ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ สถาบันเทคโนโลยี ไทย-ญี่ปุ่น ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  23 ส.ค. 2559
หมายเลข  28116
อ่าน  1,960

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันพุธ ที่ ๑๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และวิทยากรของมูลนิธิฯ อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากอาจารย์สุภัสสร จินดาไทย อาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยี ไทย-ญี่ปุ่น เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ สถาบันเทคโนโลยี ไทย-ญี่ปุ่น ถนนพัฒนาการ กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๕.๐๐ - ๑๗.๐๐ น.

มีข้อสังเกตุจากที่มีการสนทนาธรรมตามที่ต่างๆ แม้ที่สถาบันฯ แห่งนี้ว่า จากการที่มีผู้ที่มีกุศลศรัทธากราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรมเป็นการสาธารณะ สำหรับบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจสามารถเข้าร่วมฟังและสนทนาได้ ตามอัธยาศัย ซึ่งได้มีการประกาศเชิญชวนผู้ที่สนใจ ทั้งทางเวปไซต์ ทางวิทยุ และตามสื่อต่างๆ ซึ่งก็มีผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังในแต่ละสถานที่ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามเหตุ ตามปัจจัย สำหรับการสนทนาธรรมที่สถาบันฯ นี้ เป็นสถานศึกษาที่มีนักศึกษาเป็นจำนวนมาก แต่แม้จะมีนักศึกษาที่สนใจเพียงท่านเดียวที่สนใจเข้าร่วมฟังและมีความเข้าใจ ก็เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งแล้ว ดังที่ท่านอาจารย์เคยปรารภบ่อยๆ ว่า ไม่ควรกะเกณฑ์คนมาฟังถ้าเขาไม่สนใจที่จะฟัง แต่จากการที่มีคนที่สนใจและมีความเข้าใจจากที่ได้ฟังแล้วแม้เพียงคนเดียว ท่านอาจารย์ก็มีความปีติเป็นอย่างยิ่งแล้ว และเป็นที่น่าสังเกตุว่า การสนทนาธรรมนอกสถานที่ในครั้งนี้ ทำให้ได้พบได้เห็นหลายท่านที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เดินทางมาร่วมฟังการสนทนาด้วยความสนใจและตั้งใจ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีและอนุโมทนายิ่งครับ อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอนในวันนั้น ซึ่งเป็นการสนทนาเรื่องของ "ชีวิต" มาฝากทุกๆ ท่าน เพื่อพิจารณา ดังนี้ครับ

อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์และสวัสดีทุกท่านครับ วันนี้ก็เป็นโอกาสดีวันหนึ่ง ที่มีการสนทนาธรรมที่ สถาบันเทคโนโลยี ไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นการสนทนาเพื่อความเข้าใจความจริง เพราะไม่ว่าจะสนทนาในส่วนใดก็ตาม ก็เป็นไปเพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริง เข้าใจธรรมะ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แม้ว่าจะเป็นคำธรรมดาที่กล่าวถึง ตั้งแต่เกิด น้อยคนที่จะไม่เคยได้ยินคำว่า "ชีวิต" น้อยคนที่จะไม่ได้กล่าวคำว่าชีวิต แม้คำๆ นี้ คำเดียว จะนำไปสู่ความเข้าใจสิ่งที่มีจริง อย่างไรครับ ในช่วงแรกก็กราบเรียนท่านอาจารย์ กับข้อความว่า "ความสำคัญของชีวิต" ครับ

ท่านอาจารย์ เวลามีค่า แน่นอน แล้วเราก็ไม่รู้ว่า เราจะมีเวลาอีกนานเท่าไหร่? เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้รู้ว่า แทนที่เราจะอยู่ในโลกนี้ โดยที่ว่า อยู่มาตั้งนาน แล้วก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว เรารู้อะไรบ้าง? เราคิดว่าเรารู้เรื่องวิชาการต่างๆ แต่สิ่งที่ไม่รู้ ก็คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่ ก็เป็นผู้ที่ได้ยิน ได้ฟัง คำนี้ "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" แต่มีใครบ้างที่จะสนใจ ที่จะคิด แม้แต่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?

เวลามีค่า และเกิดมา ได้ยินคำนี้ แต่ว่า จะมีโอกาสได้เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า? ถึงคุณค่าของคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าวิชาการใดๆ เพราะเหตุว่า วิชาการที่เราเรียนมา ไม่ได้ทำให้เราเข้าใจเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ แม้แต่คำว่า "ชีวิต" เราเกิดมา ก็ได้ยินบ่อยๆ คำว่า "ชีวิต" แต่ชีวิตจริงๆ รู้หรือเปล่า? ว่าคือ เดี๋ยวนี้!!! ถ้าไม่มี "เดี๋ยวนี้" จะมีชีวิตไหม?

เพราะฉะนั้น แม้แต่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้ความจริงว่า "เดี๋ยวนี้" คือ อะไร? แต่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่เหมือนกับคำสอนของคนอื่น ที่สอนแต่วิชา ที่ไม่ทำให้รู้ "ขณะนี้" ตามความเป็นจริง นี่เป็นความที่ต่างกันมาก เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เริ่มจะเห็นค่า ว่า ไม่มีใคร นอกจากพระองค์เท่านั้น ที่จะทำให้เรารู้ว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย อะไรสำคัญที่สุด!!!

แค่คำถามแต่ละคำถาม เราก็คิดไม่ออก ว่าอะไรสำคัญที่สุด ตั้งแต่เกิดจนตาย บางคนบอกว่า ทรัพย์สินเงินทอง บางคนบอกว่า วิชาความรู้ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ช่วยให้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่สุข ไม่ทุกข์ ได้ไหม? ไม่ได้เลย!!!

เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็ตาม ที่ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเป็นผู้ที่สามารถที่จะได้ฟังคำของพระองค์ ต้องเป็นผู้ที่สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน การฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ฟังเผินๆ ไม่ใช่เพียงเปิดพจนานุกรม ปทานุกรม ว่าคำนี้หมายความว่าอะไร? นั่นไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ ทางเดียวที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ได้ฟังคำของพระองค์ อย่างละเอียดยิ่ง

เพราะฉะนั้น "รู้จัก" พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนจะได้ฟังพระธรรมหรือเปล่า? เห็นไหม? ได้ยินแต่คำ แต่ว่า ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด ถ้าจะนับถือใคร ต้องรู้ใช่ไหม? ว่าเขามีคุณแค่ไหน? สมควรแก่การกราบไหว้ บูชา ไม่มีใครอื่น ที่ใครจะนับถือ ยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระองค์ต้องมีสิ่งซึ่งไม่เหมือนใครเลยทั้งสิ้น นั่นคือ "พระปัญญาคุณ" ได้ยินคำว่า "ปัญญา" ทุกคำ ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า "ปัญญา" คือ อะไร? คนที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ "เผิน" แต่ "ทุกคำ" คืออะไร?

อะไรที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า? เราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นไม่ได้!! เป็นอย่างไรตั้งแต่เกิด ก็เป็นไปจนกระทั่งถึงตาย แค่นั้นเอง ใช่ไหม? แต่จะไม่เปลี่ยน จนกว่าจะมีความเข้าใจธรรมะขึ้น ก็เปลี่ยนจากคนที่ "ไม่รู้" เป็นคนที่ "รู้"

เพราะฉะนั้น คำว่า "พุทธะ" ต้องเข้าใจความหมายก่อน "พุทธะ" คือ "ผู้รู้ความจริง" เพราะฉะนั้น อีกคำหนึ่งในภาษาบาลี ซึ่งไม่ใช่ภาษาไทยก็คือ "ปัญญา" เราใช้คำในภาษาบาลีมาก ภาษาบาลีคือภาษามคธี ซึ่งชาวมคธเขาพูดเป็นชีวิตประจำวันของเขา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับชาวเมืองใดก็พูดภาษาของชาวเมืองนั้น เหมือนกับเราขณะนี้เราไม่ได้พูดภาษามคธี ไม่ได้พูดภาษาบาลี แต่เราพูดภาษาไทย แต่ทุกคำในภาษาหนึ่ง ก็จะมีความหมายเหมือนกัน ถ้ามีความเข้าใจ

เช่น "เห็น" ธรรมดามากเลยใช่ไหม? ไม่มีใครไม่รู้จัก "เห็น" แต่ภาษาอีกภาษาหนึ่งใช้คำว่า "จักขุวิญญาน" ก็คือ พูดถึงสิ่งที่มีจริง แต่ใช้คำตามที่คุ้นเคยกับคำนั้นตั้งแต่เกิด แต่ไม่เปลี่ยน "ลักษณะของเห็น" ไม่ว่าจะใช้คำว่าอะไรก็ตาม ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่าอะไร ภาษาอื่นจะใช้คำว่าอะไร เห็นก็เห็น เหมือนกัน เห็นที่นี่ เห็นที่นั่น เห็นที่โน่น เห็นเป็นเห็น แต่แค่นี้ยังไม่พอที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า ต้องฟังอีกนาน และ "ทุกคำ" ต้องเข้าใจละเอียด แล้วก็ถึงที่สุด แม้แต่คำว่า "ธรรมะ" คำเดียว

การศึกษาธรรมะไม่ใช่แค่เผินๆ แล้วคิดว่าเข้าใจ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ "คำเดียว" นั่นแหละ เข้าใจได้แค่ไหน? เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่า "ธรรมะ" ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะเลย ทราบไหม? ว่า "ธรรมะ" คือ อะไร? ใครทราบ? ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม แต่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ตอบได้ไหม? ว่าธรรมะคืออะไร? ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร?

เพราะฉะนั้น คำว่า "ตรัสรู้" ไม่ใช่หมายความว่ารู้ธรรมดา เรารู้เรื่องนั้น เรารู้เรื่องนี้ แต่ตรัสรู้ ตรัสรู้สิ่งซึ่งกำลังมีขณะนี้ ซึ่งเป็นความจริง ถึงที่สุด เพราะฉะนั้น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ใครจะพูดถึงเรื่อง "เห็น" ถึงที่สุดได้บ้าง? แล้ว "เห็น" เป็นชีวิตหรือเปล่า? สภาพธรรมะที่มีจริงทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นชีวิต

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น กำลังเห็นขณะนี้ก็ไม่รู้ใช่ไหม? เข้าใจว่าเป็นเราเห็น ใช่ไหม? ความไม่รู้ มีจริงๆ ไหม?
คุณแมค มีครับ

ท่านอาจารย์ ต้องเป็นคนตรง ศึกษาธรรมะต้อง "ตรง" ถ้าไม่ตรง ไม่ได้สาระเลย เพราะธรรมะตรง เพราะฉะนั้น ขณะที่เห็น ไม่รู้ว่า "เห็น" ไม่ใช่เรา ใช่ไหม? เพราะ "เห็น" เป็น "เรา" มานานแสนนานแล้ว ไม่รู้ว่า "เห็น" ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะ!!! เพราะฉะนั้น "ความไม่รู้" มีจริงไหม?
คุณแมค มีครับ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะหรือเปล่า?
คุณแมค เป็นครับ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะประเภทไหน?
คุณแมค ไม่ทราบครับ

ท่านอาจารย์ ความไม่รู้มีจริงๆ และความไม่รู้เป็นธรรมะด้วย ไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร? ถ้าไม่ใช่เราแล้วคำถามต่อไปคือ แล้วเป็นอะไร? ทุกครั้ง เพื่อที่เราจะได้เข้าใจมั่นคงขึ้น!!!
คุณแมค ความไม่รู้......

ท่านอาจารย์ เห็นไหม? ว่าธรรมะยาก นี่คือชีวิต ชีวิต ไม่ใช่ว่า นักชีววิทยาจะมาตอบ มาศึกษาอย่างไร เขาไม่ใช่ผู้ที่ตรัสรู้ ต้องรู้เลย เพราะฉะนั้น การที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงพระธรรม ไม่มีคนอื่นเปลี่ยนได้ ต้องเป็นความจริงถึงที่สุด ไม่ว่าเขาเป็นใครก็ตาม เขาก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ธรรมะมีจริง แต่ธรรมะต่างกันเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลย แข็ง,เสียง พวกนี้ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรม แต่ว่าสภาพรู้มี ๒ อย่าง นามธรรม คือ จิต ไม่ทำอะไรเลยทั้งสิ้น แค่รู้แจ้ง เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เสียงที่ได้ยิน เหมือนกันไหม?
คุณแมค ไม่เหมือนครับ

ท่านอาจารย์ ไม่เหมือน เพราะจิต "รู้แจ้ง" ในแต่ละเสียง จึงรู้ว่าเสียงหลากหลายต่างกัน เพราะฉะนั้น ธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง ต่างกันเป็น ๒ อย่าง ธรรมะที่เกิดแล้วไม่รู้อะไรเลย เป็นรูปธรรม ส่วนธรรมะที่รู้ เกิดแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ คือ นามธรรม นามธรรมมี ๒ อย่าง คือ "จิต" เป็นใหญ่เป็นประธาน ไม่ทำอะไรเลย นอกจาก "รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ" ที่เหลือทั้งหมด โกรธ,ไม่ชอบ พวกนี้เป็น "เจตสิก" เพราะฉะนั้น ขณะนี้ "เห็น" เป็นอะไร?
คุณแมค "เห็น" เป็น "จิต" ครับ

ท่านอาจารย์ รู้ไหม? ว่าจิตนี้แหละ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เกิดตามลำพังจิตไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่จิตเกิด ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถามซ้ำอีกครั้งหนึ่ง "จิตเห็น" ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย "รู้ไหม?" ว่าขณะนี้ มีเจตสิกเกิดร่วมกับจิตที่เห็น เพียงแค่ได้ยิน ได้ฟัง แต่ไม่ได้ปรากฏเหมือนอย่างจิตเห็น ใช่ไหม? ทั้งๆ ที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น "ไม่รู้" มีจริงๆ หรือเปล่า?
คุณแมค ไม่รู้ มีจริงครับ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะหรือเปล่า?
คุณแมค เป็นครับ

ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ "เราไม่รู้" แต่ "ธรรมะไม่รู้" ไม่สามารถที่จะเข้าใจ ไม่ฉลาด ภาษาบาลีบางครั้งจะใช้คำตรงว่า "โง่" (ทุกคนหัวเราะ) คือ ไม่สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏได้ ด้วยเหตุนี้ "ความไม่รู้" มีจริง เป็น "เราไม่รู้" หรือเปล่า?

คุณแมค ไม่ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ เป็นอะไรคะ?
คุณแมค เป็นธรรมะครับ

ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะ ธรรมะที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม?
คุณแมค เป็นนามธรรมครับ
ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรมประเภทไหน? นามธรรมมี ๒ อย่าง จิตกับเจตสิก
คุณแมค เป็นเจตสิกครับ
ท่านอาจารย์ "เป็นเรา" หรือเปล่า?
คุณแมค ไม่ใช่ครับ

ท่านอาจารย์ เจตสิกที่ไม่รู้ พระผู้มีพระภาคฯ ใช้คำว่า "อวิชชา" วิชชา แปลว่า รู้ เพราะฉะนั้น อวิชชา-ไม่รู้ อีกคำหนึ่งก็ได้ "โมหเจตสิก" ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ หลงเข้าใจผิด ยึดถือว่าเป็นเราเห็น เราได้ยิน พอโกรธเกิดก็เป็น "เราโกรธ" พอดีใจก็เป็น "เราดีใจ" เคยดีใจไหม?
คุณแมค เคยครับ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะหรือเปล่า?
คุณแมค เป็นธรรมะครับ
ท่านอาจารย์ ธรรมะประเภทไหนคะ?
คุณแมค เป็นนามธรรมครับ

ท่านอาจารย์ นามธรรมประเภทไหน?
คุณแมค เป็นเจตสิกครับ
ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก นี่คือ "เริ่มรู้จักธรรมะ" เริ่มเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ฟังอย่างนี้ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? ก็คิดว่าเหมือนคนธรรมดา สอนให้ละชั่ว ทำความดี ใครก็สอนได้!!! แต่ใครจะบอกให้เข้าใจถูกต้อง ว่า "อนัตตา" สิ่งนั้นเกิดขึ้น มีจริง ชั่วขณะที่ปรากฏแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ค่อยๆ เริ่มสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งสามารถจะประจักษ์ความจริงคือการเกิดดับ เป็นพระอริยสาวกได้ นี่คือประโยชน์ของการฟังพระธรรมและเข้าใจพระธรรม

เพราะฉะนั้น เกิดมาชาตินี้ จะรู้ดี หรือ ไม่รู้ดี? จะเข้าใจธรรมะ หรือ ไม่เข้าใจธรรมะดี? เห็นค่าของชีวิตไหม? ว่าการเกิดมา อย่างไรๆ ก็ต้องตาย ความรู้ วิชาการทั้งหมด เหมือนอย่างที่เรียนภาษาญี่ปุ่น เรียนภาษาจีน ตายแล้วเกิด ไม่รู้จะพูดภาษาไหน? เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ที่พูดภาษานี้ แต่ก่อนอาจจะเคยพูดภาษาบาลี มคธี มา สนทนากันเป็นชีวิตประจำวัน แต่พอเกิดชาตินี้ ไม่รู้สักคำ!!! ต้องเรียนใหม่หรือต้องเข้าใจใหม่

เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ก่อนตาย ยังได้รู้พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ได้เห็นพระบริสุทธิคุณ ให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง ไม่ใช่ให้ไปทำสิ่งที่เหลวไหลไร้สาระ สอนให้กราบไหว้บูชาสิ่งซึ่งไปบูชาได้อย่างไร? ต้นกล้วย!!! หรืออะไรๆ ก็ตาม เพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น อวิชชา ทำให้เป็นการกระทำที่เป็นอกุศลกรรม ไม่ใช่กุศลกรรม แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือชีวิตเดี๋ยวนี้ทั้งหมด แต่ถูกปกปิดด้วย "ความไม่รู้" จึงมีความยึดถือ เข้าใจผิด ว่าเป็นเรา!!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของอาจารย์สุภัสสร จินดาไทย
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
กมลพร
วันที่ 23 ส.ค. 2559

การเพียรฟังพระธรรมเพื่อให้รู้สิ่งที่มีจริง เพื่อให้เข้าใจความจริงที่มีในโลก อันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ ถ้าไม่ทรงแสดงไว้ ก็ไม่มีทางเข้าใจ ไม่มีทางรู้

จึงเรียกว่าเป็นการ รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 24 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 24 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
มานิสาโข่งเขียว
วันที่ 24 ส.ค. 2559

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wirat.k
วันที่ 24 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ประสาน
วันที่ 25 ส.ค. 2559

สาธุๆ ๆ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Centella
วันที่ 25 ส.ค. 2559

สาระที่ได้ฟังพระธรรมมีคุณค่าให้เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

ด้วยความเป็นปกติในธรรมที่ไม่มีเราเข้าไปจัดการ

เบิกบานในธรรมปลดกังวลและเยื่อใยได้ด้วยธรรม

น้อมบูชาพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ