ขอให้สุขภาพแข็งแรงเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยสดชื่นสมหวัง

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  15 พ.ย. 2558
หมายเลข  27217
อ่าน  838

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอเรียนถามค่ะ

๑. สวดมนต์ไหว้พระฟังธรรมตักบาตรบริจาคเงินลงแรงช่วยเหลือเพื่อการกุศลฯ แล้วก็ขอให้ตนครอบครัวญาติมิตรมีสุขภาพแข็งแรงเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยสดชื่นสมหวัง เนิ่องด้วยได้ทำความดีดังกล่าว ไม่ควรต้องขออย่างนั้นใช่ไหม มีกล่าวในพระไตรปิฎกประการใด เกี่ยวกับ เป็นโลภะที่มาปะปน (มีผู้ต้องการหลักฐานอ้างอิง ฝากถามมาค่ะ)

๒. ควรจะเป็นประการใด สำหรับกรณีนี้

ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 15 พ.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

หากเข้าใจความเป็นไปของชีวิต คือ จิตที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ ก็คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ที่เป็นไปในกุศลบ้าง อกุศลบ้างเป็นธรรมดา และ ไม่มีใคร ไม่มีสัตว์บุคคลที่เกิดกุศลจิต เกิดอกุศลจิต เพราะเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา และในความเป็นจริง สัตว์โลกสะสมกิเลสมามาก ทั้ง โลภะ โทสะ โมหะ และ กิเลสอื่นๆ จึงเป็นธรรมดาที่จะเกิดกิเลสประการต่างๆ เป็นธรรมดา แม้แต่การทำกุศล การทำบุญ ก็เป็นธรรมดาอีกเช่นกัน ที่จะทำบุญแล้ว เกิดโลภะ เกิดกิเลส ที่อยากได้บุญ อยากได้ผลของบุญ เป็นต้น เพราะไม่มีอะไรที่โลภะ ความต้องการ ความติดข้อง ที่ไม่สามารถจะไม่ติดข้องได้เลย เว้นเสียแต่ สภาพธรรมที่เป็น พระนิพพาน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อทำกุศล ทำบุญก็เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลได้ เป็นธรรมดา ซึ่ง ไม่ใช่เฉพาะในสมัยปัจจุบันเท่านั้น ที่จะทำบุญและเกิดอกุศลต่อ ที่อยากได้ผลของบุญติดข้องผลของบุญ เกิดอกุศลประการต่างๆ หลังจากทำบุญแล้ว แม้ในอดีตกาลสมัยพุทธกาล และ ในอนาตกาล สัตว์โลกก็เป็นดังเช่นนี้ สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปฐมทานสูตร ที่ว่า

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 472

ทานวรรคที่ ๔

๑. ปฐมทานสูตร

[๑๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทาน ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน คือ บางคนหวังได้จึงให้ทาน ๑ บางคนให้ทานเพราะกลัว ๑ บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เขาให้แก่เราแล้ว ๑ บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เขาจักให้ตอบแทน ๑ บางคนให้ทานเพราะนึกว่าทานเป็นการดี ๑ บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เราหุงหากิน ชนเหล่านี้หุงหากินไม่ได้ เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่ชนเหล่านี้ผู้ไม่หุงหากินไม่สมควร ๑ บางคนให้ทานเพราะนึกว่า เมื่อเราให้ทานกิตติศัพท์อันงามย่อมฟุ้งไป ๑ บางคนให้ทานเพื่อประดับปรุงแต่งจิต ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทาน ๘ ประการนี้แล


จะเห็นนะครับว่า บางคนให้ทาน เพราะหวังอยากได้ จึงให้ก็มี และบางคนให้เพราะกลัว จึงให้ก็มี บางคนให้เพราะหวังว่าเขาจะให้คืนกลับมาก็มี บางคนให้ทาน แล้วคิดว่า ให้แล้ว จะมีชื่อเสียงก็มี นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่สมัยปัจจุบันสภาพธรรมที่เป็นอกุศลก็เกิดขึ้นได้ ทุกยุค ทุกสมัย ตราบใดที่ยังมีกิเลส

และ อีกพระสูตรหนึ่ง ที่แสดงถึงความเป็นธรรมดาของสภาพธรรม ที่ให้ทาน ก็ยังเกิดกิเลส เกิดความหวังในการได้รับผลของทานได้เป็นธรรม ดังข้อความที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 140

ฯลฯ

พ. ดูก่อนสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทานมีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรมสิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่ ความเป็นอย่างนี้ ฯลฯ

- ข้อความที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงถึงความจริง ของจิตใจของสัตว์โลกที่ยังมีกิเลส ย่อมเกิดความหวัง เกิดโลภะ แม้ทำบุญแล้วก็หวังผลบุญได้เป็นธรรมดานี่คือ ความละเอียดของจิตใจของสัตว์โลกที่มากไปด้วยกิเลส และที่สำคัญที่สุดแม้แต่จะไม่ทำบุญ เราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย ก็เกิดกิเลสเป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว ยังหวังที่จะได้ทรัพย์ เกิดอิจฉา ริษยา เกิดกิเลสประการต่างๆ นับไม่ถ้วน แม้จะไม่ได้ทำบุญให้ทานเลย กิเลสก็เกิดเป็นปกติ เป็นธรรมดาของปุถุชน เพราะฉะนั้น ควรอยู่กับกิเลสคนอื่น ด้วยความเข้าใจ เข้าใจว่า ทุกคนก็ยังมี และเราก็มีเช่นกัน

และเป็นอย่างนั้นได้เช่นกัน เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมเกิดกุศลจิต ที่เข้าใจความจริงของชีวิตแต่ละหนึ่ง ที่เป็นไปด้วยกิเลส และเข้าใจละเอียดลงไปอีกว่า ไม่มีใคร ไม่มีสัตว์บุคคลที่มีกิเลส เพราะเป็นแต่เพียง สภาพธรรมที่เป็นอกุศลจิตเป็นไปเท่านั้น ไม่มีใครมีแต่ธรรม การเข้าใจเช่นนี้ ประโยชน์ คือ สะสมปัญญา สะสมความเห็นถูกของตนเองและละคลายกิเลสตนเองเป็นสำคัญ นี่คือ ประโยชน์สูงสุด คือ ประโยชน์ตน ที่จะเข้าใจความจริง มีหน้าที่ คือ การฟังพระธรม ศึกษาพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้น ย่อมเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ด้วยกุศลจิต แม้แต่ เรื่องการให้ทานของบุคคลต่างๆ ในลักษณะต่างๆ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 15 พ.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประโยชน์ที่ไม่ควรลืม คือ เจริญกุศล เพราะเห็นว่า กุศล เป็นสิ่งที่ดี ถ้ากุศลไม่เกิดเลย ก็นับวันจะมีแต่อกุศลจะเกิดเพิ่มมากขึ้น ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ก็สามารถเกิดขึ้น และไม่ใช่เพียงคนในครอบครัวเท่านั้น ความเป็นมิตรเป็นเพื่อน ไม่ได้มีเครื่องกั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ใครจะมีความเป็นไปอย่างไร เป็นสุขเป็นทุกข์อย่างไร ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่่งจริงๆ

การเจริญกุศลเพื่อหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดตอบแทนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ถ้าเริ่มเข้าใจพระธรรมไปตามลำดับแล้ว การเจริญกุศลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นในขั้นของทาน (การให้ สละวัตถุสิ่งของ เพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่น) ขั้นของศีล (งดเว้นจากทุจริตกรรมประการต่างๆ และประพฤติในสิ่งทีดีงาม) ขั้นของภาวนา (การอบรมเจริญความสงบของจิต และการอบรมเจริญปัญญาที่ประจักษ์แจ้งในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง) ย่อมเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น ครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
rrebs10576
วันที่ 15 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
tanrat
วันที่ 16 พ.ย. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 24 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jarunee.A
วันที่ 23 ก.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ