หนึ่งในบุญยกริยาวัตถุสิบ

 
tanrat
วันที่  4 ก.ย. 2557
หมายเลข  25457
อ่าน  828

สติจะเกิดย่อมไม่มีการกำหนด หรือไปจดจ้อง ต้องการให้เกิด เป็นไปตามปกติในชีวิตประจำวัน กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า หากขณะใดสติเกิด รวมถึงปิติซาบซ่านด้วยไหมคะ คือขณะที่ดูทีวีอยู่และมีอารมณ์ร่วมไปกับข่าวสารทางทีวี เช่นนักร้องชื่อดังอนุเคราะห์ บริจาคบ้านจำนวน 100 หลังให้แก่ทหารผ่านศึกที่ไม่มีเงินผ่อนบ้าน บ้านถูกยึด แต่นักร้องท่านนี้ไปซื้อมาให้ด้วยเงินของตนเอง ทันทีที่ทีวีเอ่ย จิตก็น้อมไปร่วมอนุโมทนากับการที่เป็นกุศลจิตของนักร้องท่านนี้ ขณะนั้นเกิดปิติซาบซ่าน แต่เป็นขณะสั้นๆ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สติ ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นเจตสิก สติเป็นเจตสิกฝ่ายดี คือ เกิดกับจิตที่ดีงาม ไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย สติทำหน้าที่ระลึกเป็นไปในทางที่ดี และสติเป็นธรรมที่เป็นเครื่องกั้นกระแสกิเลส

สติ มีหลายอย่าง หลายชนิด แต่สติ ก็ต้องกลับมาที่ สติ เป็น สภาพธรรมฝ่ายดี ครับ สติ แบ่งตามระดับของกุศลจิต เพราะเมื่อใด กุศลจิตเกิด สติจะต้องเกิดร่วมด้วย กุศลจิต มี 4 ขั้น คือ ขั้นทาน ศีล สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา

สติจึงมี 4 ขั้น คือ สติที่ระลึกเป็นไปในทาน สติที่ระลึกไปในศีล สติที่ระลึกเป็นไปในสมถภาวนา และ สติที่ระลึกเป็นไปในวิปัสสนาภาวนา

สติขั้นทาน คือ เมื่อสติเกิด ย่อมระลึกที่จะให้ สติขั้นศีล คือ ระลึกที่จะไม่ทำบาป งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ สติขั้นสมถภาวนา เช่น ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า และสติขั้นวิปัสสนา คือ สติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เกิดพร้อมปัญญารู้ความจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ

ดังนั้น สติ จึงเป็นสภาพธรรม ที่ระลึกเป็นไปในกุศลทั้งหลาย และขณะใดที่สติเกิด ขณะนั้นอกุศลไม่เกิด เพราะกั้นกระแสกิเลสในขณะนั้น ปีติ ก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เป็นความเอิบอิ่ม ปลาบปลื้มใจ เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ซึ่งจะเป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ เพราะเหตุว่า ปีติ เป็น ปกิณณกเจตสิก เกิดได้กับจิตทั้ง ๔ ชาติเลย ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ

เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เกิดอนุโมทนา ในกุศลที่ผู้อื่นทำ ขณะนั้นจะต้องมี สติเกิดร่วมด้วยเสมอเพราะขณะนั้นจิตเป็นกุศล แต่ปิติไม่จำเป็นจะต้องเกิดกับกุศลเกิดกับสติทุกครั้ง แล้วแต่ว่า ขณะนั้น ปิติในกุศลของผู้อื่นหรือไม่ ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
tanrat
วันที่ 4 ก.ย. 2557

กราบขอบพระคุณค่ะอาจารย์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 4 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขณะที่ได้ทราบถึงการเจริญกุศลของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นในเรื่องๆ ใด ก็ตามแล้วเกิดกุศลจิต อนุโมทนา ชื่นชมในความดีของคนอื่นนั้น เป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ มีเจตสิกธรรมฝ่ายดี มีสติ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น เกิดร่วมด้วย และถ้าเกิดความเอิบอิ่มก็มีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วยพร้อมกับโสมนัสเวทนาความรู้สึกที่เป็นสุขใจ ทั้งหมดล้วนเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา และที่สำคัญ เพราะเป็นผู้เห็นคุณของกุศล เห็นคุณของความดี จึงชื่นชมในความดีของคนอื่นแม้ว่าเราจะไม่ได้ทำกุศลนั้นด้วยตนเองก็ตาม ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 4 ก.ย. 2557

ขณะที่เห็นคนอื่นทำความดี เราก็ดีใจและอนุโมทนาในกุศลที่เขาทำ ขณะนั้นก็เป็นมหากุศลจิตทีประกอบด้วยโสมนัสที่มีปิติเกิดร่วมด้วย ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 5 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 5 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ