ยวกลาปิตสูตร

 
สิริพรรณ
วันที่  23 ก.พ. 2558
หมายเลข  26218
อ่าน  1,017

กราบเรียนถาม อ.ผเดิม และ อ.คำปั่นค่ะ

ยวกลาปิตสูตร

1.ทางใหญ่ 4 แพร่ง มีความหมายอะไรไหมคะ

2.บุรุษ 6 นาย คือ อายตนภายใน 6 เข้าใจถูกไหมคะ

3.บุรุษคนที่ 7 หมายถึงอะไรคะ

รบกวนอธิบายความละเอียดค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ก.พ. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1.ทางใหญ่ 4 แพร่ง มีความหมายอะไรไหมคะ

-ทางใหญ่ 4 แพร่ง หมายถึง อายตนะภายใน 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ

2.บุรุษ 6 นาย คือ อายตนภายใน 6 เข้าใจถูกไหมคะ

-จะกล่าวโดยนัยนั้นก็ได้ ครับ

3. บุรุษคนที่ 7 หมายถึงอะไรคะ

-บุรุษคนที่ 7 คือ กิเลสที่เกิดขึ้น มีโลภะ เป็นต้น ที่แสวงหาภพ ทำให้เกิดทุกข์มากมาย

ซึ่งขอยก อรรถกถามาอธิบายดังนี้ ครับ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 508

ในบทว่า เอวเมว โข นี้ มีอธิบายว่า อายตนะ ๖ พึงเห็นเหมือนทางใหญ่ ๔ แพร่ง สัตว์ (ผู้ที่เป็นเจ้าของอายตนะ) พึงเห็นเหมือนฟ่อนข้าวเหนียวที่เขาเก็บไว้ที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง.

อารมณ์ ๘ คือ อิฏฐารมณ์ ๖ อนิฏฐารมณ์ ๖ มัชฌัตตารมณ์ ๖ พึงเห็นเหมือนไม้คานหาบ ทั้ง ๖ คาน กิเลสที่ปรารถนาภพ พึงเห็นเหมือนไม้คานหาบที่ ๗. ฟ่อนข้าวเหนียวที่เขาวางไว้ทางใหญ่ ๔ แพร่ง ย่อมถูกไม้คานหาบ ๖ คาน ฟาดฉันใด สัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถูกท่อนไม้คืออารมณ์ทั้ง ๑๘ กระทบกระทำที่อายตนะทั้ง ๖. สัตว์ทั้งหลายถูกกิเลสที่ปรารถนาภพ กระทบกระทั่งจนอานแล้วเสวยทุกข์มีภพเป็นมูลเหมือนสัตว์ที่ถูกไม้คานหาบคานที่ ๗ ฟาดกระหน่ำให้แหลกฉะนั้น.

จบ อรรถกถายวกลาปิสูตรที่ ๑๑

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 24 ก.พ. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่งกับการที่จะเข้าใจในพระพุทธพจน์ได้ทั้งหมดโดยตลอด แต่ถ้าไม่ลืมจุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรมว่าเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรมตามความเป็นจริง เข้าใจได้เท่าที่จะเข้าใจได้ก็จะเบาสบาย ไม่หนัก โดยอาศัยพระพุทธพจน์ และอรรถกถาได้อธิบายขยายความไว้ว่า ความมุ่งหมายของพยัญชนะนั้นๆ ส่องให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริงๆ คือ อะไร เพราะในชีวิตประจำวันนั้น มีจิตเกิดขึ้นเป็นไปทุกขณะ โดยอาศัยทางในการรู้อารมณ์ คือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะที่จิตเกิดแต่ละขณะนั้น ก็ย่อมจะมีสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่ประชุมพร้อมกัน ยังมีอยู่ยังไม่ดับไปในขณะนั้น ที่เรียกว่า อายตนะ และเพราะมีการรู้อารมณ์ทางตา หู เป็นต้น สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส มีโลภะ เป็นต้น เมื่อยังไม่ถูกดับ ก็มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ และทำให้วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันจบสิ้น เพราะฉะนั้นแล้ว หนทางที่ประเสริฐที่จะทำให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง และดับกิเลสได้ในที่สุด คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ที่จะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมไม่ได้เลย ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 24 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 24 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
สิริพรรณ
วันที่ 24 ก.พ. 2558

กราบขอบพระคุณ อ.ทั้งสองท่านค่ะ

ต้องศึกษาพระธรรมต่อไปค่ะเพื่อขัดเกลาความไม่รู้

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 6 มี.ค. 2558

อายตนะ หมายถึง บ่อเกิด ที่ประชุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียนรู้ชื่อตามการศึกษา แต่ที่สำคัญให้รู้ว่าเป็นธรรมะเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ไม่เหลือเลยทุกขณะ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jarunee.A
วันที่ 28 ก.พ. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ