ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  15 ส.ค. 2559
หมายเลข  28086
อ่าน  1,758

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากร อ.ธนิต ชื่นสกุล ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท โดย พลโท นายแพทย์ กฤษฎา ดวงอุไร ประธานชมรมฯ เพื่อไปสนทนาธรรม เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ ที่ ห้องประชุมชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐-๑๕.๐๐ น. ขออนุญาตนำความการสนทนาธรรมบางตอน มาฝากให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณาเพื่อประโยชน์ตามควร ดังต่อไปนี้ครับ

พลโท นายแพทย์กฤษฎา กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์และท่านอาจารย์ทุกๆ ท่าน ปรกติ การทำดี ไม่ใช่ง่ายที่จะทำได้ นอกจากทาน ศีล ภาวนาแล้ว ผมคิดว่าในชาตินี้ คงจะไม่มีปัญญาที่จะพบสัจธรรม ผมอยากจะเรียนถามว่า จะทำอย่างไร? ไม่ทราบว่าจะอีกสักกี่ชาติ ที่จะมีปัญญาตัดกิเลสได้ เรียนถามอาจารย์ว่า จะปฏิบัติอย่างไร? ที่จะต่อจากชาตินี้ ชาติหน้า จนกระทั่งสามารถจะดับกิเลสได้หมดครับ

ท่านอาจารย์ สิ่งที่ยากที่สุด ก็คือ การได้เข้าใจความจริง เพราะเหตุว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้ คือ เดี๋ยวนี้!!! ทุกคนก็คงจะรู้ว่ายาก อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ แต่ว่า ไม่เหลือวิสัย ข้อสำคัญที่สุดก็คือ (เป็น) ผู้ที่มั่นคง ในการที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ตั้งแต่เกิด จนตาย กี่ชาติ ผ่านไป จากคำว่า เกิดแล้วตาย แค่สองคำ แต่ว่า ระหว่างนั้น เกิดแล้วยังไม่ตาย ก็จะมี "สภาพธรรมะที่ปรากฏ" เหมือนในขณะนี้!!!

เมื่อวานนี้ก็มี "เห็น" วันนี้ก็ "กำลังเห็น" ต่อไปก็ "เห็น" พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงว่า "เห็น" มีแน่นอน เกิดขึ้นและดับไป นำมาซึ่งความคิดถึงสิ่งที่เห็น จนกระทั่งลืม เหมือนสิ่งที่มีจริงๆ ทุกวัน แต่ มีจริง "ชั่วขณะที่ปรากฏ!!!"

เพราะฉะนั้น ที่ว่า "จะประพฤติอย่างไร?" ก็คือว่า ทุกคนมีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่มีใครที่จะรู้ธรรมะได้เอง นอกจากได้ฟังพระธรรม!!! คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ใช่เหมือนอย่างที่ "คนอื่น" พูด เพราะเหตุว่า ก่อนที่จะได้ฟัง เราก็พูดทุกเรื่อง แต่ว่าไม่รู้ความจริงเลยว่า "แต่ละคำ" ความจริงขณะนั้นคืออะไร? แล้วก็อยู่ไปอย่างนั้น ทุกชาติ ตั้งแต่เกิดจนตาย!! ก็ได้ยิน แล้วก็คิดไป...

แต่เมื่อไหร่ ที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง "คำ" รู้ได้เลย คำนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้น ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ว่าสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ใครก็รู้เองไม่ได้!!! แต่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวเราที่จะไปขวนขวาย พยายามทำ พยายามรู้ พยายามคิดเอง

แต่ จากการที่ได้ฟังพระธรรม ต่ละคำ เป็นปัญญาทั้งหมด!!! และไม่ประมาทเลย แต่ละคำ ลึกซึ้ง เกินกว่าที่จะคิด!! เพราะเหตุว่า ถ้าไม่รู้ความจริง ธรรมะเป็นธรรมดา "เห็น" ธรรมดา, "ได้ยิน" ธรรมดา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่ทุกคนเห็นว่า เป็นธรรมดา นี่ต่างกันแล้วใช่ไหม? เป็นธรรมดา แต่ทุกคนไม่รู้ความจริงของสิ่งซึ่งเป็นธรรมดา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้ เป็นธรรมดา!!!

ก็น่าอัศจรรย์ มีอะไรที่จะต้องรู้ลึกซึ้งกว่า "เห็น" เดี๋ยวนี้??? ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี แล้วทรงแสดงความจริงของ "เห็น" ลึกซึ้งอย่างยิ่ง สภาพธรรมะ ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ โดยละเอียด ทีละคำ อาจจะประมาทว่า "รู้แล้ว" แต่ความจริง แค่ได้ยินอย่างนี้ ก็ยังไม่ได้รู้ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ยังไม่รู้ ก็รู้เพียงเท่านี้ แต่ก็ฟังต่อไป ก็เริ่มจะเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงเท่านั้น ที่เรายังไม่รู้ และสามารถจะรู้จริงได้ ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม

เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่พ้นจาก "สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!!!" แล้วผู้นั้นเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก เข้าใจด้วยตนเองว่ารู้แค่ไหน ว่าขณะนี้ "เห็น" มีจริง "ไม่ใช่เรา" เพราะว่า ถ้า "เห็น" ไม่เกิดขึ้น "เห็น" ก็ไม่มี "เรา" ก็ไม่มี!!! แต่เพราะมี "เห็น" เกิด แล้วไม่รู้ความจริงว่า "เห็น" เกิดและดับไป ทันทีที่เห็น ทันทีที่เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป แต่ก็มีสภาพธรรมะอื่นเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น อย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ได้? ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!

เพราะฉะนั้น ธรรมะไม่ได้อยู่ที่อื่น นอกจากขณะนี้เลย!! ขณะนี้ทุกขณะ อาศัยการฟังพระธรรมแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะว่า "ความไม่รู้" ไม่สามารถที่จะละความไม่รู้ แต่ "ความรู้" ที่ค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะค่อยๆ ละความไม่รู้ ทีละเล็ก ทีละน้อย ไปเรื่อยๆ แล้วผู้นั้นก็จะรู้เองว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น สามารถที่จะรู้ว่า ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เป็นความจริงที่รู้ได้ในวันหนึ่ง!!!

เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่เริ่มประกอบด้วยบารมี คือ ความเพียร รู้ว่า ไม่ใช่เราจะพยายามจะไปขวนขวายด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน แต่กว่าจะได้ฟังพระธรรมแต่ละคำ แล้วเข้าใจขึ้น ก็เป็นผู้ที่ "ตรง" ต้องเป็น "ความเพียร" ไม่ใช่ "เรา" และ ขันติ-ความอดทน ขณะนี้กำลังฟังด้วยความอดทน เพราะรู้ว่า ฟังสิ่งที่มีจริง แต่รู้ยากจริงๆ เพราะเหตุว่า ฟังมานานแล้วว่า "เห็น" เกิดขึ้นแล้วดับ แต่เห็นเมื่อไหร่ "เห็น" ก็ไม่ได้เกิดแล้วดับสักที!!!

เพราะฉะนั้น ยังไม่ได้เข้าใกล้ความจริงของสภาพธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้น ปรากฏ แล้วก็ดับไป ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ว่าขณะนี้เป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง แต่สามารถที่จะรู้จริงๆ ตามที่ได้ฟังได้ เมื่ออบรมเจริญปัญญา ปัญญาต่างหาก เป็นสภาพธรรมะที่สามารถรู้ สามารถเข้าใจได้ "ไม่ใช่เรา"

เพราะฉะนั้น ถ้าปัญญาคือความเข้าใจ ยังไม่มากพอ ไม่มีใครจะไปบันดาลให้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ปรากฏว่าเกิดขึ้นและดับไปได้ แต่ว่า เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ค่อยๆ ละคลาย ก็รู้ว่า ไม่มีใครสามารถจะบันดาลได้ แต่ว่า ปัญญาค่อยๆ อบรม เจริญ ได้!!! ทีละเล็ก ทีละน้อย...

ถ้าศึกษาละเอียด ยิ่งเห็นความยาก ความลึกซึ้ง ของการที่ปัญญา จะค่อยๆ เจริญขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย จริงๆ เพราะว่า ถ้าได้ยินคำว่า "ปัญญาเกิด ท่ามกลางอกุศล" แค่นี้ เพียงคำเล็กๆ น้อยๆ แต่จริง!!! จะทำให้ละคลายความเพียรด้วยความเป็นเรา และความอยาก เมื่อไหร่จะรู้? ทำอย่างไรจะรู้? จะไม่มีเลย!!! เพราะเริ่มเข้าใจจริงๆ ว่า ต้องเป็นอย่างนี้!!!

ทำไมกล่าวว่า "ปัญญาเกิด ท่ามกลางอกุศล?" "เห็น" เกิด ไม่รู้ความจริงว่า "เห็น" เกิดแล้วดับ ติดข้องใน "เห็น" ว่าเป็น "เรา" นั่นคือ ไม่ได้เข้าใจความจริงว่า สิ่งที่เราผ่าน "เห็นคน" แต่ก่อนที่จะเห็นเป็นคน ความไม่รู้ใน "เห็น" เกิดแล้ว และแม้จะมีความคิดว่าเราเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ไม่ใช่ขณะที่เห็นแล้ว ยิ่งฟัง ยิ่งเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่ทรงพระมหากรุณาแสดง ไม่มีใครจะ คิดออก หรือ คิดได้ เลย!!!

เพราะฉะนั้น ท่ามกลางอกุศล ที่กำลังเห็น แล้วไม่รู้ความจริงของ "เห็น" กำลัง "ได้ยิน" ก็ไม่รู้ความจริงของ "ได้ยิน" ทั้งหมด แต่ละวาระ แต่ละอย่าง มีความไม่รู้ แทรกคั่นอยู่ มากมาย มหาศาล

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ก็เป็นการอบรมปัญญา ที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่า ธรรมะแต่ละคำ "ตรง" ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมะมีจริง ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาหรือเป็นเจ้าของได้ เกิดเมื่อมีปัจจัยที่จะเกิด แล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงอย่างนี้ นั่นคือ กำลังเริ่มคลายความยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเรา!!!

ก่อนที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมะ ซึ่งเป็นจริงขณะนี้ ต้องค่อยๆ คลาย การที่เคยยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ เพราะยึดมั่นมา นานแสนนานมาก ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ว่า หนทางเดียวก็คือว่า "ปัญญา" ไม่ใช่เรา ถ้าปัญญายังไม่เกิดพอที่จะรู้ความจริง ความจริง ก็ไม่สามารถจะปรากฏได้!!! เพราะเหตุว่า ปัญญาเท่านั้น ที่สามารถจะรู้ความจริง!!!

ก็ฟังไป ค่อยๆ เข้าใจไป ขณะที่ค่อยๆ เข้าใจ และฟังไปเรื่อยๆ กำลังค่อยๆ ละคลายความไม่รู้และความติดข้อง ในสิ่งที่กำลังมี!!! เพราะฉะนั้น ฟังน้อยกว่ากิเลสที่กำลังเกิด ใช่ไหม?

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
lada
วันที่ 16 ส.ค. 2559

สาธุ อนุโมทนา ในคุณความดีของผู้แสดงธรรมและผู้เสียสละเวลาถอดเทปนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 16 ส.ค. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
มานิสาโข่งเขียว
วันที่ 16 ส.ค. 2559

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 16 ส.ค. 2559

อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 16 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
rrebs10576
วันที่ 17 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ประสาน
วันที่ 17 ส.ค. 2559

สาธุๆ ๆ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 17 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 17 ส.ค. 2559

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
นายสุรพล กิจพิทักษ์
วันที่ 17 ส.ค. 2559

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 17 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chvj
วันที่ 20 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 20 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ