แม้ความคิดก็ไม่ใช่เรา เป็นแค่สภาพธรรมอย่างหนึ่ง

 
lada
วันที่  2 ส.ค. 2559
หมายเลข  28042
อ่าน  1,038

อะไรๆ ก็ไม่ใช่เรา ห้ามความนึกคิดที่อกุศลก็ไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะอธิบายบาปกรรมว่าติดตามเราไปได้ยังไงคะ ในเมื่อไม่มีเรา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 3 ส.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คิดนึก มีจริง เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะคิดดีหรือไม่ดี ก็ตาม เกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ห้ามไม่ได้ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป แม้แต่สภาพธรรมบาปกรรม การกระทำที่ไม่ดีทั้งหลาย ต้องเนื่องมาจากสภาพจิตที่ไม่ดี ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เมื่อเกิดแล้ว ก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิต ต่อไป เพราะตราบใดที่ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด ก็ยังมีเหตุปัจจัยให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งไม่มีคนนั้น คนนี้ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน มีแต่สภาพธรรมเท่านั้น ทุกขณะ หาความเป็นสัตว์เป็นบุคคล ไม่ได้ ที่เคยยึดถือว่า เป็นเรา แท้ที่จริงแล้ว ก็คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และรูป สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร เท่านั้น
จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ต่อไป ด้วยความไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และจะต้องลืมไม่ได้เลยว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
vinmool
วันที่ 3 ส.ค. 2559

เรียน ท่านวิทยากรที่เคารพ

ผมใคร่ขอความกรุณาช่วยอธิบายคำถามของคุณ lada

เพิ่มเติมต่อจากคำที่ท่านแสดงไว้ ดังนี้ครับ "เมื่อเกิดแล้วก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิต ต่อไป"

คำถามของคุณ lada เป็นคำถามที่ดีมากๆ เลยครับ

ขอบพระคุณครับ

ด้วยความเคารพ

วินิตย์ .ม

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
lada
วันที่ 3 ส.ค. 2559

ขอบคุณมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 3 ส.ค. 2559

เรียน ความคิดเห็นที่ ๒ ครับ

อรรถของจิตประการหนึ่ง คือ จิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม จิต จึงสะสมทั้งฝ่ายที่ดีและไม่ดี กล่าวคือสะสมทั้งกุศล และ อกุศล ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล เมื่ออกุศลจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปก็สะสมสิ่งที่ไม่ดี (อกุศล) ต่อไปอีกในจิตขณะต่อไป แม้ในทางฝ่ายกุศลก็เช่นเดียวกัน เมื่อกุศลจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปก็สะสมสิ่งที่ดี (กุศล) ในจิตขณะต่อไป โดยไม่ปะปนกัน เพราะเคยสะสมอย่างนั้นๆ มา จึงเป็นเหตุให้มีความประพฤติเป็นไปตามการสะสมที่เคยได้สะสมมา โกรธขณะนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่เคยสะสมมาที่จะโกรธ ความเป็นผู้มีความเป็นมิตรเป็นเพื่อนหวังดีต่อผู้อื่น เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่เคยได้สะสมมา ทั้งหมดเป็นเรื่องของสภาพธรรม ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แสดงความเป็นอนัตตา ของสภาพธรรมอย่างแท้จริง ที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kukeart
วันที่ 9 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 9 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
papon
วันที่ 9 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
สิริพรรณ
วันที่ 11 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 11 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
doungjai
วันที่ 11 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
wirat.k
วันที่ 13 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ