ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๐

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  1 พ.ย. 2560
หมายเลข  29284
อ่าน  3,308

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากรของมูลนิธิฯ ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ อ.ธีรพันธ์ ครองยุทธ อ.วิชัย เฟื่องฟูนวกิจและ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากคุณกัลยาณี คุณกิตติมา สินธุสุวรรณ และครอบครัว เพื่อไปสนทนาธรรมที่ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท ถนนสุขุมวิท กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๐๐ น.

คุณกัลยาณี สินธุสุวรรณ (พี่จิ๋ม) เป็นอีกท่านหนึ่งที่ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์มานานหลายสิบปีแล้ว หากใครได้ติดตามฟังรายการ แนวทางเจริญวิปัสสนา ที่ท่านอาจารย์บรรยายและนำออกอากาศทางสถานีวิทยุต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน มักได้ยินเสียงของสุภาพสตรีท่านหนึ่งที่สนทนากับท่านอาจารย์บ่อยๆ เรื่องการอบรมเจริญสติปัฏฐาน มีสติระลึกรู้สภาพธรรมเป็นปกติ ในชีวิตประจำวัน ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล สุภาพ น่าฟัง ท่านผู้นั้นคือ คุณยายสำเนียง เจริญลาภ คุณแม่ของพี่จิ๋มและคุณยายของน้องตั๊ก (กิตติมา) นั่นเอง ทราบว่าคุณยายสำเนียง เจริญลาภ เป็นท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านการประพฤติธรรมที่มีบุคคลรู้จักมากมายในสมัยนั้น ทั้งยังได้เขียนหนังสือชื่อ "ทางพ้นทุกข์" เผยแพร่จนมีการนำไปจัดพิมพ์เป็นหนังสือที่ระลึกในงานต่างๆ ด้วย

พี่จิ๋มและครอบครัว นอกจากจะเป็นอีกครอบครัวหนึ่งที่มีสมาชิกในครอบครัวฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยายแล้ว พี่จิ๋มยังเป็นผู้ที่มีความสามารถและกุศลศรัทธาในการจัดดอกไม้บูชาพระรัตนตรัย เบื้องหน้าที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่มูลนิธิฯและในที่สนทนาธรรมอื่นๆ อีกด้วย นอกจากจะมีน้องตั๊กที่คอยช่วยคุณแม่จัดดอกไม้แล้ว ลูกสาวของพี่จิ๋มคนที่สามคือน้องกอล์ฟ (กมลา) ก็เป็นผู้ที่มีความสามารถในการจัดดอกไม้มาก ได้ไปเรียนการร้อยมาลัยและดอกไม้ประดิษฐ์ต่างๆ จากวิทยาลัยในวังหญิงอีกด้วย ที่ผ่านมาน้องกอล์ฟก็ได้ประดิษฐ์พวงมาลาดอกไม้ที่งดงามอย่างยิ่งให้กับสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ เพื่อนำไปถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในคราวที่ชมรมบ้านธัมมะ มศพ.ได้รับพระบรมราชานุญาตเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลถวาย เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา

นอกจากนั้น ในการสนทนาคราวนี้ น้องกอล์ฟยังได้ร้อยมาลัยแสนงดงามวิจิตรอย่างยิ่งเพื่อให้คุณแม่กัลยาณีได้นำมากราบท่านอาจารย์ในวันนี้อีกด้วย ทั้งนี้ แม้การตบแต่งประดับประดาห้อง แกรนด์ บอลรูม เพื่อการสนทนาธรรมที่โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท (ซึ่งน้องตั๊ก (กิตติมา) ทำงานอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายจัดเลี้ยง) ก็ถูกจัดแต่งด้วยดอกไม้ที่ดูเรียบหรูยิ่ง ซึ่งทางพนักงานทุกคนที่รู้จักมักคุ้นเป็นอันดีกับพี่ตั๊ก ได้พร้อมใจกันบรรจงจัดอย่างสุดฝีมือ เพื่อไม่ให้เสียชื่อของครอบครัวที่นอกจากจะมีความงดงามทั้งทางกาย วาจา และใจ แล้ว ยังเป็นครอบครัวมีฝีมือในเรื่องของการจัดดอกไม้ที่สวยงามอีกด้วย

ครั้งนี้เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ของการสนทนาธรรม ที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยเหตุปัจจัยที่พรั่งพร้อม ทำให้การสนทนาธรรมในครั้งนี้ จะเป็นบันทึกยอดเยี่ยมให้ได้ระลึกถึง ในความโอ่อ่าอลังการ ที่ท่านเจ้าภาพได้บรรจงจัดอย่างละเอียดลออในทุกขั้นตอน โดยความร่วมใจของพนักงานของโรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ การต้อนรับและการบริการที่ไม่มีขาดตกบกพร่อง ท่านเจ้าภาพได้จัดอาหารเช้าซึ่งเป็นข้าวต้มปลาแสนอร่อย ไว้ต้อนรับตลอดจนชาและกาแฟสดระดับพรีเมี่ยม ที่มีให้บริการแก่ผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาตลอดเวลาทั้งเช้าและบ่าย

อาหารกลางวัน ขนม ผลไม้ และโฮมเมดไอศครีมแสนอร่อย ที่ท่านเจ้าภาพได้จัดเตรียมไว้ ก็ได้ทราบว่าทางเชฟของโรงแรม ได้บรรจงจัดมาอย่างพิถีพิถันอย่างยิ่ง เพราะบุญแต่ปางก่อนโดยแท้ ที่ทำให้ได้มีโอกาสได้อยู่ร่วมกับท่านทั้งหลายในครั้งนี้ ซึ่งนอกจากจะได้รับสิ่งต่างๆ อันโอฬารเลิศรสแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การได้มีโอกาสฟังและเข้าใจขึ้น ในพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ จากการนำมาถ่ายทอดด้วยเมตตาหาที่สุดมิได้ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่ามกลางกัลยาณมิตรที่พรั่งพร้อม ในครั้งนี้ ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของพี่จิ๋ม น้องตั๊กและครอบครัว พร้อมทั้งเชฟ และพนักงานของโรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท ทุกท่าน ที่ได้ให้การต้อนรับและบริการอย่างยอดเยี่ยมประทับใจมากในครั้งนี้ มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาในช่วงต้น ที่อาจารย์วิชัยได้เชิญข้อความในพระสูตรมากราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ ซึ่งมีความไพเราะลึกซึ้ง ยิ่งเมื่อได้ฟังในสถานที่อันโอ่อ่าโอฬารในกาลนี้ ยิ่งทำให้มีความรู้สึกปีติมากในขณะที่ได้ฟัง จึงจะขออนุญาตนำมาบันทึกไว้ ซึ่งแม้ว่ากาลนั้นจะผ่านไปแล้ว หมดไปแล้ว แต่ยังคงเป็นเหตุให้ได้ระลึกในความพรั่งพร้อม งดงาม ของขณะที่เกิดมี เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ยอดเยี่ยมในสังสารวัฏ ในครั้งนี้

อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ได้มีโอกาสอ่านข้อความในพระสุตตันตปิฎก สังยุตนิกาย สคาถวรรค ปัตโชตสูตร เทวดาได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคฯว่า "...โลกย่อมรุ่งเรืองเพราะแสงสว่างทั้งหลายใด แสงสว่างทั้งหลายนั้น ย่อมมีอยู่เท่าไรในโลก ข้าพระองค์ทั้งหลาย มาเพื่อจะทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าฯ ไฉนจะรู้จักแสงสว่างที่ทูลถามนั้น..."

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า แสงสว่างทั้งหลายในโลกมีอยู่ ๔ อย่าง แสงสว่างที่ ๕ มิได้มีในโลกนี้ ดวงอาทิตย์สว่างในเวลากลางวัน ดวงจันทร์สว่างในเวลากลางคืน อนึ่ง ไฟย่อมรุ่งเรืองในเวลากลางวันและกลางคืน ทุกหนแห่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐกว่าแสงสว่างทั้งหลาย แสงสว่างของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแสงสว่างอย่างเยี่ยม ในช่วงแรกครับท่านอาจารย์ครับ การที่จะทราบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแสงสว่างอย่างยอดเยี่ยม คือ อย่างไรครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ไม่เคยได้ฟังคำจากคนอื่นที่เหมือนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยสักคำ ไม่ว่าชาติไหน จะเกิดมากี่ครั้งก็ตาม เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า แม้แต่คำ "คำเดียว" ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นแสงสว่างอย่างยิ่ง!! ที่ทำให้สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดในชีวิต ไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ว่าคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้สามารถเข้าใจความจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปิดเผย ด้วยแสงใดๆ ทั้งสิ้น!!!


เพราะฉะนั้น ก็ตกอยู่ในความมืดมานาน ไม่รู้อะไรเลยทุกชาติไป ในสังสารวัฏ!! จนกว่ามีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม ซึ่งแต่ละคำ ก็เป็นแสงที่ส่องให้เห็นความจริงของสิ่งที่กำลังมี ทุกขณะ!!!

อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ สำหรับข้อความหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกัน ในอรรถกถา วิภังคปกรณ์ กล่าวว่า "...จริงอยู่ ความมืดในหทัยของเวไนยสัตว์ จะถึงความย่อยยับไปโดยพลัน อันขจัดได้ด้วยเดชแห่งพระสัทธรรมของพระองค์ได้โดยประการใดๆ พระองค์ก็ทรงประกาศธรรมนั้นโดยนัยอันย่อและพิสดาร.." ดังนั้น ที่กล่าวว่าเป็นความมืดในหทัยคือในจิตของเวไนยสัตว์คืออย่างไรครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็มืด!!! ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนี้ "เห็น" เกิดแล้วดับ!! เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงซึ่งเปิดเผยสิ่งซึ่งซ่อนเร้นปิดบังมานานแสนนานในสังสารวัฏ เพราะเหตุว่า สภาพธรรมปรากฏเสมือนว่าไม่เกิดและไม่ดับเลย สืบเนื่องติดต่อกัน จนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ให้จำ ให้คิด ไม่เห็นยังจำ สิ่งที่เคยเห็น ไม่ใช่แค่จำ ยังคิดถึงสิ่งที่เคยเห็น ยาวด้วย เป็นเดือน เป็นปี เป็นชาติทั้งชาติก็ได้!! นี่ก็แสดงให้เห็นความจริงว่า ไม่มีการที่จะรู้ได้เลยว่า แท้ที่จริง สิ่งที่ปรากฏ มี "ชั่วขณะ" ที่ปรากฏ!!

เพราะฉะนั้น คำของพระองค์ สำหรับที่จะฟัง ไตร่ตรอง เป็นความจริงซึ่งลึกซึ้ง รู้ได้ แต่ว่าไม่ใช่โดยรวดเร็ว!! แต่ว่า ด้วยความเข้าใจที่มั่นคง ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งซึ่งกำลังมีในขณะนี้ ตรงตามตามความเป็นจริง ให้ค่อยๆ คิดว่า ก่่อนเห็น ไม่มีเห็นเลย เห็นไม่ได้เกิดขึ้น และขณะใดก็ตามที่ "เห็น" เกิดขึ้น ขณะนั้น กำลังมี "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" แน่นอน และทันทีที่สิ่งนั้นผ่านพ้นไป สิ่งนั้นหามีไม่ แต่ "สัญญา-สภาพจำ" จำไว้มั่นคง ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็น ​"เราเกิด" ทุกวัน เราเห็น เราสุข เราทุกข์ ทั้งหมด จากโลกนี้ไปแล้ว "เรา" ที่เห็นมาแล้ว ที่สุขมาแล้ว ที่ทุกข์มาแล้ว ที่เคยเป็นเรา อยู่ไหน? ไม่มีอีกเลย ในสังสารวัฏ!!

เพราะฉะนั้น เป็นคนนี้ได้ ชาตินี้ชาติเดียว และที่เป็นคนนี้ ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีสภาพธรรมที่ปรากฏตั้งแต่เกิดจนตาย ก็จะไม่มีเรา แต่ว่า ธรรมะซึ่งมีปัจจัยเกิดก็ไม่รู้ ทุกขณะ เพราะฉะนั้น ความมืด มืดสนิท!! แม้ว่าได้ฟังธรรมะ กว่าแสงสว่างจะสว่างพอ ก็ต้องมาจากแสงสว่างที่ค่อยๆ สว่างขึ้น จากความมืดมิด ก็เป็นการได้ยิน ได้ฟัง "คำ" ซึ่งใครก็พูดไม่ได้เลย ไม่สามารถที่จะอธิบายความหมายของคำนั้นให้ลึกซึ้งได้ จนกว่าจะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเห็นพระมหากรุณาคุณ ซึ่งเกิดจากพระบริสุทธิคุณ ซึ่งเกิดจากพระปัญญาคุณ ว่าไม่่มีผู้ใดเทียบได้เลย เพราะว่าใครก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือพรหมชั้นใดก็ตาม ก็ยังต้องมาเฝ้าเพื่อกราบทูลถาม ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำ มีค่ามหาศาล นับคุณค่าประมาณไม่ได้เลย เพราะว่า ทำให้ความไม่รู้ ค่อยๆ รู้ขึ้น จนกระทั่งหมดสิ้นไปได้

อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวว่า การที่จะเข้าใจความมืดในหทัย ก็คือขณะนี้เอง ที่ทั้งๆ ที่เห็นในสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่า ความมืดคือความไม่สามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏได้
ท่านอาจารย์ ค่ะ คิดถึงบุคคลในครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน เป็นต้น คนเหล่านั้นมาเฝ้า ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ มืดไหม? แต่ว่า แต่ละคำที่เขาได้ฟัง เหมือนเรา คำเดียวกัน ทุกคำ เป็นคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว แต่ว่าคนที่มา มาต่างชาติ ต่างการสะสม แต่ละชาติ แต่ละชาติไป

เพราะฉะนั้น อัธยาศัยก็ต่างกัน คนที่ได้ฟังแล้วไตร่ตรอง รู้ว่าสิ่งนี้จริงแท้แน่นอน แต่ไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งทันทีที่ได้ฟัง แต่เป็นความจริงแน่!! เพราะฉะนั้น ก็มีความอดทน มีความเพียร มีการเห็นประโยชน์ ฟังต่อไป ขณะนั้น ความเข้าใจเกิดขึ้น ค่อยๆ รู้ว่า ไม่ใช่เรา เพราะว่าก่อนนี้ไม่เข้าใจ

แต่ แต่ละคำ มีความเข้าใจเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับบัญชาได้ แต่เตชะ อานุภาพของคำ ที่กล่าวถึงสัจจะ-ความจริงเดี๋ยวนี้ ทำให้ผู้ที่ได้ยิน ที่ไตร่ตรองแล้ว มีความเข้าใจที่มั่นคง ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลย คือรู้ว่า "เห็น" ขณะนี้ เกิดแล้วดับ!!

ด้วยเหตุนี้ ทั้งหมด สิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้น มีความดับไป เป็นธรรมดา ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย แต่ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทุกชาติไป ที่จะได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ อบรม มั่นคงขึ้น จนกระทั่ง ค่อยๆ คลายความติดข้อง ในสิ่งซึ่งยึดถือว่าเป็นเราหรือของเรา นานแสนนาน ไม่ใช่เฉพาะชาติเดียว กว่าจะหมดความไม่รู้และความเป็นเรา ก็เพราะ ธรรมะเตชะ (ธรรมเดช) คำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ทำให้สามารถที่จะให้ปัญญาค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้!!!

อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ถ้ากล่าวถึง การที่ความมืดทั้งหลาย โดยเฉพาะ ความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ ที่จะหมดไป หรือว่าย่อยยับไปด้วยเดชแห่งพระสัทธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น ความมืดที่สะสมมานาน การที่จะมีโอกาสได้ฟังพระสัทธธรม คือการแสดงเปิดเผยในสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏอย่างนี้ การที่จะค่อยๆ เปิดในสิ่งที่มีจริง ก็ต้องเป็นกาลที่ยาวนาน กว่าที่ความมืดจะค่อยๆ หมดไปครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ นานแค่ไหนคะ คุณอรรณพ

ผศ.อรรณพ ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม หรือไม่ได้ยินได้ฟังมาเลย ไม่เคยได้ยินได้ฟังความจริงอย่างนี้เลย ก่อนอื่น แม้ใจนั้นจะเป็นใจที่มืดมนแค่ไหน ก็ไม่รู้ แล้วก็คิดว่า ก็ไม่เห็นจะมืดอะไร ตอนนี้ก็เห็น ได้ยิน สว่างดี ประเด็นแรกก็กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ใจที่มืดมน ด้วยความไม่รู้ เป็นอย่างไรบ้างครับท่านอาจารย์ครับ แล้วก็สะสมมานาน อย่างที่อาจารย์วิชัยพูด

ท่านอาจารย์ ไม่รู้ทุกคำที่ได้ฟัง เช่น ธรรมะคืออะไร? ถ้าไม่มีจริงๆ จะพูดถึงทำไม และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร? ถ้าสิ่งนั้นไม่มี เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า "ธรรมะ" คำเดียว ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริง แค่นี้ก็ไม่รู้แล้ว ฟังสักสิบปี ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละน้อย น้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับความลึกซึ้ง ซึ่งกว่าจะรู้จริงๆ อย่างที่ได้ฟังทุกคำ ก็จะเป็นผู้ที่รู้ได้ว่า ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส มาจากการตรัสรู้ ซึ่งอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจขึ้น จนรู้ตามได้ เพราะฉะนั้น ความยาวนาน ไม่ต้องนับ นับไม่ได้เลย แต่พิสูจน์ได้ว่าฟังมานานเท่าไหร่แล้ว เห็นเดี๋ยวนี้เกิดหรือเปล่า? ถ้าไม่เกิดจะมีเห็นไหม? แล้วก็ไม่ใช่มีแต่เห็น ขณะได้ยิน ต้องไม่มีเห็น คนละอย่างกันเลย ธาตุรู้ ทางตา เกิดขึ้น เห็นสิ่งที่ปรากฏ ธาตุรู้ทางหู เกิดขึ้น ได้ยินเสียง จะเป็นอันเดียวกันไม่ได้ สิ่งเดียวกันไม่ได้ เกิดจากปัจจัยเดียวกันไม่ได้ด้วย

ทุกอย่างมีความละเอียดมาก ที่จะแสดงให้เห็นว่า การฟังพระธรรมด้วยความเคารพ ก็คือ ฟัง เพื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ในความหมายของแต่ละคำ ซึ่งลึกซึ้ง ไม่ประมาทเลย เพราะเหตุว่า ความจริงสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะจริง แต่ว่าต้องไม่ใช่เพราะเรา!! แต่ต้องเป็นปัญญา ความเห็น ที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น!!

เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็รู้เอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้นแค่ไหน ก็ไม่ต้องคิดถึง!! เพราะเหตุว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ พรุ่งนี้ก็ได้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็ติดตามไป สำหรับชาติต่อๆ ไป ถ้าอีกสิบปีต่อจากนี้ไป ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นอีก จากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่เพิ่มขึ้นจากวันนี้อีกสิบปี ก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็สืบต่อ ในชาติต่อๆ ไป

ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะขจัดความมืดในใจได้อย่างไร? จากแต่ละคำ แต่ละคำ
ท่านอาจารย์ คุณอรรณพเป็นคุณอรรณพหรือเปล่า?
ผศ.อรรณพ ตอนที่ไม่ได้ไตร่ตรองในความเป็นธรรมะ ก็มีแต่ความเป็นเรา
ท่านอาจารย์ ค่อยๆ สว่างแล้วใช่ไหม?
ผศ.อรรณพ ค่อยๆ สว่าง ขณะที่มีความเข้าใจตั้งแต่ขั้นฟัง ขั้นพิจารณาว่า จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เรา!!
ท่านอาจารย์ แต่สว่างอย่างนี้ยังไม่ใช่แสงอาทิตย์ และ พระปัญญาของพระองค์ก็ยิ่งกว่าแสงสว่างใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องพูดเลยว่าความไม่รู้มากแค่ไหน ถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังเลยในสังสารวัฏ ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไป ออกไม่ได้!!! เปลี่ยนจากคนนี้เป็นคนอื่น แล้วก็เป็นคนอื่น เกิดมา สุขทุกข์ จำได้หมดไหม?
ผศ.อรรณพ ก็ลืมไปหมดแล้ว

ท่านอาจารย์ ลืมไปหมดใช่ไหม ยังไม่ทันจากโลกนี้เลย เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีใครจริงๆ แต่ว่าสภาพจำ ซึ่งเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นจำ เวลานี้ก็กำลังจำ ไม่จำไม่ได้ ถ้าไม่จำจะรู้ไหม ว่าเป็นคุณอรรณพ แต่สภาพธรรมะที่จำ ทันทีที่เห็นก็สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นใคร และไม่ใช่มีคุณอรรณพคนเดียว ในห้องนี้ทั้งหมด จำได้หมด เหมือนพร้อมกันเลย ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำไป แต่จำผิด วิปลาส แล้วแต่ว่า จะมากน้อยแค่ไหน

เพราะฉะนั้น กาลใดที่ได้มีการฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสหรือเวลาไหนที่จะประเสริฐเท่าที่ได้มีการได้ยินได้ฟังคำซึ่งแสนยากที่จะได้ฟัง เพราะเหตุว่า การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นานมาก กว่าจะได้ตรัสรู้ และถ้าพระธรรมอันตรธาน ก็ต้องอีกนานมาก กว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป

ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ การที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า การเข้าใจธรรมะ เข้าใจทีละคำ ทีละคำ เป็นประโยชน์มาก เพราะมิฉะนั้น อย่างที่เมื่อสักครู่ อาจารย์วิชัยอ่านข้อความ เป็นข้อความที่ไพเราะมาก แต่ถ้าเราฟังเผิน ก็เหมือนกับว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับว่าจะขจัดความมืดในจิตใจออกไป เหมือนรวดเร็ว คนฟังก็เหมือนกับว่า เอาละ เดี๋ยวเราเข้ามาทางศาสนาเสีย เดี๋ยวก็จะรวดเร็ว ก็อยากจะให้อาจารย์วิชัยอ่านอีกสักครั้ง

อ.วิชัย "...จริงอยู่ ความมืดในหทัยของสัตว์ จะถึงความย่อยยับไปโดยพลัน อันขจัดได้ด้วยเดชแห่งพระสัทธรรมของพระองค์ ได้โดยประการใดๆ พระองค์ก็ทรงประกาศธรรม โดยนัยอันย่อและพิสดาร..."
ผศ.อรรณพ ครับ ท่านอาจารย์ ความมืดหมดไปโดยพลัน
ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่ต้องพูดอะไรเลย
ผศ.อรรณพ คนเขาคิดว่า สบาย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เข้าใจผิด แม้แต่ "โดยพลัน" ด้วยอะไร?
ผศ.อรรณพ ด้วยมรรคจิต
ท่านอาจารย์ ด้วยปัญญาระดับไหน ถึงจะโดยพลัน ทันทีนี้เลยได้

อ.วิชัย แสดงว่า ต้องมีความเข้าใจในเบื้องต้น อย่างเช่น การที่จะฟังคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประกาศ เปิดเผยความเป็นจริงของธรรมะ ให้เกิดความเข้าใจ ก็มีแสงสว่าง ทีละเล็ก ทีละน้อย ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ท่านอาจารย์ ต้องเริ่มต้น ไม่ใช่จากยอดมาหาต้น แต่ต้องจากต้น ค่อยๆ เจริญขึ้น!!
ผศ.อรรณพ เพราะว่า ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ได้เข้าใจธรรมะ ที่ท่านอาจารย์เน้นว่า ทีละคำ ทีละคำ ก็ฟังอย่างนี้ นี่ไง "โดยพลัน" ก็จะไปหาวิธีการ หาอะไรที่จะบรรลุเร็ว โดยรวดเร็ว ง่ายๆ ซึ่งก็จะทำให้คนที่ผิวเผิน แล้วก็มีความอยากที่จะดับกิเลสได้เร็วๆ หรืออยากจะบรรลุ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็เชื่อ แล้วก็เป็นไป

แม้แต่ แต่ละคำ อย่างเช่นคำว่า "ธรรมะ" ซึ่งวันนี้ก็ขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่นและท่านผู้จัด ที่ได้รับหนังสือเป็นวันเรก หนังสือ "ธรรมคืออะไร" ซึ่งหนังสือเล่มนี้ แน่นอนก็ต้องเป็นประโยชน์กับผู้ที่ได้อ่าน แล้วก็ได้ไตร่ตรอง แต่ว่าคงไม่ได้หมายความว่าเขาจะเข้าใจธรรมะได้โดยพลัน จากการอ่านหนังสือ ธรรมคืออะไร ใช่ไหมครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา นานไหม? แล้วหนังสือเล่มนี้ มีกี่คำ? และคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว เท่าไหร่? เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลย ไม่ใช่คิดว่าฟังคำเดียวแล้วสามารถที่จะรู้ได้ โดยพลัน!! เพราะว่า แต่ละคำ ต้องลึกซึ้งมาก เช่น ธรรมะ สิ่งที่มีจริง วันนี้ไม่เคยคิดเลยว่าอะไรเป็นสิ่งที่มีจริง ตั้งแต่ตื่น ลืมตา อาบน้ำ แต่งตัว รับประทานอาหาร อะไรเป็นธรรมะ? ไม่มีเลย ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น แม้แต่ได้ยินแล้วว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แต่ปัญญายังไม่ถึงความเป็นจริงของธรรมะตั้งแต่ตื่นจนหลับ ว่านั่นคือแต่ละหนึ่งขณะ เป็นธรรมะทั้งหมด!! เพราะฉะนั้น ฟังไป อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว พอได้เค้า ว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ทุกกาลสมัย ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม สิ่งที่มีขณะนั้นมีจริงๆ จะใช้คำว่าธรรมะก็ได้ ไม่ใช้คำว่าธรรมะก็ได้ แต่ให้เข้าใจถูกต้องว่าสิ่งที่มีจริงนั้นคืออะไร ไม่อย่างนั้นก็เพียงแค่มีจริง ดอกไม้ก็มีจริง โต๊ะก็มีจริง คนก็มีจริง แต่ไม่รู้ว่า แท้ที่จริง จริงนั้นเป็นธรรมะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งแค่นี้ ยังไม่ถึง ๔๕ ปี แต่ที่ทรงแสดงไว้ เพื่ออนุเคราะห์ทุกคำ ทุกประการ โดยประการทั้งปวง ให้พิจารณาไตร่ตรอง

แม้แต่วันนี้ สิ่งที่มีจริง ไตร่ตรองหรือเปล่า? นี่ขั้นฟัง!! ขั้นฟังว่า นึกได้ไหม? ฟังมาตั้งนาน พอตื่นขึ้นมา ธรรมะทั้งนั้นเลย มีจริงทั้งนั้นเลย แต่ไม่มีปัจจัยพอ ที่จะ "เข้าถึงความเป็นธรรมะ" แต่ถ้าไม่มีการเข้าใจเลยว่าธรรมะคืออะไร ก็ไม่มีวันที่จะสามารถรู้ความจริงของธรรมะได้!!!

อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วครับ ความรู้สึกว่าจบเร็วจัง ก็รู้ว่าเป็นการแสดงเบื้องต้นของธรรมะจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์ และจบแล้วคือจบ!! แต่...เดี๋ยวนี้!! เป็นธรรมะอะไร?
อ.วิชัย ดังนั้น ความเข้าใจธรรมะคือ ถ้าอ่านโดยไม่พิจารณาในแต่ละคำ ดูเหมือนจบเร็ว แต่ว่าถ้าคิดพิจารณาในแต่ละคำ ความละเอียดของธรรมะจะลึกซึ้งมาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมะคำเดียว เดี๋ยวนี้รู้หรือเปล่า? เห็นไหม? ไม่รู้เลย ทั้งๆ ที่เป็นธรรมะทั้งหมด กำลังเห็นก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม จำก็เป็นธรรม ชอบก็เป็นธรรม ทุกอย่างที่ีมีจริงๆ ทั้งหมด เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่เกิดก็ไม่มี และเกิดเองก็ไม่ได้ด้วย ต้องแล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยที่จะทำให้ธรรมะอะไรเกิดขึ้น วันนี้ตื่นขึ้นมา แล้วก็มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แต่เดี๋ยวนี้ ธรรมะคืออะไร? กว่าจะถึงคำว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ!! มีลักษณะจริงๆ ตรงตามที่ได้ฟัง!!

เพราะฉะนั้น แม้แต่ข้อความย่อๆ ที่จะให้เข้าใจว่าธรรมะคืออะไร แต่เนื้อความของธรรมะ เป็นสังสารวัฏทั้งหมด "คำ" ย่อมากใช่ไหม? แต่ว่าทั้งหมดนี้เป็นสังสารวัฏ!! เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งประมาทไม่ได้เลย แล้วก็มีความเคารพจริงๆ ในพระรัตนตรัย ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ด้วยความเข้าใจที่มั่นคง ด้วยความเคารพว่า "เป็นธรรมะ" จนกว่าจะเป็นธรรมะ!!!

อ.วิชัย ข้อความบางส่วนในหนังสือ กล่าวถึงที่พระผู้มีพระภาคฯตรัสว่า "โลกอันจิตย่อมนำไป" เพียงแค่นี้ การที่จะรู้จัก อะไรคือโลก และจิตคืออะไร และจะนำโลกไปได้อย่างไร ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ละเอียด รอบคอบ มั่นคง เคารพสูงสุด ว่าแต่ละคำ เป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้น โดยความเป็นอนัตตา เพราะว่า ธรรมะทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างที่เคยคิด เคยจำไว้ แต่เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดอย่างยิ่ง ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะว่ากำลังเกิดดับ เห็นไหม? ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะกำลังเกิดดับ!!

อ.วิชัย ธรรมะก็กำลังเกิดดับทุกๆ ขณะ การที่จะเข้าใจถึงการเกิดดับของธรรมะ...
ท่านอาจารย์ ยังค่ะ เข้าใจถึงความเกิดดับของธรรมะ ฟังให้เข้าใจก่อนว่าไม่ใช่เรา เพราะว่าบางคนก็รีบร้อนมาก ฟังเพื่อที่จะถึงการเกิดดับ ด้วยความเป็นเรา!! แต่ว่าฟังเพื่อที่จะเข้าใจมั่นคง ว่าเป็นธรรมะ!!
อ.วิชัย แม้แต่การแสดงความจริงว่ามีการเกิดดับ ขณะที่ฟังก็ยังไม่ถึงการที่จะประจักษ์การเกิดดับ
ท่านอาจารย์ แต่เริ่มรู้ก่อนว่า ธรรมะคืออะไร ถ้าไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร เดี๋ยวนี้อะไรจะเกิดดับ?
อ.วิชัย ก็ไม่ทราบครับท่านอาจารย์

ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ หมายถึงว่า แม้เพียงคำเดียวคือความเข้าใจคำว่า "ธรรมะ" ก็เป็นเพียงคำเดียวใน ๔๕ พรรษา จากอีกมากมายหลายคำ แต่แม้เพียงคำเดียวนั้น ก็ยังไม่ได้เข้าใจในความเป็นธรรมะนั้นจริงๆ เพียงแต่มีความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ เริ่มต้นเหมือนแสงริบหรี่ แสงหิ่งห้อยจะไปเปรียบกับแสงพระอาทิตย์เป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้เป็นเบื้องต้น ก็ไม่อาจจะมีความเข้าใจที่มากขึ้นกว่านี้ได้

เพราะฉะนั้น การที่เกื้อกูล มีโอกาสเผยแพร่ให้คนเข้าใจว่า ธรรมะหรือความจริง จริงๆ คืออะไร แล้วก็เห็นว่าในช่วงหลังๆ ของหนังสือเล่มนี้ ก็ได้อธิบายธรรมะที่เป็นธรรมะหลัก คือจิต ด้วยความหมายของจิตต่างๆ แล้วก็คงไม่ได้อธิบายทั้งจิต เจตสิก รูป อะไรอย่างละเอียด เพราะหนังสือก็เป็นแค่เบื้องต้น ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็รู้ตามความเป็นจริง เข้าใจเมื่อฟัง!! เดี๋ยวก็ลืมค่ะ แค่ลุกขึ้นยืน ออกไปข้างนอกก็ลืมแล้ว ธรรมะอยู่ไหน? แต่ว่า ขณะที่กำลังฟัง เข้าใจ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เกิดจากการฟัง ไม่ได้หายไปไหนเลย แต่ว่าสะสมความไม่รู้มานานมาก ก็มีปัจจัยที่จะไม่คิดถึงคำที่ได้ฟัง

ด้วยเหตุนี้ จึงฟังบ่อยๆ เพราะรู้ว่า ถ้าขาดการฟังเมื่อไหร่ ขณะนั้นก็จะไม่คิดถึงธรรมะเลย ห่างเหินไปอีกนาน แต่ว่าถ้าฟังบ่อยๆ ก็ไม่ใช่ด้วยความอยาก ด้วยความเป็นเราที่ต้องการจะรู้ นี่คือความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ประมาทไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ความไม่รู้มีมากมายมหาศาล เมื่อไม่รู้แล้วก็มีความติดข้อง สำคัญผิด เข้าใจว่าสิ่งที่มีเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง กว่าจะรู้ความจริงว่าเป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับทันที แต่ว่าสืบต่อจนไม่มีใครเห็นการเกิดดับเลย

เพราะฉะนั้น ฟังให้เข้าใจถูกต้อง จะได้ไม่เข้าใจคลาดเคลื่อน ว่าการที่จะเข้าใจสภาพธรรมะ ต้องขณะที่สภาพธรรมะกำลังปรากฏ ถ้าไม่เข้าใจในขณะที่สภาพธรรมปรากฏ สภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริงคือดับแล้ว!! แล้วก็มีสภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อ ทำให้จำผิด คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มั่นคง นานแสนนานมาแล้ว

เพราะฉะนั้น กว่าจะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ก็ต้องไม่ประมาทจริงๆ ไม่ใช่มีเราที่จะไปทำให้เกิดปัญญา ที่จะละคลายกิเลส แต่ "ความเข้าใจถูก" ต่างหาก ทีละเล็ก ทีละน้อย ที่ค่อยๆ ทำให้เข้าใจความจริง ไม่ผิดพลาด และต้องมั่นคง "อธิษฐานบารมี" เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ!! เห็นไหม? มั่นคงอย่างไร มั่นคงว่า เดี๋ยวนี้เอง เป็นธรรมะ!! ไม่ต้องไปหาธรรมะที่ไหนเลยทั้งสิ้น!! เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้!!!

อ.วิชัย ดังนั้น การมีโอกาสได้ฟังพระสัทธรรม เกิดปัญญา คือ ความเข้าใจถูก ปัญญานั้นแหละ คือแสงสว่าง ที่จะเป็นสภาพธรรมที่จะละความมืดคืออวิชชา!!

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 81

ข้อความบางตอนจาก ...อรรถกถานัตถิปุตตสมสูตร

"...ความรักเสมอด้วยตนไม่มี ทรัพย์เสมอด้วยข้าวเปลือกไม่มี แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี ฝนเท่านั้นเป็นสระอันยอดเยี่ยม ดังนี้. ชื่อว่าแสงสว่างเสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี ถึงแม้จะเป็นดวงอาทิตย์เป็นต้น ก็ย่อมส่องแสงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ ย่อมกำจัดความมืดอันเป็นปัจจุบันเท่านั้น. ส่วนปัญญาย่อมสามารถเพื่อทำโลกธาตุตั้งหมื่นให้เป็นแสงสว่างอันประเสริฐ หาสิ่งอื่นเสมอมิได้ ทั้งย่อมกำจัดความมืด (อวิชชา) ..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณกัลยาณี คุณกิตติมา สินธุสุวรรณ และครอบครัว
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

.........


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
peem
วันที่ 2 พ.ย. 2560

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 2 พ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 2 พ.ย. 2560

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ch.
วันที่ 2 พ.ย. 2560

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chvj
วันที่ 11 ม.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ