ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๐๑

 
khampan.a
วันที่  28 พ.ค. 2560
หมายเลข  28880
อ่าน  2,716

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๐๑


~ การเป็นพระภิกษุ ต้องสะอาด ต้องตรง ต้องบริสุทธิ์


~ พระภิกษุ ที่ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ขัดเกลากิเลส ไม่ประพฤติตามพระวินัย
ลวงหรือเปล่า?

~ พระภิกษุ เป็นผู้ที่สละความเป็นคฤหัสถ์ทุกอย่าง ลืมข้อนี้ไม่ได้ เป็นผู้ที่อาศัยก้อนข้าวของชาวบ้าน เพื่ออะไร? เพื่อให้ชีวิตเป็นไปได้ เพื่อศึกษาพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสของตนเอง

~ ไม่อนุโมทนา (ไม่ชื่นชมยินดี) กับผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมแล้วไปบวช

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นคำจริง ไม่หลอกลวง ไม่หวังร้าย เพราะทำให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก

~ เห็นโทษของการฆ่าสัตว์ ก็สมาทาน คือ ถือเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่จะไม่ฆ่าสัตว์

~ ไม่มีใครจะเข้าใจธรรมได้ โดยไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ฟัง แล้วจะเข้าใจได้อย่างไร?

~ บางคนคิดว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องอบรมเจริญปัญญา อยู่ไปๆ ในสังสารวัฏฏ์แล้วในที่สุดก็ย่อมหมดจด ในเมื่อถึงที่สุดของสังสารวัฏฏ์ ก็คือว่า ไม่ต้องเกิดเลย แต่นั่น ก็เป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง

~ สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คำใดที่ตรัสแล้วไม่เปลี่ยน ได้ยินต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เห็นต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คิดนึกต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สติต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สุขต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทุกข์ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดตามความพอใจได้ แต่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยเฉพาะของสภาพธรรมนั้นๆ

~ พิจารณาตนเองว่า การที่ยังมีความยึดมั่นผูกพันในบุคคล ควรที่จะคลายเกลียวออก หรือว่าหมุนเกลียวเข้าไปอีก? เพราะว่าในภพหนึ่งชาติหนึ่งทุกคนต้องมีความผูกพัน มีความยึดมั่นในบุคคลต่างๆ โดยฐานะต่างๆ แต่ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ควรที่จะละคลาย หรือว่าควรที่จะยึดมั่นให้มากขึ้น หรือแม้แต่เรื่องของโทสะ ความโกรธ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดยังคงมีความโกรธในบุคคลใด ขณะนั้นเป็นอกุศล จะคลายเกลียวออก คือ ละคลายความโกรธแล้วให้อภัย หรือว่าจะหมุนเกลียวของโทสะให้เพิ่มขึ้น มากขึ้นไปอีก?

~ บาป หมายความถึงอกุศล สิ่งที่ไม่ดีไม่งามและให้โทษ บุญ หมายความถึงกุศล สิ่งที่ดีงาม เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษกับใครเลย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีจิต ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ต้นไม้ไม่มีบาปไม่มีบุญ ต้นไม้คิดไม่ได้ ต้นไม้ทำอะไรไม่ได้ ต้นไม้ฆ่าสัตว์ ต้นไม้ลักทรัพย์ หรือว่าต้นไม้จะถวายทาน ไม่ได้

~ ก่อนที่จะปฏิสนธิเป็นบุคคลนี้ ก็ต้องจุติ คือ เคลื่อนจากความเป็นบุคคลในชาติก่อน และอีกไม่นานจุติจิตก็จะเกิด แล้วก็จะทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ แล้วกรรมหนึ่งก็จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลกรรมที่ทำให้เกิดในสุคติภูมิ อกุศลกรรมทำให้เกิดในทุคติภูมิ

~ สภาพธรรมที่ดี ใครก็จะเปลี่ยนให้เป็นสภาพธรรมที่เลวก็ไม่ได้ สภาพธรรมที่ชั่ว ใครก็จะเปลี่ยนให้เป็นสภาพธรรมที่ดีไม่ได้ โลภะ ความต้องการ ความยึดมั่น ความติดข้อง ไม่เปลี่ยนลักษณะ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอกุศลก็ต้องเป็นอกุศล, อโลภะ สภาพที่สละความติดข้องความต้องการ เป็นกุศล ใครจะเปลี่ยนลักษณะของสภาพอโลภเจตสิกให้เป็นอย่างอื่นก็เปลี่ยนไม่ได้ จะใช้ชื่อเรียกอะไรก็ตามแต่ แต่ลักษณะของสภาพธรรมนั้น ยังเป็นสภาพธรรมนั้น ที่ไม่เปลี่ยน


~ การฟังธรรม การสนทนาธรรม เป็นมงคล เป็นเหตุนำมาซึ่งความเจริญ ความสุขมาให้โดยประการทั้งปวง ตั้งแต่ขั้นต้น จนถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

~ ชาวพุทธก็ต้องรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีใครที่จะประเสริฐกว่าพระองค์
เมื่อไม่มี (ใครที่จะประเสริฐกว่าพระองค์) สมควรไหมที่จะเคารพสูงสุด ด้วยการศึกษาให้เข้าใจพระธรรม ที่พระองค์ได้ทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟัง แล้วเราจะไม่เป็นผู้ฟังคนหนึ่งหรือ? ที่จะค่อยๆ ฟังธรรม ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น นอบน้อม เคารพ สักการะยิ่งขึ้น

~ ผู้ที่ระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า บ่อยๆ ย่อมเสมือนกับพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่เฉพาะหน้า ไม่สามารถที่จะล่วงกายทุจริตได้ เพราะเหตุว่า ระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ได้ทรงแสดงธรรม ให้เห็นว่าธรรมใดเป็นอกุศล ที่ควรเว้น ธรรมใดเป็นกุศลที่ควรเจริญ

~ ถ้าสามารถจะทำให้คนอื่นได้เข้าใจว่าอะไรผิด อะไรถูก เป็นประโยชน์ไหม มีเมตตาไหม ไม่ใช่เห็นแก่ตัว แต่รู้ว่าคนอีกมากที่ไม่ได้เข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้อง พระวินัย พระสูตร ก็ไม่ได้ศึกษาเลย เพราะฉะนั้น พระธรรมยิ่งเปิดเผย ยิ่งรุ่งเรือง ถ้ามีความเมตตา มีความหวังดี มีความเป็นเพื่อน กับคนที่เห็นผิด ก็ต้องพูด ต้องเปิดเผยพระธรรมวินัย ให้เขาได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง

~ ใครทำอะไรให้ เป็นแบบฝึกหัด เป็นการที่จะทดลองพิสูจน์ดูว่า ท่านมีขันติ (มีความอดทน) เพิ่มขึ้นหรือเปล่า ถ้ามีขันติ มีความอดทนเพิ่มขึ้น ก็จะรู้ได้ว่า เพิ่มขึ้นอีกๆ แล้วก็เป็นบารมี (ความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ด้วย

~ บางคนไม่ได้พิจารณาเรื่องของความอดทน และก็ไม่ได้สะสมความอดทน เพราะฉะนั้น จะเห็นอันตรายของคนที่ทนไม่ได้ เพราะคนนั้นจะทนไม่ได้แม้ความสุขของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลย ตัวเองก็มีความสุข ไม่มีความเดือดร้อน แต่ผู้ที่ไม่อดทน แล้วก็มีความไม่อดทนอย่างมากที่เคยสะสมมาแล้ว จะทำให้เป็นผู้ที่ทนไม่ได้แม้แต่ความสุขของคนอื่น (เห็นผู้อื่นได้ดีมีสุข แล้วทนไม่ได้)

~ เวลาที่กระทบสิ่งที่ไม่พอใจแล้วก็หงุดหงิด ขณะนั้นให้ทราบได้ว่า จะต้องเป็นอุปนิสัยที่จะสะสม ทำให้มีความขุ่นใจ ไม่พอใจอยู่บ่อยๆ เนืองๆ มากกว่าคนที่อดทน

~ กาย วาจาที่ไม่ดีของคนอื่น ขณะใดที่อดทน ไม่โกรธ ไม่ขุ่นเคืองใจ ขณะนั้น เป็นขันติ ถ้ามีบ่อยๆ ก็จะเป็นความไม่ยาก ไม่ลำบาก ต่อการที่จะกระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ หรือว่ากายวาจาที่ไม่ดีของคนอื่น

~ ให้โทษหรือเปล่า ถ้าเราจะกล่าวถึงพระธรรมวินัย ตรงไปตรงมา ตามความเป็นจริง ตามความถูกต้อง?

~
ไม่มีอะรไที่จะบริสุทธิ์เท่ากับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว

~
ถ้าเราทำความดี กลัวอะไร คนอื่นจะติเตียนเรื่องของเขา คนอื่นไม่ชอบ ก็เรื่องของเขา คนอื่นจะคิดอย่างไร เรื่องของเขา แต่สิ่งที่เราทำเป็นประโยชน์หรือเปล่า ถ้าเป็นประโยชน์ควรทำไหม? ถ้าเป็นสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ ก็ควรทำ

~ ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม เราจะไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นโทษ โลภะ เป็นโทษไหม โทสะ ชัง เป็นโทษไหม โมหะ ไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง เป็นโทษไหม ก็ไม่รู้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ดี ต้องไม่ดี ไม่ว่าใครทั้งสิ้น

~ ทาน (การให้) ๓ อย่าง คือ ให้วัตถุสิ่งของ ให้อภัย และ ให้ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นความดี

~ ได้เข้าใจธรรมก่อนตาย ไม่ผิด แต่ถ้าเข้าใจผิดก่อนตาย เป็นโทษ จะเห็นผิดเพิ่มมากขึ้นต่อไปอีก ไม่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ สิ่งที่ไม่ทำให้เกิดโทษเลย คือ ธรรมฝ่ายดี

~ แต่ละคำของพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เพื่อน้อมมาสู่ความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา

~ เข้าใจธรรมเป็นปัญญาของตนเองเมื่อไหร่ ได้รับมรดก คือ พระธรรม จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อนั้น

~ ประโยชน์จากการที่ได้เกิดมาแล้วก็ต้องตาย จะเร็วหรือช้า อย่างน้อยที่สุด ชาตินี้ก็มีประโยชน์ที่ได้รู้ความจริง จากการได้ฟังพระธรรม

~ ธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลที่สะสมมายังไม่มากพอที่จะเท่ากับทางฝ่ายอกุศล ถ้าเห็นอย่างนี้จริงๆ ก็ยิ่งต้องเพิ่มความเพียรทางฝ่ายกุศลขึ้น ความเพียรขั้นต้นของการเจริญกุศล ก็คือ ต้องเพียรฟังพระธรรมให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ใช่วันนี้วันเดียว แต่ว่าวันอื่นๆ ต่อไปด้วย

~ อวิชชา (ความไม่รู้) รับความจริงไม่ได ้ เพราะไม่รู้

~ ปัญญาแม้น้อยนิด ดีกว่าความเห็นผิดมากมายมหาศาล

~ ความเห็นผิดจะหมดไปไม่ได้ ถ้าไม่มีความเห็นถูก

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๐๐

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
peem
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
panasda
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
อดุลย์
วันที่ 28 พ.ค. 2560

คำสอนของพระสัมสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุดเพราะคำสอนท่านเป็นสัจจะไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้ละความโกรธ ความโลภ ความหลงได้ กราบอนุโมทนาสาธุท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ผู้มีปัญญาและความกรุณาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Noparat
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และ อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 28 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
siraya
วันที่ 29 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
jaturong
วันที่ 29 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
worrasak
วันที่ 29 พ.ค. 2560

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
s_sophon
วันที่ 29 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
worrasak
วันที่ 1 มิ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
aurasa
วันที่ 2 มิ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
kukeart
วันที่ 2 มิ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 3 มิ.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
ประสาน
วันที่ 4 มิ.ย. 2560

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
Triratna
วันที่ 15 พ.ค. 2561

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
สิริพรรณ
วันที่ 20 ต.ค. 2563

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

ถ้าชาตินี้ ไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นจริงของสภาพธรรม เป็นชาติที่สูญเปล่าอย่างยิ่ง

การได้ฟัง แล้วเข้าใจความจริงที่ทรงแสดง แม้น้อยนิด แต่ก็สะสมไปชาติต่อไป เป็นประโยชน์มหาศาลตลอดสังสารวัฎฎ์

กราบขอบพระคุณยินดีในกุศล อ.คำปั่น อักษรวิลัย ในธรรมทานด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
chatchai.k
วันที่ 10 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
Boonsanong
วันที่ 14 พ.ค. 2564

น้อมกราบอนุโมทนา & น้อมกราบขอบพระคุณมากมายยิ่งครับผม !!!

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
มังกรทอง
วันที่ 3 ม.ค. 2565

เวลาที่กระทบสิ่งที่ไม่พอใจแล้วก็หงุดหงิด ขณะนั้นให้ทราบได้ว่า จะต้องเป็นอุปนิสัยที่จะสะสม ทำให้มีความขุ่นใจ ไม่พอใจอยู่บ่อยๆ เนืองๆ มากกว่าคนที่อดทน

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ