ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๒๓ - ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๓ เรื่องเล่าจากผู้ฟัง]

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  15 ก.ค. 2558
หมายเลข  26784
อ่าน  2,102

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางมาสนทนาธรรมที่หาดใหญ่ เป็นครั้งที่ ๒ ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร รศ.สงบ เชื้อทอง ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.ธีรพันธ์ ครองยุทธ อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ซึ่งได้รับเชิญจากชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่ โดยคุณพนิดา มิตรปวงชน (คุณโก๋) คุณอมรวไล มิตรปวงชน (คุณซีล) และคุณจิรัฏ ศรีวัชรเมธี เพื่อสนทนาธรรม ที่ โรงแรมเอเชี่ยนหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ ๒๓ - ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘

ในช่วงเช้า ท่านเจ้าภาพได้พาคณะฯ ออกไปรับประทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารภายนอกของโรงแรมเช่นเคย โดยเช้าวันนี้ เป็นข้าวยำปักษ์ใต้ที่ร้านดังของเมืองหาดใหญ่ อร่อยและเป็นอาหารเพื่อสุขภาพดีมากครับ เพราะประกอบไปด้วยผักและสมุนไพรหลายชนิด ที่ตั้งของร้านอาหารก็เพียงเดินออกกำลังกายจากโรงแรมไปไม่นานก็ถึง

การสนทนาธรรมในวันสุดท้ายนี้ มีเพียงระหว่างเวลา ๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. เท่านั้น หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ทุกท่านก็ออกเดินทางไปยังสนามบินหาดใหญ่เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ ตามเวลาบินของแต่ละสายการบิน ในเวลาไล่เลี่ยกัน สำหรับการสนทนาในเช้าวันนี้ โดยส่วนใหญ่ เป็นไปกับการที่ท่านวิทยากร ได้เปิดโอกาสให้ท่านผู้ฟัง เล่าประสบการณ์ของการได้พบและฟังพระธรรมของแต่ละท่าน ซึ่งเป็นประโยชน์มาก ได้เห็นถึงชีวิตของแต่ละบุคคล ที่สะสมมาแต่ละหนึ่งซึ่งมีความแตกต่างกัน แต่ประโยชน์สูงสุดเพียงประการเดียวของการได้เกิดมา คือ การได้พบกับพระธรรมคำสอน ที่จะทำให้ได้สะสมความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ต่อไปอีก จากการได้ฟังและเข้าใจพระธรรมที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ซึ่งจะขอนำความการสนทนา ที่สมาชิกชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่ได้ร่วมสนทนา มาลงไว้เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของทุกๆ ท่านที่สนใจ เป็นตอนจบของการนำเสนอกิจกรรมการไปสนทนาธรรมที่หาดใหญ่ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาในครั้งนี้ ซึ่งอาจจะมีความยาวบ้าง แต่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กว่าถ้าได้นำลงไว้โดยละเอียด น่าติดตามมากๆ ครับ

อ.อรรณพ สำหรับในครอบครัวเอง ก็เป็นส่วนสำคัญ ที่จะมีโอกาสเป็นตัวอย่าง แล้วก็ชักนำ ให้เยาวชน บุตรหลาน คือ เราเป็นเพื่อน ปรารถนาดีกับทุกคน เพียงแต่ว่า ถ้าอยู่ในครอบครัว ก็ใกล้ตัวเรา คนใกล้ตัว ก็อาจจะเป็นบุตร เป็นอะไรนี่ ซึ่งมาที่นี่ก็ดีนะครับ รู้สึกชื่นชมว่า ยังมีเด็กๆ มาฟังธรรมะ ก็อยากจะเชิญคุณแม่ของน้องหยิงจิ้ง ขอฟังความเห็นในฐานะคุณแม่ ที่ค่อยๆ ปลูกฝังความรู้ ความเข้าใจถูก ให้กับลูกๆ ในบ้าน เชิญครับ

คุณปาล กราบสวัสดีอาจารย์สุจินต์และคณะวิทยากรทุกท่าน ค่ะ ตื่นเต้นค่ะ หนูชื่อ ปาล สว่างพัฒนกุล ที่เริ่มศึกษาพระธรรมก็คือ ได้รู้จักกับพี่ท่านหนึ่ง ชื่อ จันทร์เม็ด เขาแนะนำให้ฟังแผ่น (MP 3) ท่านอาจารย์สุจินต์ ตอนนั้นก็คือ เป็นคนที่ชอบศึกษาธรรมะ ไม่เข้าใจว่าธรรมะคืออะไรนะคะ แต่ก็จะอ่านหนังสือของท่าน ว.วชิรเมธี แล้วก็ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น อะไรประมาณนี้ แล้วก็ เดอะซีเครท หนังสือเล่มนี้ด้วย ที่ได้เจอคำว่า จิต เจตสิก ครั้งแรก ยังไม่เข้าใจ แต่ก็ได้สะสมเป็นเรื่องเป็นราวไป จนกระทั่งได้มาฟังแผ่นท่านอาจารย์สุจินต์ พื้นฐานพระอภิธรรม ได้กล่าวเรื่องจิต เจตสิก ที่ละเอียดและลึกซึ้ง และด้วยความที่เป็นนักคิด ก็จะคิดถึงว่า ระบบกลไกของแต่ละคน ทำงานอย่างไร อะไรอย่างนี้ ไปเปรียบเปรยจิตแต่ละดวง

(ภาพคุณชลธี ภู่ชลธี แชร์ภาพและข้อความการสนทนาธรรมสดๆ ขณะฟัง ไปยังกลุ่มสนทนาธรรมภาคใต้ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ ครับ)

ก็ได้เปิดฟังไปเรื่อยๆ ด้วยความที่ลูกก็อยู่ด้วยกัน เลี้ยงลูกเอง เปิดไป ลูกก็ฟังไป ฟังไป บางทีตอนเช้า ขับรถไปส่งลูก ที่โรงเรียน ก็เปิดในรถ คือ เปิดตลอดเลย จนกระทั่งได้ซึมซับ ซึมซับ เรื่อยๆ จนกระทั่ง กว่าจะได้เข้าใจคำว่า เขาทำกิจหน้าที่ของเขาเอง ไม่มีตัวเรา เป็นสภาพธรรมะที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุและปัจจัย จริงๆ

ก็จะเห็น (เข้าใจ) ว่า การทำงานของเขาเป็นอย่างไร แต่ก็ยังมีตัวเราอยู่นะคะ สลับ (กับความเข้าใจ) ธรรมะของท่านอาจารย์สุจินต์ ก็ได้เกื้อกูลครอบครัวหนูมาก เพราะหนูเป็นคนชอบขี้โกรธ ชอบหวังในตัวลูกมาก เวลาลูกทำอะไรผิด ก็จะโกรธ แล้วก็นึกได้ ว่านี่เราหวังแล้ว เราโกรธลูก เพราะเราหวัง เราคาดหวัง เมตตามีบ้างไหม? อะไรอย่างนี้ค่ะ จะเป็นแนวออกเตือนๆ ตัวเอง ยังเป็นแนวท่องๆ เตือนๆ อยู่

แต่ก็เป็นขั้นแรกที่มีประโยชน์เหลือหลายเลยค่ะ ไม่อย่างนั้น ด้วยความเป็นปุถุชน บางครั้งก็ทำร้ายลูกบ้าง ว่าลูกบ้าง จิก! ด้วยสายตาบ้าง (หัวเราะกันครืน) หลายๆ ประการเลย จนนี่ได้ลดละ โชคดีมากเลยค่ะ เป็นบุญของเขาด้วย ที่หนูได้ศึกษาพระธรรม แล้วจากที่หนักๆ ก็ลดๆ บางทีเผลอ ด่าไปแล้ว ก็นึกได้ ก็เบาลงมาค่ะ ท่านอาจารย์ ก็เป็นประโยชน์มากเลยค่ะ ทาง ๖ โลกนี้ หนีไม่พ้นเลย ในชีวิตประจำวัน ทางตาบ้าง เห็นแล้วก็คิด เสียงบ้าง ได้ยินแล้ว เป็นเราเลย คิดถึงเสียง ได้ยินอะไร? อย่างนี้ค่ะ ลิ้มรส กระทบสัมผัส หนีไม่พ้นจริงๆ ๖ โลกจริงๆ ค่ะ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็แสดงว่า การฟังธรรมะ ทำให้เข้าใจสิ่งที่มี เดี๋ยวนั้น ขณะนั้น ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ว่า ต้องไปเปิดตำรา เป็นจิตดวงไหน ขณะไหน ประกอบด้วยเจตสิกเท่าไหร่ แต่ว่า ขณะนั้น ก็สามารถที่จะรู้ว่า ธรรมะ เป็น ธรรมะ ค่ะ

อ.อรรณพ ครับ ก็เห็นคุณค่าของความเข้าใจจริงๆ ครับ ท่านอาจารย์ ว่าเมื่อมีโอกาสที่ได้เข้าใจความจริง เข้าใจธรรมะ ก็เป็นผู้ที่ละเอียดขึ้น ซึ่งแต่ก่อน ก็อาจจะไม่ได้ละเอียด ใช่ไหมครับ ก็ปนๆ กันไป นึกว่ารักลูก แต่บางที รำคาญบ้าง เมื่อกี้บอกว่า แม้กระทั่ง "จิก" ด้วยสายตา (หัวเราะกันครืน) ก็รู้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล ถึงจะไม่ใช่เป็นการประจักษ์ชัด ในสภาพธรรมะจริงๆ แต่ว่ายังมีปัญญาขั้นเรื่องราว ซึ่งก็เป็นประโยชน์มาก ถ้าเป็นปัญญาที่เข้าใจตรงสภาพนั้นอีก ประโยชน์จะมหาศาลแค่ไหน

เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก จะเห็นว่าการศึกษา การเข้าใจพระธรรม เป็นประโยชน์ทุกอย่างเลย แม้กระทั่งเรื่องเยาวชน

ท่านอาจารย์ ต่อไป ก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้น แม้แต่รูปที่เกิดจากจิต ขณะที่กำลัง "จิก" ด้วยสายตา (หัวเราะ) ก็ไม่ใช่เรา!! แต่ต้องเป็นจิต ซึ่งทำให้รูปนั้นเกิดขึ้น

อ.อรรณพ ครับ ก็ขอขอบคุณ อนุโมทนาคุณปาล ด้วยนะครับ เชิญนะครับ ถ้ามีประเด็นอีก ในเรื่องธรรมะกับเด็กๆ หรือเด็กๆ อย่างน้องแบงค์ ก็โตกว่าน้องหยิงจิ้งหน่อย

ท่านอาจารย์ ค่ะ จะคุยกับคุณแม่น้องแบงค์ไหมคะ

อ.อรรณพ ถ้าคุณแม่น้องแบงค์จะมีอะไรมาเล่าให้ฟัง สบายๆ ครับ ขอเชิญครับ

ท่านอาจารย์ ของแบงค์ด้วยนะคะ ทุกคนอยากฟังค่ะ ตัวอย่างที่ดีมากเลยค่ะ โดยเฉพาะในโลกยุคนี้ ยากที่จะหาได้

คุณอ่อนนุช กราบสวัสดีอาจารย์ค่ะ แล้วก็ท่านวิทยากรทุกๆ ท่านเลยค่ะ หนูชื่อ นางสาวอ่อนนุช แซ่สึ ลูกก็ชื่อ น้องแบงค์ ค่ะ

ท่านอาจารย์ น้องแบงค์คุยหน่อยสิคะ วันนี้หยุดเรียนสิคะนี่

คุณอ่อนนุช วันนี้ลาค่ะ

ท่านอาจารย์ ลามาสองวันแล้วใช่ไหม? เมื่อวานนี้ด้วย?

คุณอ่อนนุช เมื่อวานนี้ไม่ได้ลาค่ะ มาช่วงเย็นค่ะ

อ.อรรณพ ก็มาเรียนธรรมะนะครับ ไม่ใช่หนีโรงเรียน (หัวเราะกันครืน) มาเรียนธรรมะ เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ทำไมคุณอ่อนนุชถึงได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม แล้วก็สนใจขึ้นมา

คุณอ่อนนุช ส่วนตัว เป็นคนที่ ตั้งแต่เด็กๆ ก็มีความรู้สึกว่า แสวงหาค่ะ แต่ว่า ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ธรรมะคืออะไร จนกระทั่งเพื่อน คือ น้องปาล เป็นผู้ที่คอยเกื้อกูลแล้วก็นำทางให้ได้ฟังพระธรรมคำสอนของท่านอาจารย์สุจินต์ แล้วก็มีพี่หล้า (คุณจันทร์เม็ด ชมภูกาศ) เป็นคนเกื้อกูลอีกคนหนึ่งค่ะ

ท่านอาจารย์ ฟังมานานเท่าไหร่แล้วคะ?

คุณอ่อนนุช ฟังมาก็ประมาณ ๒-๓ ปี ได้ค่ะ ที่ได้ฟังอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้เขาเอามาให้นานแล้ว แต่ว่าไม่เห็นประโยชน์ค่ะ ให้มาเป็นปีๆ ก็เอาไปตั้งไว้ จนกระทั่งน้องปาลก็คอยมาเตือน แล้วก็คอยมาพูดให้ฟังบ่อยๆ ก็เลยมีโอกาสได้เอาไปฟังดูบ้าง ฟังไป ฟังมา ฟังไป ฟังมา ก็ซึมซับ ก็พอได้เข้าใจบ้าง แต่ก็ยังไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่นะคะ

ท่านอาจารย์ เพราะมีเพื่อนดี

คุณอ่อนนุช ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์ แล้วแบงค์ล่ะคะ มีอะไรเล่าให้ฟังบ้างไหม?

อ.อรรณพ น้องแบงค์ครับ คุณแม่เปิดธรรมะฟังที่บ้านบ่อยไหมครับ?

น้องแบงค์ บ่อยครับ

อ.อรรณพ แล้วน้องแบงค์ได้ฟังกับคุณแม่บ้างไหมครับ?

น้องแบงค์ มีครับ เหมือนกัน

อ.อรรณพ ได้ฟังแล้วเป็นอย่างไรบ้าง รู้เรื่องไหม?

น้องแบงค์ รู้เรื่องครับ

คุณอ่อนนุช คือ ก่อนนอนเดี๋ยวนี้ ทุกวัน แบงค์เขาก็เปิดฟังเองค่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่า เขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่ก่อนนอนเขาก็เปิดฟังเองค่ะ

ท่านอาจารย์ ทุกคำ ก็เป็นประสบการณ์ที่ได้เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งก็คือว่า การฟังพระธรรม ต้องเป็นผู้ที่ตรง ตรงต่อความเป็นจริง และความจริงก็คือ ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ !!!

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องต่างกับคนอื่น ไม่ว่าเขาเป็นใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระองค์ ทำให้ผู้ฟัง เกิดปัญญาของตนเอง แต่คำของคนอื่น ทำให้คิดเป็นเรื่องราวต่างๆ เป็นเหตุเป็นผล ประมวลมา บางทีน่าฟัง น่าเชื่อถือ แต่เกิดความเข้าใจอะไรบ้าง? ที่เป็นปัญญาของตนเอง!!! นี่เป็นสิ่งที่ต่างกันมาก เราฟังเรื่องอะไร ก็ได้คติจากเรื่องนั้นบ้าง ได้ความคิดต่างๆ จากแต่ละคน แต่ว่า ในขณะนั้นเอง ต้องไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มจากการให้เราเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ และเป็นความเข้าใจของเราเองด้วย!!! ไม่ใช่ว่า ทุกคนฟังแล้วเข้าใจเหมือนกันหมด เท่ากันหมด หรือว่า คิดอย่างเดียวกันหมด แต่ว่า ความคิดหลากหลายของแต่ละคนที่สะสมมา ทำให้แต่ละท่าน ที่แม้เข้าใจธรรมะตรง แต่การสะสมก็ทำให้ต่างกัน เป็นท่านพระสารีบุตร เป็นท่านพระมหาโมคคัลลานะ เป็นท่านพระอนุรุทธ เป็นท่านพระอานนท์ อย่างไรก็ตาม ทุกท่านมีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นปัญญาของแต่ละท่านเอง

ด้วยเหตุนี้ เราก็จะเห็นผู้ที่มีความคิด ความเห็น หลากหลายมาก บางความเห็น ก็เป็นประโยชน์ แต่ว่า ทำให้เราเกิดปัญญา ความเห็น ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลย แล้วก็ไม่ใช่ว่าเชื่อตามที่บุคคลนั้นกล่าว แต่ว่า ทำให้เราเกิดปัญญา ความเห็นถูก ในสิ่งที่กำลังมี!!!

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เป็นผู้ตรง ก็จะสามารถแยกออก ว่าคำใด เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ทีละเล็ก ทีละน้อย แล้วก็ ยิ่งฟัง ยิ่งเข้าใจละเอียดขึ้น ลึกขึ้น จนเห็นว่า สภาพธรรมะที่มีในขณะนี้ "เผิน" ไม่ได้เลย หรือคิดว่า เข้าใจแล้ว อย่างที่ว่า อ่านไปตั้งหลายรอบก็ไม่เข้าใจ เป็นความเข้าใจระดับไหน? เพราะเหตุว่า ถ้าพูดถึงแต่ละคำ เข้าใจได้ ธรรมะ คือ อะไร? ถ้ามีผู้สอนว่า ธรรมะ คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่พอ ใช่ไหม? แล้วพระพุทธเจ้า สอนเรื่องอะไร? มิฉะนั้น เราก็จะมีความรู้เพียงแค่ว่า พระธรรม คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมะอะไร?

เพราะฉะนั้น จะไม่มีวันจบ และจะไม่มีวันพอ จนกว่า มีความรู้ ความเข้าใจของเรา ที่เกิดจากการได้ฟังความละเอียดขึ้น ความถูกต้องขึ้น จนกระทั่ง ความเข้าใจเพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย เพราะเหตุว่า ฟังมากี่วันแล้ว? (ว่า) "เห็น" เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดดับ ไม่ใช่ของเรา ไม่สำคัญเลย คำนั้น จริงตลอดทุกครั้งที่ได้ยิน แล้วก็รู้ด้วยว่า ได้ยินบ่อยๆ อย่างนี้ นานไหม? กว่าจะเริ่มรู้ "เฉพาะลักษณะ" ของ "เห็น" เดี๋ยวนี้!!! เพราะ "เห็น" เดี๋ยวนี้ ต่างหากที่เกิดแล้วดับ ถ้าไม่มีเห็นเดี๋ยวนี้ จะบอกว่าเห็นเกิดแล้วดับ ได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ เป็นเรื่อง "เข้าใจ" แล้วก็ "ละ" ความคิดเห็นของตนเอง หรือว่า ความคิดเห็น "เรื่อง" ธรรมะ แต่ต้องมีความเข้าใจว่า สิ่งที่มีนี้ ยากไหม? แค่ฟังก็ยาก แต่ต้องถึงการประจักษ์แจ้ง เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งแล้ว ทรงแสดงความจริง ให้คนอื่นได้ค่อยๆ อบรมความเห็นถูก จนรู้แจ้งด้วย!! จึงมีพระอริยสาวกมากมายในครั้งอดีต ที่เคยได้ยินชื่อกันมาแล้ว แล้วก็ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ท่านเหล่านั้น ก่อนจะถึงวันนั้น ก็เหมือนอย่างนี้!! คือ เริ่มได้ยิน ได้ฟัง บางชาติ ค่อยๆ สะสมความตรง ความเห็นถูกต้องว่า ปัญญา คือ สภาพที่เข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่มีจริง โดยการได้ยิน ได้ฟัง ไม่คิดเองและไม่ฟังคำอื่น ซึ่งไม่ทำให้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริง

เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ "ละเอียด" อย่างยิ่ง และต้อง "ตรง" อย่างยิ่ง ว่า ประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่แค่เพียง ฟังใครก็ได้!!! แต่จะรู้จักคนที่เราได้ยิน ได้ฟัง เพิ่มขึ้น ว่าเขา เป็นความคิดของเขาเอง สอน เผินๆ มีเหตุ มีผล หรือว่า ทำให้เข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏ!!! ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาด้วยตัวเอง แล้วก็สะสมประโยชน์ที่แท้จริง คือ สิ่งที่มีในขณะนี้ รู้ความจริงได้แน่นอน!! เพราะได้ฟังแล้วว่าจริง และยังจะได้ฟังต่อไปอีก จนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ที่สามารถทำให้ค่อยๆ เห็นถูก คลายการที่เคยยึดถือไว้เหนียวแน่นมาก ว่า "เป็นเรา" ตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย

เพราะฉะนั้น ก็เป็นปัจจัยที่สะสมไป ไม่ใช่เรา แต่เพราะเหตุว่า ได้เริ่มเข้าใจแล้ว ความเข้าใจนี้ ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทีละน้อยมาก!!! เหมือนได้ฟังว่า "เห็น" เกิดดับ ไม่ต้องคิดเลย (ว่า) เมื่อไหร่ปัญญาจะประจักษ์การเกิดดับ แต่เกิดแน่ ดับแน่ เพราะว่า กำลังเห็นขณะนี้ ก่อนเห็น ไม่มี และ เห็นที่เห็นแล้ว ก็ไม่ได้อยู่ตลอดไป ว่าเป็นเห็นอย่างเดียว ยังมีธรรมะอื่น แทรกคั่น ก็แสดงว่าสภาพเห็นต้องดับไป และ สภาพธรรมะอื่นก็ต้องเกิด ปรากฏ แล้วก็ต้องดับไป แล้วสภาพธรรมะอื่นก็ปรากฏ สิ่งที่มีเป็นปรกตินี้ ตรงตามความเป็นจริง คือ ค่อยๆ เข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย ไม่ใช่หวังว่า ไม่รู้อะไรเลย แล้วเราจะเกิดปัญญาที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ แต่เป็นผู้ที่ตรง ว่า ฟังอย่างนี้ เพราะความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยกาลเวลา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย จึงได้บำเพ็ญบารมี คือ คุณความดีและการเห็นถูกต้อง มานานแสนนาน กว่าสามารถที่จะรู้ความจริงได้

เพราะฉะนั้น ก็ไม่หลงไปทางอื่น ที่จะไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ!!!

อ.อรรณพ ครับ เพราะฉะนั้น นั่นเป็นคำสอนที่เป็นพระธรรม ปัญญาเท่านั้น และความตรง ละเอียด ก็คือ ปัญญาและโสภณธรรมทั้งหลาย ที่ปรุงแต่งจิต จึงจะรู้ได้ว่า คำสอนไหนเป็นพระธรรมจริงๆ อันนั้นคือเป็นประโยชน์จริงๆ ไม่เช่นนั้น ก็ไม่ถึงปลายทาง พระนิพพาน

การสนทนาที่มาที่นี่ ก็ดีมาก ได้มีโอกาสได้ฟังความเห็น โดยเฉพาะสหายธรรมะที่ภาคใต้ เห็นความสนใจ แล้วก็ทยอยกันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เช้า เมื่อสักครู่ ก็สนทนากันกับสหายธรรมที่ภาคใต้ เช่นคุณแม่น้องหยิงจิ้ง คุณปาล คุณปาลก็ได้รับการแนะนำธรรมะจากสหายธรรม ซึ่งเมื่อสักครู่ ก็คุยกัน รู้สึกว่า น่าจะเป็นประโยชน์ที่จะได้มาสนทนาด้วย ว่าทำไมถึงมีโอกาสได้เข้าใจธรรมะ แล้วก็เป็นผู้แนะนำผู้อื่นด้วย แล้วก็ทราบว่า เดิมท่านเองก็มีข้อปฏิบัติที่ไม่ถูก แล้วก็ทำมาตั้งนาน แต่ทำไมถึงได้มีการที่จะได้เข้าใจความจริง แล้วก็เห็นประโยชน์ของพระธรรมจริงๆ อย่างนี้ขึ้นมาได้ ซึ่งก็จะเป็นตัวอย่างของการที่ได้มีโอกาสเข้ามาสู่พระธรรมที่ถูกต้อง จากความที่เคยประพฤติปฏิบัติผิดต่างๆ ก็ขอเรียนเชิญได้สนทนาครับ ผู้แนะนำคุณแม่น้องหยิงจิ้งมาฟังธรรมะ

คุณจันทร์เม็ด กราบสวัสดีอาจารย์สุจินต์ แล้วก็ท่านวิทยากรทุกท่าน ดิฉัน จันทร์เม็ด ชมภูกาศ ค่ะ เริ่มมารู้จักธรรมะอาจารย์ ตอนนั้นก็อยู่ในกลุ่มคนทานเจค่ะ ดิฉันไปอยู่ในนั้น ตอนนั้นก็สิบกว่าปี แล้วก็ ที่นั่นเขาจะมีฟังธรรมะกันทุกวันพุธ สมัยนั้นดิฉันก็ไปช่วยงานเขา แล้วก็ไปช่วยพูดธรรมะให้เขาฟังด้วย ทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้ แต่สมัยนั้น "คิดว่าเรารู้" ค่ะ แล้วก็ฟังธรรมะจากวิทยุ เพื่อที่จะเอาตรงนั้น ไปช่วยที่เขาทานเจกัน เพราะที่นั่นเขาจะมีเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เขาจะทานเจกันแล้วก็จะมีสนทนาตามจุดต่างๆ ช่วงนั้นที่ดิฉันอยู่ บางทีก็เป็นวันพุธ บางทีก็ไปช่วยแต่ละจุด

อ.อรรณพ แล้วที่ว่า ฟังธรรมะจากวิทยุแล้วไปช่วยคนทานเจ จากไหนครับ

คุณจันทร์เม็ด ตอนแรกก็ฟังไปเรื่อยค่ะ คือ เขาจะบอกว่าให้เราไปหาธรรมะ แล้วก็เอามาช่วยพูดๆ ให้คนอื่นฟัง แล้วก็ชวนคนไปที่นั่นเยอะๆ เพราะว่าถ้าเราไปช่วยทางโน้น ญาติของเราเจ็ดชั่วโคตรจะได้ขึ้นสวรรค์หมดเลย จากอยู่นรก

อ.อรรณพ เขาบอกอย่างนั้น เราก็เลยไปแสวงหาสิ่งที่คิดว่าเป็นธรรมะ เอาไปป้อน?

คุณจันทร์เม็ด ค่ะ แล้วเขาก็บอกว่า ตอนนี้ ชื่อดิฉัน ไปจดอยู่บนสวรรค์แล้ว (หัวเราะกันครืน) ตอนนั้นก็ไม่ค่อยได้เชื่อ แต่ว่า ดิฉันก็เป็นชาวพุทธ คือ นับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่เคยฟังธรรมะ แต่ไปที่นั่นเขามีจัดการฟังธรรมะ ตอนนั้นก็รู้สึกว่า เขาพูดดี แต่พอมาฟังธรรมะ คือ พอมาหาธรรมะที่จะเอาไปพูดให้คนอื่นฟังบ้าง ก็ฟังจากพระบ้าง อะไรบ้าง จนมาเจอท่านอาจารย์สุจินต์วันนั้น เป็นตอนหกโมงเช้า ฟัง ก็รู้สึกว่า เสียงท่านเพราะ จากสถานีวิทยุ ขณะนั้นที่หาดใหญ่ ตอนนั้นมี ทอ. 011 ค่ะ ฟัง แต่ว่า ฟังอยู่พักหนึ่งแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่รู้สีกว่าเสียงเพราะ แล้วก็มีบางคำที่เราพอจะเข้าใจบ้าง แต่บางคำจะไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกชอบอย่างนี้ แต่ก็ยังไปตรงโน้นอยู่ (หัวเราะ) แล้วก็ยังทานเจอยู่ ทาน ๑๐ กว่าปี แล้วก็เอาธรรมะ แต่ก่อนเป็นเทปคาสเซ็ท ก็เอาไปถอดเทปเพื่อที่จะเอามาอ่านๆ ๆ แล้วก็เอาไปให้เขาฟัง เสร็จแล้วก็ ฟังไป ฟังมา แล้วเราไปฟังเขาพูดที่โน่นด้วย คือ คนที่พูดธรรมะมีหลายคน แล้วก็ทำให้ หลังๆ มานี่ รู้สึกว่าไปฟังแล้วกุศลจิตไม่เกิด ทางโน้นเขาบอกว่า ศึกษาจากพระไตรปิฎกแล้วเขาไม่เข้าใจ เขาบอกว่าไร้สาระ แล้วก็ยาก เขาก็เลยเอาพระไตรปิฎกไปเผา ดิฉันฟังแล้ว เกิดอกุศลจิตค่ะ มันไม่ใช่ แต่เราจะไปเถียงเขาไม่ได้ เขาเป็นผู้ใหญ่ ฟังไปฟังมา ดิฉันไม่ไปแล้วที่โน่น มันไม่ใช่!!!

เพราะว่า ที่โน่น เขาจะสอนให้แค่เราเป็นคนดี บอกว่าให้เราเป็นคนดี คิดดี พูดดี ทำดี ดิฉันก็อยากจะเป็นคนดี แต่ว่า เรารู้ตัวเองว่าเราไม่ดี พอไม่ดีแล้วเราเครียด เพราะเขาบอกว่าให้เราเป็นคนดี ตอนนี้ ถ้าเราไปอยู่ที่นั่น ถ้าเราเป็นคนดี แสงสว่างจะอยู่บนหัวเรา รอบๆ อาจารย์ตรงนั้นคือเป็นคนจีน เขาจะว่าอาจารย์มองเห็น เราก็อยากเป็นคนดี เพราะอยากมีแสงสว่างนี้ เขาพูดอย่างนั้น แต่จริงๆ ไม่มี เขาหลอกเรา (หัวเราะ) ให้เราเป็นคนดี แต่เขาไม่ได้บอก ว่าคนดีคืออะไร? อย่างไรถึงคิดดี อย่างไรถึงพูดดี อย่างไรถึงทำดี เขาบอกเพียงแค่ ให้เป็นคนดี

แต่ว่า ดิฉันฟังธรรมะของอาจารย์สุจินต์ ท่านจะอธิบายเรื่องของอกุศลกรรมบถ ๑๐ แล้วก็ บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ นั่นคือความดีที่ได้เข้าใจ ได้จากท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้น ดิฉันเข้าใจ คือ ถ้าเป็นคนดี ดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ อาจารย์สุจินต์ท่านจะย้ำเสมอ ว่าดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ และถ้าเราจะรักษาศีล เราก็จะต้องรักษาไปทุกภพทุกชาติ ถ้าเราให้ทาน เราก็ต้องมาให้ทานทุกภพทุกชาติ ซึ่งมันก็ไม่จบ นอกจากเราฟังธรรมะ แล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่ท่านอาจารย์สุจินต์จะเน้นย้ำ ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แล้วท่านก็จะแนะนำ จำแนกออกให้ฟังว่า ทางตา ลักษณะเป็นอย่างไร? ฟังธรรมะ ถ้าจะเข้าใจธรรมะ ต้องรู้จัก "ตัวจริงๆ " ของธรรมะ ไม่ใช่แค่ "เรื่องธรรมะ" อย่างทางตา ต้องรู้จัก "สภาพรู้" แล้วก็ "สิ่งที่ปรากฏ" ว่ามันแยกกันได้อย่างไร? ทางหู เสียง กับ ได้ยิน ลักษณะของเขา คนละอย่าง แล้วก็ ทางใจ ที่คิดนึก หลังจากเห็น ได้ยิน อย่างนี้ค่ะ

ดิฉันฟัง แล้วก็พิจารณาตาม ทางนี้ได้ประโยชน์กว่า ดิฉันทิ้งทางโน้น ทั้งๆ ที่ทางโน้นตามมา ทั้งมาว่า ทั้งมาขอร้อง ทั้งมาอะไร ดิฉันไม่ไปแล้ว เพราะว่า มันไม่ใช่หนทาง!!! มันเสียเวลา!! อายุเราก็เยอะขึ้นไปทุกวัน แล้วก็ไม่รู้ว่าเราจะอยู่ในโลกนี้อีกสักกี่วัน ประโยชน์ของเราเอง ไม่ต้องสนใจเพื่อน หรือว่า กลุ่มของเรา เขาจะเป็นอย่างไร เรื่องของเขา เขาจะไม่ชอบเราแล้ว เขาจะเกลียดเราแล้ว เราก็ไม่สนใจ เพราะว่า ถ้าเราตาย เราก็ตายคนเดียว ไปขึ้นสวรรค์ เราก็ไปคนเดียว ลงนรก เราก็ลงคนเดียว ก็ไม่ไปสนใจเขาแล้ว สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด ก็คือ ฟังธรรมะให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แล้วก็ ไม่ใช่ฟังให้เข้าใจแค่เรื่องราว ต้องให้รู้สิ่งที่มีจริงๆ ด้วย เพื่อที่ ถ้าสติเขาเกิด เขาจะระลึกได้ ตามที่เราได้ยินได้ฟังมา เหมือนกับที่ เมื่อวันก่อน ที่พูดถึงเรื่องโต๊ะไม่ดับ ถ้าดิฉันจะพิจารณาอย่างนี้ ถ้าผิด กรุณาให้อาจารย์สุจินต์หรือท่านวิทยากรช่วยแก้ไขให้ด้วยนะคะ

การที่จะเห็นโต๊ะดับ โต๊ะไม่ดับ เพราะโต๊ะไม่มี โต๊ะ เป็นสมมติบัญญัติ ถ้าจะให้เห็นการเกิดดับ ต้องพิจารณาสภาพธรรมที่ "เห็น" แล้วก็ "คิดนึก" ที่คิดนึก เห็นนั้นไม่มีแล้ว "เห็น" ดับไปแล้ว "คิดนึก" ถึงเรื่อง "โต๊ะ" คือเป็นสภาพธรรมะะอีกอย่างหนึ่งแล้ว ที่เกิดดับ คือ "จิตเห็น" แล้วก็ "จิตคิด" ใช่ไหมคะ? ที่ดับ ไม่ใช่โต๊ะเป็นตัว บ้านเป็นหลัง ที่ดับ ใช่ไหมคะ?

ท่านอาจารย์ ค่ะ ถูกต้องแน่นอนนะคะ คงไม่ต้องอาศัยคำยืนยัน เพราะเหตุว่า เป็นการพูดจากความเข้าใจ ไม่ใช่ต้องไปจำแต่ละคำ หรือว่า ท่องมา ค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามความเป็นจริง กว่าจะถึงเวลาที่เข้าใจได้ ว่าขณะนี้ "คน" ที่เราเข้าใจว่ามีหลายๆ คน ปรากฏหรือเปล่า? เมื่อหลับตา

คุณจันทร์เม็ด "คน" เมื่อหลับตา ไม่มีค่ะ มีแต่ "คิด" ถึง "คน"

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา จะเป็นคน ได้ไหม? เพราะเพียงหลับตา ก็ไม่มีใครสักคนที่นี่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา ความจริงของสิ่งนี้ คือ เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น เมื่อจิตเห็น เกิดขึ้นเห็น เท่านั้นเอง!!! กว่าจะละคลาย การยึดถือสภาพธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งรวมกัน ก็เข้าใจ ยึดถือว่า เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง เหล่านี้ "เป็นเรา" ทั้งหมด ต่อเมื่อได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะ แต่ละหนึ่งจริงๆ ไม่ใช่โดยการหวังว่า จะไปเห็นการเกิดดับ เพราะไม่ใช่เรา แน่นอน แต่ต้องมีการเข้าใจขึ้น จนคลายความที่เคยยึดถืออย่างมั่นคง แล้วสติสัมปชัญญะ จึง "เริ่ม" ที่จะเกิดได้ โดยความเป็นอนัตตา

เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมะที่แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่มีจริงอย่างนี้ เป็นเรื่อง "เข้าใจ" ไม่ใช่เรื่อง "หวัง" และ เป็นเรื่องความเข้าใจ ที่ "เมื่อเข้าใจ" ก็จะ "ละความหวัง" เพราะเหตุว่า ถ้ายังหวังอยู่ตราบใด ก็ไม่ใช่อริยสัจจะ ที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมะตามความเป็นจริงได้

คุณจันทร์เม็ด ธรรมดาทั่วไป ถ้าเกิดหวัง ก็พิจารณาสภาพธรรมะที่หวังนั้น ก็รู้ว่า นั่นคือสภาพธรรมะชนิดหนึ่ง ที่เขาเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

ท่านอาจารย์ ค่ะ ขณะนั้น ก็คือ "ยังคิดอยู่"

คุณจันทร์เม็ด ค่ะ รู้ว่าเป็นคิด คิดถึงว่า นี่คือหวัง และถ้าหวังเกิดขึ้น ลักษณะของหวัง ก็คือ มีลักษณะอีกอย่างหนึ่ง แล้วก็คิดถึงว่า นี่หวังแล้ว อันนี้คือสภาพธรรมะอีกอย่างหนึ่ง ที่คิดว่า อันนี้หวัง ใช่ไหมคะ?

ท่านอาจารย์ ค่ะ เป็นความเข้าใจขึ้นของแต่ละหนึ่ง คิดก็คือคิด "ขณะที่คิด" เริ่มรู้ว่า "ลักษณะนั้น" เป็น "ธาตุรู้" แต่ไม่ใช่ชื่อเลย!! แค่ "คิด" ก็รู้ว่า นั่นคือ "รู้"

คุณจันทร์เม็ด ค่ะ ไม่ต้องมีชื่อ แต่ว่า ลักษณะของเขามี แล้วถ้าไปคิดว่า นี่คือหวัง ขณะนั้น ก็คืออีกขณะหนึ่ง ที่คิดถึงหวังที่ดับไปแล้ว

ท่านอาจารย์ ค่ะ ถูกต้องค่ะ

อ.อรรณพ ขออนุญาตสนทนาต่อนิดหนึ่งนะครับ แล้วคุณจันทร์ได้ยินจากสถานีวิทยุนี่ มีใครแนะนำบ้างไหมครับ?

คุณจันทร์เม็ด ไม่มีค่ะ ตอนนั้น ดิฉันแสวงหาธรรมะ เพื่อจะเอาไปช่วยโรงทานที่โน่น เปิดเจอ แล้วก็ สมัยก่อนที่ฟังแรกๆ ดิฉันไม่เข้าใจ จะชอบฟังพระสูตร พระสูตรนี่จะฟังง่าย แล้วก็รู้สึกว่าจะดี พอมีคนถามเรื่องสติปัฏฐาน ถามเรื่องนามธรรม รูปธรรม ก็จะไม่เข้าใจ ตอนนั้นหงุดหงิด แต่พอตอนนี้ จะชอบฟังคนถาม แล้วก็จะฟังเรื่องนามธรรม รูปธรรม จิต เจตสิก รูป อย่างนี้ มันจะเป็นประโยชน์มากกว่าฟังเรื่องราว แต่ฟังเรื่องราวก็คือ เพื่อประกอบว่า เวลาที่ท่านอาจารย์อธิบาย ท่านจะยกเรื่องนี้มาอธิบายประกอบ ให้เราเข้าใจว่า มันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ฟังแต่เรื่องราว แต่เราฟังธรรมะ ก็เพื่อที่จะให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ถ้าสติเกิดในขณะนั้น ปัญญาเขาก็จะรู้ว่า นี่คือสภาพธรรมะอย่างหนึ่ง เท่านั้นเอง แต่ว่าจะต้องฟังให้เข้าใจ ว่า "ทางตา" เขามี "ลักษณะ" อย่างไร? "ทางหู" เขามี "ลักษณะ" อย่างไร? ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เขามีลักษณะอย่างไร ของแต่ละอย่างของเขา เพื่อที่ว่า ถ้าสภาพธรรมะหนึ่ง สภาพธรรมะใดปรากฏ ถ้าสติเขาเกิด เขาก็จะระลึกได้ ว่านี่คือสภาพธรรมะที่เราได้ยินได้ฟังมา แล้วก็มีจริงอย่างนั้นด้วย จะเป็นการที่ว่า ค่อยๆ รู้จักธรรมะ แล้วก็ กว่าจะคุ้นเคย ก็อีกนานมาก

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็สมควรที่จะกลับไปพูดให้คนที่โน่น ที่เคยฟัง แต่ก็น่าเสียดาย เพราะอย่างไร เขาก็คงไม่ฟัง!!!

คุณจันทร์เม็ด เขาไม่ฟังหรอกค่ะ เพราะว่า เราพูดอะไรแล้ว เดี๋ยวเขาก็จะมาสรุปทีหลัง เขาก็จะพูดถึงอาจารย์เขามากกว่า เขาจะไม่สนใจ แล้วถ้าไปพูด ดิฉันก็คิดว่า มันไม่มีประโยชน์

ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

คุณจันทร์เม็ด เราจะไปพูดกับคนที่สนใจเท่านั้น ถ้าใครไม่สนใจ เราพูดเรื่องที่เขาสนใจดีกว่า ถ้าเขาสนใจ เราค่อยพูด ถ้าเขาไม่สนใจ มันก็เป็นอะไรที่เสียเวลาสำหรับเรา แล้วก็เสียเวลาสำหรับเขา ค่ะ

ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ เพราะฉะนั้น จึงไม่กลับไป

คุณจันทร์เม็ด ไม่กลับ แน่นอน!!! ถึงเขาจะบอกว่า หน้าตาอย่างนี้หรือมีศีล (หัวเราะ) ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ได้บอกว่า มีศีล หมายความว่า เขาชวนไป แล้วดิฉันก็บอกว่า ดิฉันก็ฟังธรรมะอยู่ที่บ้าน แล้วก็ทำงานไปด้วย อยู่บ้านด้วย แล้วก็รักษาศีลห้า ก็ไม่ได้ครบหรอกค่ะ เพราะว่าผู้ที่รักษาศีลห้าได้ครบ ต้องเป็นพระโสดาบัน แต่ดิฉัน ก็ค่อยๆ รักษาไป เขาบอก ดูก็รู้ หน้าอย่างนี้ ไม่มีศีลหรอก เขาบอก (หัวเราะ) ดิฉันก็บอกว่า ก็ใช่ค่ะ ดิฉันก็ไม่ได้มีศีลครบ เพราะว่า พระโสดาบันเท่านั้น ที่ท่านจะมีศีลห้าครบ มันก็ถูก ดิฉันไม่โกรธ เพราะเขาพูดความจริง

ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีความเห็นถูก ก็ไม่หวั่นไหว ไม่ว่า คำพูดของใครจะกล่าวว่าอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เราเห็นผิดตามไปด้วย หรือว่า กลายเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล

อ.อรรณพ เมื่อสักครู่นี้ คุณจันทร์บอกว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเผยแพร่หรือไปช่วยคนที่เขาไม่ต้องการฟัง แล้วทำไมถึงมาเผยแพร่ให้คุณปาล

คุณจันทร์เม็ด อ๋อ ไม่หรอกค่ะ ก็คือว่า ดิฉันไม่ได้พูดไปเรื่อยเปื่อยกับทุกๆ คน

อ.อรรณพ แล้วทำไมถึงพูดกับคุณปาล

คุณจันทร์เม็ด ก็เมื่อพูดกับเขา เขาก็สนใจเรื่องนี้ขึ้นมา

อ.อรรณพ รู้จักกันอยู่ใช่ไหม?

คุณจันทร์เม็ด รู้จัก คือ ตอนนั้นอยู่ใกล้ๆ กันค่ะ คุ้นเคยกัน ก็คนใกล้ๆ กัน ก็ลองพูดให้เขาฟัง ชวนเขาฟัง อะไรอย่างนี้ กลุ่มของดิฉัน คนรอบตัวนี่ เราก็สังเกตุว่า ใครชอบ ใครสนใจ ดิฉันก็จะลองแนะนำดู เพราะเห็นว่า ถ้าใครได้ประโยชน์ ฟังแล้วเขาชอบ เขาจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ ดีกว่าเราไปให้เงิน ถ้าเราให้เงินให้ทองใครก็แล้วแต่ เขาใช้ไปก็หมด แต่ถ้าเราให้ความรู้ ความเข้าใจ ให้เขาได้เข้าใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วก็เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วอาจารย์สุจินต์ท่านเป็นผู้รู้จริงๆ เหมือนกับสาส์นของพระราชาที่ส่งมายังชนบท แล้วบัณฑิตเท่านั้น ที่สามารถอธิบายให้เราเข้าใจได้

ดิฉันคิดว่ายุคนี้ สมัยนี้ จะไม่มีที่ไหนแล้ว มีที่นี่ ก็เลยแนะนำเพื่อนๆ เท่าที่เขาสนใจ ก็ให้เขามาฟัง มีบางคนที่ไม่สนใจก็มี บางคนที่เขาสนใจก็มี ขนาดเขาไปแต่งงานที่มาเลย์ เขาเข้าศาสนาอิสลามแล้ว เขาก็ยังเอาแผ่นไปฟัง ก็มีอยู่ ๒-๓ คน ค่ะ

อ.อรรณพ ต้องขออนุโมทนาอย่างมากเลยนะครับ อีกเรื่องหนึ่ง แล้วยังรับประทานเจอยู่หรือเปล่าครับ?

คุณจันทร์เม็ด ดิฉันเลิกมานานแล้วค่ะ (ทุกคนหัวเราะ) ตอนนั้นที่ดิฉันไปทานก็คือ ก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดถึงบุญ คิดถึงว่ามันดี พอมาเจอพี่ที่เขาทานเจ เขาก็พูดให้เราฟัง ก็คิดว่ามันดีขึ้นไปอีก เขาก็พูดว่ามีธงปักอยู่ที่บนหัวแล้วนะ เดี๋ยวเกิดภัยพิบัติขึ้นมา แล้วเดี๋ยวอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดา ก็จะได้ช่วย

อ.อรรณพ ธงอะไร? (ทุกคนหัวเราะ)

คุณจันทร์เม็ด คือ เขาก็บอกเราอีกว่า มันเป็นธงสีเหลือง แต่ว่าตาเปล่ามองไม่เห็น ต้องเทพเท่านั้น (หัวเราะ) ต้องเทพค่ะ คนเรานั่งๆ อยู่ มองไม่เห็น

อ.อรรณพ อ๋อ ธงที่ปักที่อาหารเจอย่างนั้นหรือครับ?

คุณจันทร์เม็ด ค่ะ มันเหมือนธงที่ปักที่อาหารเจ แต่ว่ามันไม่ใช่หรอก คือเขาหลอกเรามากกว่า หลอกเราให้เราชักชวนคนเข้าไปเยอะๆ ถ้าเรายิ่งชวนคนไปเยอะๆ เราจะได้บุญเยอะ แล้วญาติของเราที่ตายไปแล้ว ๗ ชั่วโคตร จะได้ขึ้นบนสวรรค์หมด ตอนนี้ที่อยู่ในนรก ก็ขึ้นสวรรค์หมดค่ะ (หัวเราะกันครืน) มันไม่ใช่หรอกค่ะ มันไร้สาระ

อ.อรรณพ แล้วแสงสว่างอะไร ที่ว่า แสงสว่างบนศีรษะ กับ ธง

คุณจันทร์เม็ด แสงสว่างก็คือ ขณะนั้น ถ้าเราเป็นคนดี มันจะมีแสงสว่าง คล้ายๆ เหมือนที่เราดูเทวดาในหนัง ในละคร มันจะมีเป็นวงๆ อยู่บนหัว แต่ที่จริง มันไม่ใช่หรอกค่ะ ถ้าเกิดว่าเราพิจารณาตามความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า แม้แต่เรายังมองไม่เห็น ดี ไม่ดี เป็นเรื่องเฉพาะตน ถ้าเราไม่ดี เราจะรู้ตัวของเราเอง ไม่จำเป็นต้องใครมาเห็น เทพท่านรู้ ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ถ้าเราไม่ดี ความไม่ดีนั้นเองที่เป็นอกุศลกรรม ก็จะทำให้เราเกิดอกุศลวิบาก ที่เราเองจะต้องไปเจอ

เหมือนที่ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าว เมื่อก่อนดิฉันฟังแผ่น เป็นม้วนเทป อาจารย์สุจินต์ท่านบอกว่า เปรียบเหมือนกับเราตักน้ำใส่ในตุ่ม ความดีก็เป็นน้ำใสที่ตักใส่ไว้ในตุ่ม เพื่อที่เราจะใช้บริโภคเอง กินเอง แต่ถ้าเป็นความไม่ดี ก็เหมือนเราตักน้ำขุ่นๆ ไปใส่ในตุ่ม แล้วเราเองจะต้องบริโภคเอง แล้วดิฉันคิดว่า เราก็ควรจะตักน้ำใสๆ ดีกว่า เพราะว่าเราบริโภคก็จะมีความสุข ก็คือ ความดี แต่ว่า ดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะเรามีกิเลส บางทีก็มีโมโห มีอะไร

แต่ว่า ถ้าเราฟังธรรมะจนเข้าใจระดับหนึ่ง ดิฉันคิดว่า เกิดโมโห ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่า เรายังมีสภาพธรรมะนั้นยังไม่ได้ดับไป เมื่อมีเหตุปัจจัยให้โมโหเกิดขึ้น เขาก็ต้องเกิดตามเหตุปัจจัย แต่หน้าที่ของเราก็คือ พิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็รู้ว่า นั่นคือ สภาพธรรมะที่เขามีลักษณะอย่างนั้นนั่นเอง ไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่โดยที่ "คิด" ว่า นี่คือ ธรรมะ ต้องรู้จักตัวที่เขากำลังโกรธตอนนั้นจริงๆ ว่า "ลักษณะ" ของเขามี แต่ถ้าคิดถึงว่า นี่คือธรรมะชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ จะต้องรู้ว่า นี่คือลักษณะที่ "คิด" ไม่ใช่ลักษณะที่ "โกรธ" ก็แค่นี้ค่ะ (หัวเราะ)

อ.อรรณพ เยี่ยมยอดครับ ขออนุญาตท่านอาจารย์ ปรบมือให้หน่อยได้ไหมครับ (ทุกคนปรบมือ) อนุโมทนาจริงๆ นะครับ เป็นการที่ได้ให้ทุกคนมีส่วนร่วมและอนุโมทนาจริงๆ นะครับ แล้วก็เห็นว่าตราบใดมีพระธรรมแล้วก็ยังมีการสะสมในใจของแต่ละคน ซึ่งเราไม่รู้ว่า ใครสะสมอะไรมา ถึงแม้จะสะสมมาดี แต่ถ้าไม่มีพระธรรมที่มีผู้แสดง ก็คงจะอยู่สำนักนั้น แล้วก็ไปหาอะไรต่ออะไรที่คิดว่าเป็นธรรมะ ไปป้อนเขา โดยที่ไม่รู้เลยว่า สิ่งที่หาไปนั้น ไม่ใช่เป็นหนทางที่ถูกต้อง แต่โชคดีสำหรับเรา คือ โชคดีที่ในอดีต สะสมปัญญามามากแน่นอน ที่จะเข้าใจ แล้วก็ เด็ดขาดจริงๆ แล้วก็โชคดีที่ได้เกิดมาในยุคที่มีธรรมะ ก็อนุโมทนาจริงๆ นะครับ กราบท่านอาจารย์ครับ เห็นความอัศจรรย์ของปัญญาจริงๆ ที่แยกแยะได้เด็ดขาด ทิ้งได้เลย แล้วก็ยังเป็นมิตรดีกับคนอื่นอีก

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะเป็นธรรมะ

คุณจันทร์เม็ด ค่ะ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ธรรมะเขาทำหน้าที่ของเขาค่ะ

อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ที่อย่างนี้ ก็เพราะปัญญา ทำหน้าที่ ใช่ไหมครับ

คุณจันทร์เม็ด ค่ะ ก็เป็นสภาพธรรมะนั้น ที่เขาทำหน้าที่ของเขา ก็ไม่รบกวนแล้วค่ะ

อ.อรรณพ ไม่ใช่รบกวนเลยครับ เป็นประโยชน์ที่ได้สนทนากันครับ

ผู้ฟัง ฟังมาตั้งแต่ปี '๔๐ จนปีนี้ก็ประมาณ ๑๘ ปีแล้ว

คุณจันทร์เม็ด ก็ประมาณนั้นค่ะ แต่กว่าจะเข้าใจ ก็มาปีหลังๆ ค่ะ ดิฉันฟังแรกๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจ แล้วก็ ตอนที่เขาถามเรื่องสติปัฏฐาน บางทีท่านอาจารย์พูดเรื่องพระสูตร ดิฉันกำลังฟังเพลินๆ แล้วก็มีท่านผู้ฟังถามมาว่า เรื่องสติปัฏฐาน อะไรอย่างนี้ เรื่องกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อะไรอย่างนี้ ตอนแรกๆ ก็ไม่อยากฟัง เพราะฟังพระสูตรดีกว่า แต่พอตอนนี้ ดิฉันคิดว่า การเข้าใจสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ ที่เขาถาม เป็นประโยชน์มาก เพราะพระสูตร เรื่องราวนี่ เราจำแล้วก็ลืม บางทีจะไปเล่าอะไรก็ลืม แต่ถ้าสิ่งที่เราฟัง เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ มันจะไม่ลืม ถ้าเป็น "ความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ" จะไม่ลืม แต่ถ้าเป็น "เรื่องราว" จะลืมค่ะ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็คงได้ยินดิฉันพูดหลายครั้ง นะคะ ว่า ไม่มีอะไรที่จะทำให้มีความรู้สึกเป็นสุข แล้วก็ปีติ เท่ากับได้ทราบว่า มีผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมและเข้าใจพระธรรม ก็ต้องขออนุโมทนาทุกท่านด้วยนะคะ

.....ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา.....

"...ไม่มีอะไรที่จะทำให้มีความรู้สึกเป็นสุข แล้วก็ปีติ เท่ากับได้ทราบว่า มีผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมและเข้าใจพระธรรม..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณพนิดา มิตรปวงชน คุณอมรวไล มิตรปวงชน คุณจิรัฏ ศรีวัชรเมธี และ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่ทุกท่าน และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

.........

ขอเชิญคลิกชม ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทั้ง ๒ ตอนที่ผ่านมา ได้ที่นี่ครับ..

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๒๓ - ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๑ ฟังธรรมเพื่อรู้ตัว?]

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๒๓ - ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๒ ฟังธรรมอย่างไรให้เข้าใจ]


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 15 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็คงได้ยินดิฉันพูดหลายครั้ง นะคะ ว่า ไม่มีอะไรที่จะทำให้มีความรู้สึกเป็นสุข แล้วก็ปีติ เท่ากับได้ทราบว่า มีผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมและเข้าใจพระธรรม ก็ต้องขออนุโมทนาทุกท่านด้วย นะคะ"

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณพนิดา มิตรปวงชน คุณอมรวไล มิตรปวงชน คุณจิรัฏ ศรีวัชรเมธี และ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่ทุกท่าน ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง เก็บรายละเอียดสุดยอดมากๆ ครับ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 15 ก.ค. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากร ผู้ดำเนินการจัดให้มีการสนทนาธรรม คุณวันชัย ภู่งามและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน

การได้พบพระพุทธศาสนาและมีโอกาสศึกษาพระธรรมจากการถ่ายทอดของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์เป็นชีวิตที่ประเสริฐยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 15 ก.ค. 2558

สาธุ อนุโมทนาและขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Phutporn
วันที่ 15 ก.ค. 2558

กราบขอบพระคุณ และกราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาและขอบพระคุณท่านวิทยากร ผู้ดำเนินการจัดการสนทนาธรรม คุณวันชัย ภู่งาม และทีมงานผู้เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วิภากร
วันที่ 18 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jirat wen
วันที่ 18 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
peem
วันที่ 19 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tanrat
วันที่ 19 ก.ค. 2558

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ชลธี-หาดใหญ่
วันที่ 20 ก.ค. 2558

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ คณะวิทยากร และทีมถ่ายทำบันทึกเทป,ถ่ายทอดสดทุกท่าน รวมทั้งผู้เข้าร่วมสนทนาที่มาจากกรุงเทพด้วยนะครับ

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณพนิดา มิตรปวงชน คุณอมรวไล มิตรปวงชน คุณจิรัฏ ศรีวัชรเมธี ที่ร่วมกันดำเนินการจัดให้มีการสนทนาธรรมที่หาดใหญ่

ขอบพระคุณคุณวันชัย ภู่งามที่สรุปความได้ละเอียดครบถ้วนทำให้กุศลจิตเกิดได้หลายขณะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wirat.k
วันที่ 20 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
rrebs10576
วันที่ 23 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ