วิเสสลักษณะ
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"วิเสสลักษณะ" การศึกษาวิเสสลักษณะของสภาพธรรมบอกให้ทราบถึงอะไรบ้างครับ ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ลักษณะสภาพธรรม คือ ลักษณะของสิ่งที่มีจริง ที่สามารถให้รู้ได้ ปรากฏได้ สิ่งที่สามารถให้รู้ได้ สิ่งนั้นเรียกว่า ธรรม ที่มีลักษณะ หรือ ลักษณะสภาพธรรมนั่นเอง เช่น เห็น ได้ยิน สี เสียง เหล่านี้เป็นธรรม และก็มีสิ่งที่ให้รู้ได้ นั่นคือ ตัวลักษณะ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหลายต้องมีลักษณะ คือ สิ่งที่ให้รู้ได้ ครับ
ควรเข้าใจครับว่า สภาพธรรม มี 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ สามัญญลักษณะ และ วิเสสลักษณะ
สามัญญลักษณะ คือ ลักษณะทั่วไปปกติของสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ที่เป็นจิต เจตสิก รูป คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา อันมีลักษณะเหมือนกันของสภาพธรรมทั้งหลาย
วิเสสลักษณะ คือ ลักษณะเฉพาะตัวของสภาพธรรมที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของสภาพธรรมที่แตกต่างกัน อย่างเช่น จิตเห็น ก็มีลักษณะเฉพาะตัว คือ รู้สีเท่านั้น จะไปรู้เสียงก็ไม่ได้ หรือจะมีลักษณะร้อนก็ไม่ได้ ธาตุดินก็มีลักษณะเฉพาะตัวคือ แข็ง จะร้อนก็ไม่ได้ เพราะเป็นลักษณะเฉพาะตัวของธาตุไฟเท่านั้น ครับ
วิเสสลักษณะทำให้เข้าใจว่เป็นแต่เพียงธรรมจริงๆ เพราะมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่ปนกัน และเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนา
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
แล้ว รส ปทัฏฐาน เหล่านี้บอกให้ทราบถึงอย่างไรครับ และมีความสัมพันธ์กับลักษณะสภาพธรรมอย่างไรครับ ขอความอนุเคราะห์ด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 2 ครับ
ทั้ง รส ปัจจุปัฏฐาน ปทัฏฐาน ก็แสดงถึงสภาพธรรมในลักษณะต่างๆ ที่เน้นย้ำว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม และมีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ได้ห่างไกลจากชีวตประจำวันเลย อยู่กับธรรมตลอด มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตลอด แต่ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจจนกว่าจะได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น ทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกสำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริงว่า เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ โดยไม่ปะปนกัน
สภาพธรรมแต่ละอย่างย่อมมีลักษณะที่เป็นไปเฉพาะของแต่ละสภาพธรรม ไม่เป็นสาธารณะทั่วไป เพราะสภาพธรรมเป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน เช่น จิตมีความเป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์ มีการรู้แจ้งซึ่งอารมณ์เป็นลักษณะ ผัสสะมีการกระทบอารมณ์เป็นลักษณะ เวทนามีความรู้สึกเป็นลักษณะ สัญญามีความจำได้หมายรู้เป็นลักษณะ เจตนามีความตั้งใจจงใจเป็นลักษณะ จักขุปสาทะมีการรับกระทบรูปสีเป็นลักษณะ เป็นต้น ความเป็นจริงของสภาพธรรมเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จิตเห็นกับจิตได้ยินไม่ใช่อย่างเดียวกัน จิตได้ยินก็ไม่ใช่จิตรู้กลิ่น จิตรู้กลิ่นก็ไม่ใช่จิตรู้รส แต่ละอย่างเป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ปนกันค่ะ