แนะนำเพื่อนสวดมนต์ เพื่อแก้ไสยศาสตร์ เราจะโดนไสยฯ ไปด้วยไหม?

 
Guest
วันที่  24 ก.พ. 2558
หมายเลข  26224
อ่าน  1,700

สวัสดีค่ะ เพิ่งเป็นสมาชิกวันนี้ วันแรก ...ขอเริ่มคำถามเลยนะคะ

สมมติว่า เราหวังดี อยากช่วยเหลือ บ้านของพี่ที่ดีๆ กัน ถูกเพื่อนบ้านทำไสยศาสตร์ (ทราบแน่ชัด เพราะโดนกันหลายบ้าน) โดยให้สวดมนต์บทนั้นนี้ บ้าง... หลังจากแนะนำ ไม่กี่นาที รู้สึกอึดอัด หนักๆ แปลกๆ ที่ตัวค่ะ มันจะเกี่ยวกันไหมคะ? (แต่สภาพการทำงาน เรายืนทั้งวัน คิดใช้สมองทั้งวัน หน้าคอมพ์ อะค่ะ) เหตุการณ์ที่เราปรารถนาดี แนะนำเขา เราจะโดนวิญญาณ ของไสยศาสตร์ แบบนี้ ด้วยไหมคะ จะแก้ไขยังไงดีคะ?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 24 ก.พ. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คุณไสย หรือ ไสยศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความหลับใหล ทำให้ผู้คนหลับใหลด้วยความไม่รู้ และด้วยอกุศลธรรมประการต่างๆ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ส่วน พุทธศาสน์ หรือ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของท่านผู้รู้ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลกด้วยพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาคุณ คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

การโดนคุณไสย ก็เป็นเรื่องของการคิดนึก ที่คิดเอาเอง ว่าโดนคุณไสย เพราะในความเป็นจริง การได้รับสิ่งที่ดี หรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ใคร ที่คุณไสย อยู่ที่กรรมในอดีตที่ทำมา หากกรรมดีให้ผล ใครจะทำอย่างไรกับเรา ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ และหากกรรมไม่ดีให้ผล แม้ไม่มีใครทำคุณไสย กรรมไม่ดีก็ให้ผล โดยไม่มีใครทำให้เลย เช่น การเกิดในนรก การที่ก้อนหินตกใส่ เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงต้องมั่นคงในเรื่องของกรรมว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน ไม่มีใครทำอะไรได้ นอกจากกรรมที่ตนเองทำมาเท่านั้น ครับ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราแยกเรื่องผลของกรรม กับ ขณะที่เป็นอกุศลจิต ก็จะรู้ว่าความจริงขณะใดเป็นผลของกรรม ขณะไหนเป็นเหตุ ที่ไม่ใช่ผลของกรรม

ขณะที่คิดถึงคนอื่น ไม่ลืมคนอื่น และไม่ลืมความผิดของเขา ยังรัก หรือทุกข์ใจ ขณะนั้นเป็นอกุศลที่เกิดจากกิเลสของตนเอง ไม่ได้เกิดจากคุณไสย เวทมนตร์อะไรทั้งสิ้น และเมื่อคิดมากเรื่องคนอื่น ขณะนั้นก็เป็นอกุศล เป็นโทสะ ซึ่งขณะที่เกิดอกุศลจิตบ่อยๆ ก็มีรูปที่เกิดจากจิตด้วย ทำให้หน้าตาเศร้าหมอง ไม่ดี อันไม่ได้เกิดจากคุณไสย แต่เกิดจากกิเลสของตนเองเท่านั้น สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าศัตรูที่ทำร้ายตนเองและเป็นศัตรูที่แท้จริง คือ กิเลส ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่คุณไสย ครับ เพราะฉะนั้น ขอให้มั่นคงในเรื่องของกรรม ไม่มีใครทำใครได้ นอกจากกรรมของตนเอง และใจของตนเองที่มีกิเลสทำร้ายจิตใจเท่านั้น ครับ

บุคคลผู้ที่ไม่รู้ เต็มไปด้วยความไม่รู้ คือ อวิชชา ก็มีความประพฤติเป็นไปคล้อยตามความไม่รู้ ซึ่งก็มีหลากหลายมาก เพราะถูกครอบงำไว้ด้วยความไม่รู้ ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรคือสิ่งที่ควรกระทำ อะไรคือสิ่งที่ควรงดเว้น จึงมีการกระทำอะไรต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัยที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ทำให้ยิ่งเพิ่มกิเลสอกุศล เพิ่มความไม่รู้ และทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไป ซึ่งจะแตกต่างไปจากบุคคลผู้ที่รู้ ซึ่งเป็นการรู้ธรรม รู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ที่ชีวิตจะเป็นไป คล้อยไปในทางที่ถูกที่ควรมากยิ่งขึ้น เพราะมีปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้นจากการได้ฟังพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิตให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรยิ่งขึ้น เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสของตนเองจนกว่าจะสามารถดับได้ในที่สุด

ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากการได้รับผลของกรรมได้ ถ้าถึงคราวที่กรรมจะให้ผล ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเนินไปในแต่ละวันแต่ละขณะ หลักๆ แล้วไม่พ้นไปจาก ๒ ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนหนึ่งเป็นผลของกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนของการสะสมเหตุ ที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้า และสะสมเป็นอุปนิสัยต่อไป ซึ่งมีทั้งดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามการสะสมของแต่ละบุคคล สำหรับผลของกรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน เป็นผลที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว เราไม่สามารถที่จะไปตัดหรือไปแก้อะไรได้ เพราะเกิดแล้วเป็นไปแล้วในขณะนั้น โดยไม่มีใครทำให้เลย แต่สิ่งที่ควรพิจารณา คือ ควรอย่างยิ่งที่จะได้สะสมเหตุที่ดี คือ กุศลธรรม เพราะบุคคลผู้มีปัญญา พอท่านได้ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาในชีวิตประจำวัน จะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตาม สามารถพิจารณาตามความเป็นจริงได้ว่า เป็นเพราะเราได้กระทำกรรมที่ไม่ดีไว้ กรรมไม่ดีถึงคราวให้ผล ผลที่ไม่ดีจึงเกิดขึ้น ก็เป็นเครื่องเตือนให้ท่านได้มีความเพียรมีความตั้งใจที่จะสะสมกุศล ซึ่งเป็นเหตุที่ดี สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเองต่อไป

เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสที่สำคัญในชีวิต ก็คือ โอกาสที่จะทำให้ตนเองได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ โดยไม่จำเป็นต้องไปบวชก็ได้ สำคัญอยู่ที่ว่าจะเห็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ความเข้าใจพระธรรมนี้เอง จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน ในขณะที่กุศลธรรมเกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นการขัดเกลาอกุศล เป็นการละคลายเหตุที่ไม่ดี ครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ

เมื่อท่านอาจารย์สุจินต์ ถูกถามเรื่องคุณไสย

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 24 ก.พ. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่มีใครสามารถทำอันตรายเราได้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะอดีตอกุศลกรรมที่เคยกระทำไว้แล้วถึงคราวให้ผล สิ่งที่ควรกลัว ไม่ใช่สิ่งที่เราไม่รู้จักเพียงแต่เชื่อๆ ตามๆ กันมา แต่สิ่งที่ควรกลัว อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงคือ กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ก็ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจมั่นคงในหนทางที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกเพิ่มขึ้น ความวิตกกังวล ความกลัวในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็จะลดน้อยลงตามระดับขั้นของความเข้าใจ

ก็ขอให้ได้เป็นผู้มีกำลังใจที่ดีในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
thilda
วันที่ 25 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่านอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 25 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 25 ก.พ. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 25 ก.พ. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 2 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ