต่คำว่า "ธรรมะคืออะไร?" เดี๋ยวนี้คืออะไร?
พี่อรวรรณ สิ่งที่มีจริง "เห็น" มีจริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ เริ่มรู้ว่ามีจริงๆ เพราะเกิดขึ้น แต่ "ขณะเกิด" ไม่รู้!! เกิดแล้วก็ดับไป ก็ไม่รู้อีก แต่เริ่มฟังจากผู้ที่ทรงตรัสรู้ ค่อยๆ พิจารณาว่าจริงหรือเปล่า? เพราะไม่ได้มีเห็นอยู่ตลอดเวลา "ได้ยิน" ไม่ใช่ "เห็น" พอ "ได้ยิน" เกิด "เสียง" ปรากฏ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" กับ "เห็น" ต้องไม่มี!! คนละขณะ!! เกิดพร้อมกันไม่ได้!!

พี่อรวรรณ กราบเรียนท่านอาจารย์ เมื่อฟังไปก็ตั้งต้นเข้าใจได้ว่า ความจริง จริงๆ แล้วคือ ไม่มีเรา มีแต่ธรรมะแต่ละลักษณะ เช่น เห็นขณะนี้เกิดแล้วก็ดับ ได้ยินขณะนี้เกิดแล้วก็ดับ เรียนไปก็จะรู้ว่า การเห็น การได้ยิน เกิดตามเหตุปัจจัยมากมาย เช่น ต้องมีตาจึงเห็น ตาก็เกิดจากกรรม เรียนละเอียดก็จะรู้ความเป็นปัจจัยของความเป็นจริงที่กำลังมีกำลังปรากฏขณะนี้มากมาย

ท่านอาจารย์ เพื่อรู้ว่า "ไม่ใช่เรา"
พี่อรวรรณ เมื่อเรียนละเอียดก็จะรู้ว่า หาเราได้ที่ไหน ในเมื่อไม่มีตาก็เห็นไม่ได้ ไม่มีสีก็เห็นไม่ได้ แล้วตาก็ต้องมีปัจจัยให้เกิด เพราะฉะนั้น การเรียนละเอียด ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แล้วเป็นอนัตตา ก็สนทนากัน เพื่อให้เป็นความมั่นคง

ท่านอาจารย์ เพื่อเข้าใจให้ถูกต้องยิ่งขึ้น จนกระทั่ง "สามารถ ประจักษ์แจ้งความจริง ได้" ว่าไม่มีเรา!! แค่พูดจะมีความหมายอะไร? พูดตามไปเท่านั้นเอง
พี่อรวรรณ แค่พูดไม่มีความหมาย แต่การเริ่มต้นฟัง เข้าใจ เช่นนี้ จะเป็นปัจจัยให้..
ท่านอาจารย์ แต่ความเข้าใจจริงๆ ม่ใช่เพียงแค่พูด!! เพราะฉะนั้น เวลานี้ เข้าใจจริงๆ หรือยัง? เห็นไหม?
พี่อรวรรณ เพียงแค่พูดหรือฟัง แค่ฟังก็ยากมากๆ แล้ว การที่จะเข้าใจแล้วรู้ตรง ก็ทราบว่าต้องเป็นปัญญาที่ต้องมั่นคงขั้นฟังว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่เราจริงๆ ปัญญาที่จะรู้ตรงถึงเกิดได้ แต่ท่านอาจารย์บอกว่า นี่เพียงแค่ฟัง เพียงแค่ฟังก็ยากมากๆ แล้วค่ะท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เริ่มจากยากมาก ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วจะ ในที่สุดคือไม่มีเรา ได้ไหม?
พี่อรวรรณ ไม่ได้ ก็ต้องเริ่มฟังเช่นนี้ ฟังไป เข้าใจไป สะสมไว้ สะสมไว้ กราบขอบพระคุณค่ะ

พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพระพุทธศาสนาเท่าไหร่ แต่ที่ผมฟังท่านพุทธทาสพูด เน้นเรื่องตัวกูของกูเยอะ อยากเรียนถามอาจารย์ว่า ตัวกูของกูคืออะไรครับ และอีกอย่างหนึ่ง ที่บอกว่า ถ้าเป็นพุทธมามกะหรืออะไร ถือศีล ๕ ก็พอ ถ้าเป็นเณรเป็นอะไรก็ศีล ๘ และถ้าเป็นพระสงฆ์ ก็ ๒๒๗ ที่นี้ ศีล ๕ จะดับทุกข์ได้ไหม? เพราะว่า คนธรรมดาอย่างเรา เดี๋ยวก็โมโห บางทีเสียของรัก ของมีค่า ก็เกิดทุกข์ บางคนก็ทุกข์แป๊บเดียว อยากเรียนถามอาจารย์ว่า จะทำอย่างไรให้เรา ไม่ยินดียินร้าย แล้วก็สงบเย็น อะไรแบบนี้ครับ จะทำอย่างไรครับ

ท่านอาจารย์ ทุกคนคิดแบบนี้หมดเลย เริ่มจากความคิดว่า "ทำอย่างไร" ก่อน "ทำได้ไหม?"
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ยังทำไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น หมดปัญหาว่าจะทำอย่างไร ใช่ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ใช่ครับ จะมีวิธีอย่างไรครับ?
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดนี้ เกิดจาก "ความไม่รู้" ใช่ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น "ความไม่รู้" จะหมดไปได้ ด้วยอะไร?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ก็ฟัง ฟัง
ท่านอาจารย์ ด้วย "ความรู้"
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ครับ ด้วยความรู้

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การที่ได้ยินได้ฟังแล้วรู้!! นั่นต่างหาก ที่จะค่อยๆ ทำให้ความเข้าใจของเราที่ว่า จะทำอย่างไร หมดไป นี่ปัญหาหนึ่งแล้ว จะทำอย่างไรนี่ ไม่มีใครทำได้!! ทำไม่ให้โกรธ ได้ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย นั่นสิครับ จะทำอย่างไรครับ (หัวเราะกันครืน)
ท่านอาจารย์ นี่ค่ะ นี่ค่ะ พอถึง "จะทำอย่างไร" เรายังคิดว่า มีทางที่ "เราจะทำ"
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ก็อย่างท่านพุทธทาสสอน..
ท่านอาจารย์ แต่พระพุทธเจ้าตรัสกับพุทธทาสสอน นี่คนละเรื่อง!!
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ไม่รู้ครับ ผมไม่ได้.. ผมก็อ่านหนังสือ
ท่านอาจารย์ แต่ว่าเราไม่เคยพบพระพุทธเจ้า
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ไม่เคยพบครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เราจะรู้ว่าคำไหนเป็นคำของพระพุทธเจ้า และคำไหนเป็นคำของคนที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า จาก "การฟัง"

พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ก็ไม่รู้ครับ มีพระบางองค์ ก็พุทธวจน กับบางองค์ ...
ท่านอาจารย์ ไม่ว่ากัน ไม่ว่ากัน เพราะเขายังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าเลย!!
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ก็ยังไม่มีใครรู้จักสักคน
ท่านอาจารย์ ทีนี้ เราจะรู้จักพระพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อ "เราฟังคำของพระพุทธเจ้า" เราถึงจะรู้ว่า คำของใครเป็นคำของพระพุทธเจ้าและคำของใครไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า ถูกต้องไหม? ต่อเมื่อเรารู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนอะไร? เราถึงจะรู้ได้ ว่าคำอื่นเป็นคำของพระพุทธเจ้า หรือไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่รู้จักคำของพระพุทธเจ้า เราไปตัดสินไม่ได้ ใช่ไหม?

แต่พอเรารู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร เรารู้เลยว่า คนนี้สอนอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนหรือเปล่า? หรือไม่ได้สอนอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน เพราะฉะนั้น เราต้อง "ตัดความคิดของเรา" ออกไป เป็นเรื่องๆ เรื่องที่หนึ่ง "เรา" ทำอะไรได้ไหม? ทำอะไรๆ ได้ไหม?

พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ทำได้ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีตา เห็นได้ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย เห็นไม่ได้
ท่านอาจารย์ ทำ "เห็น" สิคะ? เราทำได้นี่!!
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ทำเห็น? ไม่มีตา แต่ทำให้เห็น? ทำอย่างไรครับ?
ท่านอาจารย์ ไม่มีตา แต่ทำให้เห็นได้ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ไม่มีตา แล้วทำให้เห็น?
ท่านอาจารย์ ได้ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ก็นึก นึกได้ไหม?
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ นึกก็คือว่า ไม่ได้เห็น เรื่องตรง เรื่องจริง ไม่มีตา แล้วเราไปทำให้เห็นได้ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ไม่ได้ ใช่ไหมครับ?

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีใครทำอะไรได้หรือเปล่า? หรือว่ามีเหตุปัจจัยที่สิ่งนั้นจะเกิด จึงเกิดได้ เราอยากให้มีไฟตรงนี้ แต่เราไม่มีอะไรเลย แล้วไฟจะเกิดขึ้นได้ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้!! เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด ต้องเกิดตามปัจจัย สิ่งที่อาศัยทำให้เกิดขึ้น เกิดเองตามลำพังไม่ได้ นี่เรา "เริ่มฟังคำของพระพุทธเจ้า" ไม่มีใครมาบอกเรา มีแต่ว่าตัวกูของกูอยู่นั่นแหละ แต่ไม่มีใครเคยบอกเราเลย ว่าอะไรที่เป็นกู เป็นตัว เป็นเรา ใช่ไหม? แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดยิ่งว่า ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล นี่คือ "คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

เพราะฉะนั้น พอ "เริ่มเข้าใจ" คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงจะรู้ว่า คำของใครเป็นคำของพระพุทธเจ้า และคำของใครไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า ตอนนี้รู้หรือยัง? แค่ฟังอย่างนี้ รู้ไหม? ว่าใครพูดคำของพระพุทธเจ้า และใครไม่ได้พูดคำของพระพุทธเจ้า?

พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ยังงงๆ อยู่ครับ
ท่านอาจารย์ ตอนแรกจะเป็นอย่างนี้ทั้งหมดเลย งงมากๆ
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย งงครับ
ท่านอาจารย์ เพราะเราไม่เคยฟังคำของพระพุทธเจ้า
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ครับ ไม่เคยครับ
ท่านอาจารย์ และคำของพระพุทธเจ้าแต่ละคำ พระปัญญาระดับไหน ที่ตรัส แล้วเรากำลัง "เริ่มที่จะได้ยิน ได้ฟัง" แต่ปัญญาของเรา กว่าจะตามปัญญาของพระพุทธเจ้าไป ที่จะเข้าใจคำนั้นถ่องแท้ ก็ต้องไตร่ตรอง ใช่ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ครับ ใช่ครับ

ท่านอาจารย์ เริ่มจากคำว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัจจัยที่เหมาะสมก็เกิดไม่ได้ นี่คำของพระพุทธเจ้า!!
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ใครทำได้ เราทำได้ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ก็ไม่ทำครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไม่ทำ!! ทำได้ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ก็ทำไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ อย่างนี้ค่ะ เริ่มตรง เริ่มตรงกับความเป็นจริงแล้ว!! เพราะเหตุว่า "ไม่มีเรา" ฟังแล้วน่ากลัว ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้!! แต่มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง รวมกัน มี "เห็น" หนึ่ง มี "ได้ยิน" หนึ่ง เห็นเกิดแล้วดับ ไม่เหลือเราแล้วใช่ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ครับผม
ท่านอาจารย์ ได้ยิน ที่เคยคิดว่า "เราได้ยิน" ได้ยินหมดแล้ว (ดับแล้ว) ก็ไม่มีเราอีก เพราะฉะนั้น ทั้งวันมีแต่สิ่งที่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่เกิดในโลกนี้เลย บังคับบัญชาไม่ได้ เลือกไม่ได้ เราจะเกิดที่ไหน เกิดกับพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง เลือกไม่ได้เลย แต่มีเหตุปัจจัย ที่จะให้แต่ละคนเกิดแต่ละที่ เป็นแต่ละคน เป็นอนัตตา!!

"อัตตา" หมายความว่าเป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เที่ยง ไม่เกิดดับ อย่างเดี๋ยวนี้ มองเห็นดอกไม้ก็เป็นดอกไม้ไป แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ รู้ละเอียดจนกระทั่งว่า ถ้าไม่มารวมกัน ก็ไม่มีอะไร แยกออกไป "แต่ละหนึ่ง" แยก "ได้ยิน" ออกไป แยก "ตา" ออกไป แยก "หู" ออกไป แยก "คิด" ออกไป จะมีเราไหม? มีแต่สิ่งที่เกิดดับเท่านั้น!!

แต่เพราะ "ความไม่รู้" และมารวมกัน ในสังสารวัฏเป็นอย่างนี้มานาน ไม่มีใครรู้เลยว่า มีปัจจัยที่จะเกิดก็เกิด ไม่มี "แข็ง" ได้ไหม? แข็งอย่างนี้ กระทบแล้วก็แข็ง ไม่ให้มี ได้ไหม? ลองกระทบสัมผัสสิคะ แล้วไม่ให้มีสิ่งที่แข็งปรากฏ ได้ไหม?
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย อ๋อ..ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้!! เห็นไหม? ไม่ให้มีแข็งไม่ได้ แล้วจะไม่ให้มีธาตุต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นแต่ละธาตุ ได้หรือ? เพราะฉะนั้น ธาตุที่ต่างกันเป็นสองธาตุ ก็คือ "ธาตุรู้" เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ทางหู ธาตุรู้ได้ยินเสียง เสียงไม่มีใครเคยได้ยินเลย ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น แต่ธาตุรู้นั้นที่เกิดได้ ก็ต้องอาศัยหู รูปพิเศษที่สามารถกระทบเสียง ถ้าเสียงไม่กระทบหู ได้ยินก็เกิดไม่ได้ ธาตุรู้ก็เกิดไม่ได้

แม้แต่ธาตุที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ก็ต้องอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น แค่ได้ยิน แล้วดับ ให้ทำหน้าที่มากกว่านี้ไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่จะเพียงเกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับไป ดับไปก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย ในสังสารวัฏ แค่ครั้งเดียวที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย

เพราะฉะนั้น หา "เรา" ไม่เจอเลย มีแต่ธรรมะทั้งหมด!! แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เป็นธรรมะ เราเริ่มได้ยิน ได้ฟัง คำว่า "ธรรมะ" ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ธรรมะก็คือทุกสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทั้งนั้น เป็นธรรมดา แต่ไม่เคยรู้ว่า นั่นแหละ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง กระจัดกระจายแยกออกได้ พวงมาลัยนี้ พริบตาเดียวก็ไม่เหลือแล้ว ถ้าแยกออกไป เพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ทุกรูปที่ละเอียดมาก และแต่ละรูปเกิดเพราะปัจจัยอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

เพราะฉะนั้น คำที่พระองค์ตรัสแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะเปลี่ยนได้เลย สักคำ เพราะทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด!! และแสดงความจริงนี้ให้คนอื่นได้รู้ตาม แต่คนอื่นที่อ้างคำของพระองค์แค่ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็บอกว่า ตัวกูของกูไม่มี ไปพูดสั้นๆ อย่างนั้น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร นี่ตัวกู แล้วบอกว่าไม่มี ถ้าจะว่าไม่มีก็ต้องแสดงโดยละเอียดว่าไม่มีเพราะอะไร?

พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ท่านอาจจะพูดยาว แต่ว่าผมพูดกันสั้นๆ แต่ท่านอาจจะพูดไว้เยอะแยะ
ท่านอาจารย์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ๔๕ พรรษา ยาวกว่านี้ แล้วเราจะฟังคำของใคร? เพราะฉะนั้น ไม่มีคำของใคร ที่สามารถที่จะแสดงความจริงถึงที่สุดได้ ทรงอนุเคราะห์ให้เราได้ฟัง "คำ" ที่ทำให้เราเริ่มรู้จักความจริง ซึ่งทั้งหมดมาจากการตรัสรู้ ท่านที่กล่าวถึง ท่านตรัสรู้หรือเปล่า?

พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ไม่มีใครตรัสรู้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้องค์เดียว
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดต้องมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความจริง คำนี้ (คำว่าตรัสรู้) ไม่ใช่เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่หมายความถึง ปัญญาที่เข้าใจคำจริงจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนปัญญาเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ในแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถึง การประจักษ์แจ้ง!!! เพราะฉะนั้น คำของท่านเหล่านั้นไม่ผิด เพราะเป็นคำของพระพุทธเจ้า

แต่ถ้าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้เลย ไม่ไปไหน อยู่ตรงนั้น ไม่ได้เกิดความรู้ความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น!!

เพราะฉะนั้น เราจะไม่กล่าวถึงใครโดยเฉพาะ คนหนึ่ง คนใด แต่กล่าวถึง "คำ" ที่ได้ฟัง ว่า คำนั้น สามารถมีความลึกซึ้ง ที่จะช่วยให้คนอื่นได้ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น หรือเปล่า? เพราะว่า "ความไม่รู้" มากมายมหาศาล!! กว่าจะหมดความไม่รู้และการยึดถือว่าเป็นเราไปได้ ปัญญาต้องมหาศาลระดับไหน? เพราะเคยยึดถือ ทั้งสภาพรู้ นามธรรม "สภาพรู้ทั้งหมด" ใช้คำว่า "นามธรรม" สภาพที่มีจริงแต่ไม่รู้ ทั้งหมดเป็น "รูปธรรม" สองอย่าง โลกไหนๆ ก็มีแค่สองอย่าง พระอาทิตย์ พระจันทร์ จักรวาลอะไร ก็แค่สองอย่าง

พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย แล้วเราจะดับทุกข์อย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ "เรา" มาแล้ว ผิด!! เพราะฉะนั้น ฟังถูกมานิดหนึ่ง กลับไปผิดอีก เพราะการยึดถือว่า "เรา" หนาแน่นมาก จนกว่าจะเข้าใจมั่นคง ตั้งแต่เริ่มว่า ไม่มีเรา ที่โกรธเพราะไม่รู้ ที่ติดข้องเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะไม่โกรธก็เพราะรู้ ไม่ใช่เพราะเราทำ เราทำไม่ได้!! แต่ต้องมีความเข้าใจระดับไหนถึงจะไม่โกรธ เพราะว่าความไม่รู้มากมายมหาศาล ทำให้เกิดอกุศลประเภทต่างๆ เป็นกิเลสต่างๆ มากมายมหาศาล แล้วจะดับอะไรก่อน? เราต้องรู้ด้วย ดับทีเดียวหมดไม่ได้!!

ด้วยเหตุนี้ เราพูดถึงคำว่า พระอรหันต์ สูงสุดเลย แต่ก่อนเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ถ้ายังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ใช่ไหม? กิเลสมาก ต้องดับกิเลสตามลำดับขั้น ถ้าเริ่ม ค่อยๆ เข้าใจธรรมะ ดับกิเลสแรก คือ "ความเห็นผิด" ที่ "ยึดถือว่าเป็นเรา" เห็นไหม? ว่าเป็นเรามาทั้งวันทั้งคืน ฟังธรรมะก็เป็นเราฟัง จนกว่าสามารถที่จะ "ดับความเป็นเรา" ได้ จึงจะดับกิเลสอื่นได้

อย่าง "ความโกรธ" ยังดับไม่ได้ ต้องดับความไม่ใช่เราก่อน!! ถ้ารู้ว่าไม่ใช่เรามากขึ้น มากขึ้น กิเลสก็ลดลงไปตามลำดับ แต่ถ้าตราบใดที่ยังเป็นเรา ดับกิเลสไม่ได้!! ไปถามคนอื่นเขาก็แนะนำวิธีของเขา ให้นับหนึ่งถึงสิบ คนโน้นบอกให้คิดอย่างนี้ คนนี้บอกให้คิดอย่างนั้น แต่เขาไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดี๋ยวก็โกรธอีก เดี๋ยวก็โกรธอีก!! ชาตินี้คิดว่าโกรธน้อย ชาติหน้าโกรธอีกก็ได้ ไม่สิ้นสุด!! แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เข้าใจความจริง ใช้คำว่าดับ คือ ไม่เกิดอีกเลย!! แล้วเราจะเป็นอย่างนั้นได้ไหม? ถ้ามีเรา ถ้ายังมีเขา วันนี้ไม่โกรธ เดือนนี้ไม่โกรธ ประเดี๋ยวก็โกรธก็ได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมะถึงการดับกิเลสหมด ไม่เหลืออีกเลย ดับคือดับ เหมือนเห็นเดี๋ยวนี้ ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ แต่มีเหตุปัจจัยให้เห็นเกิดอีกได้ เพราะมีปัจจัยที่จะเห็น แต่เมื่อไม่มีปัจจัยที่จะเป็นเรา เพราะเข้าใจจริงๆ แต่ละคำ ว่าเป็นธรรมะแต่ละอย่าง พอดับความเป็นเราได้ จะเห็นว่าเป็นเราอีกไม่ได้เลย แต่รู้ว่าใคร เพราะว่ารวมๆ กันแล้วก็สมมุติเรียกธรรมะนั้นๆ ว่าเป็นชื่อต่างๆ แต่ความจริงก็เป็นธาตุ ซึ่งกำลังเกิดดับอยู่ทุกขณะ!!

พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนมีความคิด ความเข้าใจ แล้วก็สามารถที่จะเห็นธรรม ก็คือ หยุดคิดว่าเป็นตัวเรา หยุดคิดว่าเป็นตัวเราได้ แบบว่า เกิดดับอย่างที่ท่านอาจารย์บอก แล้วก็ สามารถที่จะ อะไรล่ะ คือไม่ใช่เรา คือมันเกิดแล้วก็ดับไป ก็จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้เร็วไหม?

ท่านอาจารย์ ไม่ใช่!! นี่หวัง!!!
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย เราอีกแล้ว (หัวเราะ) ผมใช้คำว่าเรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะเห็นความลึก ฟังเท่าไหร่ก็เป็นเรา ถ้าปัญญาไม่ถึงระดับที่จะละความเป็นเรา
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย หรือครับ? คือผมยังเห็นคนหรือยังเห็นข่าว แล้วยิ่งผมทำงานอยู่กับคนด้วย มีแต่ปัญหา
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ปัญหา กิเลสทั้งนั้น ไม่ว่าจะปล้นเขา ฆ่าเขา โกงเขา ปัญหาคนทั้งนั้นเลย ทีนี้ มามองที่ตัว ก็ยังมีอารมณ์ เวลาลูกน้องนั่นบ้างอะไรบ้าง ก็โกรธบ้าง หัวเราะบ้าง อะไรอย่างนี้ มีทั้งทุกข์ทั้งสุขอยู่ในชีวิตประจำวัน

ท่านอาจารย์ แต่อย่าลืม พูดถึงทุกข์สุข ทุกข์เป็นทุกข์ สุขเป็นสุข ไม่ใช่เรา!! ดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี แปลว่า เกิด-ดับ!!
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย นั่นสิครับ ใช่ครับ เพราะวันๆ หนึ่ง หลายอารมณ์เหลือเกิน
ท่านอาจารย์ แต่ยังเป็น "เรา" ที่ "รู้" ตรงนี้ต่างหาก ที่ละยาก เพราะสะสมมานาน!!
พล.ต.ต.ปรัชญ์ชัย ใช่ครับ ใช่ครับ จะต้องทำอย่างไร? เพราะผมก็ ...
ท่านอาจารย์ นี่ ถ้าจะต้องทำอย่างไร? แปลว่า การฟังของเรายังไม่พอ ที่จะรู้ว่า ทำไม่ได้!! ต้อง "มีปัจจัย" จึงจะเกิดขึ้น ทุกอย่าง ปัญญาก็ต้องมีปัจจัย ถ้าเราไม่มีการสนทนาธรรม เราจะ "เข้าใจ" ไหม? เราก็ (ไม่รู้) เหมือนเดิม ใช่ไหม? แต่พอมีคำต่างๆ จากคำที่เราได้ฟัง "เริ่มคิด" จริงหรือเปล่า? ไม่ใช่ให้เชื่อเลย จริงไหม? นี่ต่างหาก ที่เริ่มรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด!!!

"สัมมา" เห็นชอบตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น อย่าง "แข็ง" อย่างไรๆ ก็ไม่รู้ว่าใครกำลังกระทบ แต่มีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ว่า นี่แข็ง รู้ลักษณะที่แข็ง สองอย่างนี้ต่างกัน เราอยู่ไหน? ก็เป็นธาตุรู้กับธาตุไม่รู้ที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา แล้วปัญญาต้องประจักษ์แจ้งอย่างนั้นด้วย แต่ "ต้องเริ่ม" กว่าเราจะไปจบมหาวิทยาลัยได้ เราก็ต้องเริ่ม ก ไก่ ข ไข่ ก่อน ใช่ไหม? นี่ "เราก็กำลังเริ่มฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" และเทียบได้ว่า "คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่เหมือนกับคำของคนอื่น" ต่างกันลิบ!!

คำที่ทำให้เราเข้าใจ แต่ต้องมั่นคงทุกคำ "ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง" แค่คำนี้ ก็ปฏิเสธคำว่า "เรา" แล้ว เห็นมีจริง เมื่อเกิด ไม่เกิดไม่เห็น ไม่ใช่เรา ไม่มีตัวตนที่จะไปทำอะไรได้เลย เพราะคิดก็เกิดคิด เราไม่รู้ว่าจะคิดเมื่อไหร่ แต่มีปัจจัยที่จะคิดอย่างไร แต่ละคน ตามการสะสม ฟังจนกระทั่งเข้าใจว่า มีแต่ธรรมะ ไม่ใช่เรา นี่คือ ปริยัติ หมายความว่า รอบรู้ในคำ ที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ!!!

ก่อนที่ปัญญาอีกระดับหนึ่ง ไม่ใช่แค่คิด!! แต่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี!!! เห็นไหม? พูดถึง "เห็น" เขาเข้าใจธาตุรู้เลย และ "เห็น" ก็คือธาตุที่ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลย แต่กำลังเห็น เห็นแค่นั้นแล้วดับ นี่ค่ะ เริ่มเข้าใจความเป็นธาตุของแต่ละธาตุ

เพราะฉะนั้น ธรรมะเป็นเรื่องละเอียด ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราเรียนปริเฉทหนึ่ง ปริเฉทสอง จบแล้ว แต่เราไม่รู้ว่า "เดี๋ยวนี้" คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ๔๕ พรรษา โดยประการทั้งปวง ซ้ำแล้วซ้ำอีก กับคนนี้ก็ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับคนโน้นก็ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยืนที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เห็นขอนไม้ลอยมา ก็ ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี ในชีวิตประจำวัน!!!

เพราะฉะนั้น เราข้ามชีวิตประจำวัน เราจะไปรู้สิ่งอื่น ตามไปเถอะ!! เหมือนไล่ตามเงา ไม่มีทางรู้!! แต่ว่า ถ้ารู้เมื่อไหร่ ว่า สามารถเข้าใจ "เดี๋ยวนี้" "หนึ่งละ" ที่มีเดี๋ยวนี้!! แล้วจะเข้าใจได้ ไม่มีใครไปทำให้มาเข้าใจตรงนั้นเลย แต่ การฟังทั้งหมดที่ได้ฟังมาแล้ว ค่อยๆ เริ่มรู้ว่า ที่ฟังทั้งหมด กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เลย ซึ่งถูกปกปิดไว้ ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย!!

เพราะฉะนั้น ได้ยินได้ฟังแล้ว ก็ยังไม่รู้จัก "ตัวจริงๆ " กระทบแล้วเห็นแล้วก็ไม่รู้จัก เพราะว่า ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น "เห็น" ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ให้ไปคอยดูเห็น เมื่อไหร่จะเกิดเห็น "เดี๋ยวนี้" ต่างหากที่กำลังเห็น เริ่มเข้าใจธาตุรู้หรือเปล่า?

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะเลย ทุกอย่างที่มี เป็นธรรมะทั้งหมด เพราะฉะนั้น ไม่รู้ต่างหาก!! แล้วใครรู้? ผู้เดียว ที่บำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ยิ่งกว่าใครทั้งสิ้น คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของพระองค์ทุกคำ อนุเคราะห์คนที่ไม่รู้ ให้รู้!!

เพราะฉะนั้น เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ง่าย เป็นสัตว์เดรัจฉานเยอะแยะ มด ปลวก ช้าง วัว ควาย ใช่ไหม? แต่ เป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ที่ไม่มีปัญญาก็เยอะ มนุษย์ที่สามารถเข้าใจได้ แต่ไม่มีโอกาสได้ฟัง ก็มาก เพราะฉะนั้น โอกาสที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต จะสั้นหรือจะยาว มากน้อยแค่ไหน ก็คือ ขณะที่เข้าใจธรรมะ

เพราะอย่างอื่น แค่ปรากฏแล้วก็ไม่มี ปรากฏแล้วก็ไม่มี เหมือนเราเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง ไหน? ตายแล้ว ของใคร? ยังไปคิดว่าเป็นของเราหรือ? เพราะฉะนั้น มีเมื่อคิด แต่ว่าความจริง ไหนล่ะสมบัติ? ตายเดี๋ยวนี้ก็คือ ไหนล่ะสมบัติของฉัน? ฉันก็ไม่มี จบสิ้นความเป็นบุคคลนี้ อะไรๆ ก็ไม่เหลือ! แล้วก็เป็นอย่างนี้มาทุกชาติ!! แล้วก็ติดข้องอยู่ทุกชาติ!! จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!

แต่เราก็บังคับใครไม่ได้เลย ใครจะฟัง ใครจะไม่ฟังใครจะฟังคนโน้น คนนี้ คำนั้น คำนี้ แต่ละคนก็สะสมมาหลากหลายมาก ไม่อย่างนั้นไม่มีลัทธิต่างๆ ไม่มีศาสดาต่างๆ แต่ว่า คนที่ฟังแล้ว ไม่ใช่ว่าให้เชื่อ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นอาจารย์ แล้วก็เชื่อ แต่คำของใครทั้งหมด คำไหนเป็นคำจริง?

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าภาพ คุณขจีรัตน์ แก้วทานัง และคุณกุสุมา โกมลกิติ เจ้าของบ้านที่เอื้อเฟื้อสถานที่สำหรับการสนทนาธรรมในครั้งนี้
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

... ... ...

ขอเชิญคลิกชมครั้งที่ผ่านมาทั้งหมดได้ที่นี่ ...

และขอเชิญคลิกชมวีดีโอบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ได้ที่นี่ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
peem
วันที่ 17 ก.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pulit
วันที่ 18 ก.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปลากริม
วันที่ 18 ก.ค. 2561

กราบอนุโมทนาด้วยความเคารพยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
William_Tan
วันที่ 18 ก.ค. 2561

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
napachant
วันที่ 20 ก.ค. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง

กราบอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ คุณขจีรัตน์ แก้วทานัง และ

คุณพี่บี๋ ดร.ปรีดา คุณพี่จู กุสุมา โกมลกิติ

กราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะทั้งทางกาย และทางใจ ของคุณวันชัย ภู่งาม

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 22 ก.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chvj
วันที่ 22 ส.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ