ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๗

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  16 ส.ค. 2557
หมายเลข  25317
อ่าน  1,612

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

ได้รับเชิญจาก ชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท

โดย พลโท นายแพทย์กฤษฎา ดวงอุไร ประธานชมรมฯ เพื่อไปสนทนาธรรม

เนื่องในโอกาสวันแม่ ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ

โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ถนนราชวิถี กรุงเทพมหานคร

ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.

[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๗๘

๔. พหุการสูตร

ว่าด้วยผู้มีอุปการะมาก ๓ จำพวก

[๔๖๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล (อาจารย์) ๓ นี้ เป็นผู้มีอุปการะมาก

แก่บุคคล (ศิษย์) บุคคล (อาจารย์) ๓ นี้คือใคร คือ บุคคล (ศิษย์)

อาศัยบุคคล (อาจารย์) ใด จึงได้ถึงพระพุทธเจ้า...พระธรรม...พระสงฆ์เป็นสรณะ

บุคคล (อาจารย์) นี้ เป็นผู้มีอุปการะมากแก่บุคคล (ศิษย์) นี้

อนึ่งอีก ภิกษุทั้งหลาย บุคคล (ศิษย์) อาศัยบุคคล (อาจารย์) ใด จึงรู้ตามจริงว่า

นี้ทุกข์... นี้เหตุเกิดทุกข์... นี้ความดับทุกข์... นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

บุคคล (อาจารย์) นี้ เป็นผู้มีอุปการะมาก แก่บุคคล (ศิษย์) นี้...

...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าบุคคลอื่น จะมีอุปการะมาก แก่บุคคล (ศิษย์) นี้

ยิ่งกว่าบุคคล ๓ นี่ ไม่มี อนึ่ง เรากล่าวว่า บุคคล (ศิษย์) นี้ จะทำการสนองคุณ

แก่บุคคล (อาจารย์) ๓ นี้ไม่ได้ง่ายเลย แต่เพียงด้วยการกราบ ลุกรับ ทำอัญชลี

สามีจิกรรม และคอยให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และยาแก้ไข้.

จบพหุการสูตรที่ ๔

อารัมภกถา

(โดยอาจารย์ธนิต ชื่นสกุล)

การศึกษาพระธรรม

เป็นเรื่องความเข้าใจสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ ตามปรกติ ในชีวิตประจำวัน

เป็นการศึกษา เพื่อละความไม่รู้

พระธรรมละเอียดมาก และ ลุ่มลึก ถ้าพื้นฐานเราไม่ดี ความเข้าใจไม่มั่นคง

ก็จะเข้าใจแต่ความหมายของชื่อ ที่เราจำ แล้วก็พูดตาม

การฟังเรื่องของสภาพธรรมะ เป็นเรื่องเพิ่มพูนปัญญา

เป็นการฟัง เพื่อละความไม่รู้ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

จะต้องพิจารณา ไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจตามความเป็นจริง

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงนั้น เราไม่สามารถที่จะคิดเองได้

ซึ่งถ้ายังไม่ได้ฟังโดยละเอียด ก็ไม่สามารถ พิจารณา และ เข้าใจ ได้

ถ้าเพียงแต่สนใจในพระพุทธศาสนา แต่ไม่ศึกษา ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมะได้ถูกต้อง

เมื่อฟังเข้าใจ ก็จะทำให้ได้รู้ความต่างกัน ของปัญญาขั้นฟัง กับ ปัญญาขั้นคิด

ซึ่งแต่ละคนก็จะรู้ได้ ด้วยตนเอง

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ลองพิสูจน์ดูง่ายๆ นะคะ "หลับตา" มีอะไรบ้าง ปรากฏ?

ไม่มีเลย

แล้ว "ลืมตา" มีอะไรบ้าง? เยอะยะไปหมด นี่คือความลึกซึ้ง

หายไปไหนหมด? เพียงแค่ "หลับตา" เท่านั้นเอง ไม่มีใครจะปรากฏได้เลย

แต่ว่า พอลืมตาไม่ต้องทำอะไรด้วย มีสิ่งที่ปรากฏ หลากหลาย

นี่คือความลึกซึ้ง ว่าแท้ที่จริง "ลืมตา" เห็นอะไร?

"เห็น" สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

เรา ธรรมดาก็พูดว่า สีสันวรรณะ ต่างๆ สีเขียว สีแดง สีขาว สีม่วง หลายสี

แต่ เร็วยิ่งกว่านั้น คือ

ไม่ต้องมานั่งคิดว่า สีอะไร? ก็จำได้แล้ว ว่าเป็นอะไร?

นี่แสดงให้เห็นว่า ขณะที่จำ ไม่ใช่ขณะที่ได้ยินเสียง หรือว่า กำลังคิดเรื่อง

แต่ว่า "กำลังจำ สิ่งที่ปรากฏ"

เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า "สภาพจำ" มีจริงๆ

จำกันทุกวัน

เกิดมาก็จำแล้ว ถ้าจำไม่ได้คงแย่

แต่ว่า ชีวิตก็ดำเนินไป ทุกๆ วัน ก็เพราะว่า ยังมีการรู้ เพราะจำได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

มิฉะนั้น มีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย

แต่ "สภาพจำ" เป็น "สภาพจำ"

ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น

แล้วก็เป็นสิ่งซึ่ง ต้องเกิดพร้อมจิต

ถ้าไม่มีจิต จะไม่มีสภาพธรรมะซึ่งจำอะไรได้เลยทั้งสิ้น

แต่ว่า ขณะใดก็ตาม ที่เวลาสิ่งหนึ่งสิ่งใด ปรากฏ

ให้รู้ว่า ต้องมีธาตุ คือ จิต ที่กำลังรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏได้

เพียงแค่เอาสิ่งหนึ่งสิ่งใด ออกไปจากห้องนี้ ก็ไม่ปรากฏแล้ว

แม้ว่าจะพยายามหาสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีอีกต่อไป ที่สามารถจะปรากฏ

เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ก็คือว่า ไม่ว่าขณะไหนก็ตาม ที่มีการเห็น

ต้องมีการ "เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้"

และต้องมีปัจจัย ที่จะให้ "เห็นเกิด" ด้วย

คนตาบอด ไม่สามารถจะรู้ได้เลย ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างที่คนอื่นเขาพูดถึง

ไม่ว่าจะเป็นพระจันทร์ ไม่ว่าจะเป็นดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ พันธุ์ต่างๆ

คนตาบอด ไม่มีโอกาสได้เห็นสีสันวรรณะต่างๆ

แต่ "ได้ยิน" แล้วก็ จำเรื่อง จำคำ

เพราะฉะนั้น ขณะที่ได้ยินเสียง "จำเสียง" ขณะที่เห็น ก็ "จำสิ่งที่ปรากฏ"

ถ้าไม่จำ จะรู้ไหม? ว่าอะไรเป็นอะไร? ในห้องนี้

เพราะฉะนั้น นี่คือความลึกซึ้ง ว่าแม้แต่ "จำ" ก็มีจริงๆ

แต่ต้องเกิดกับจิต และ จิต เป็นธาตุรู้

เพราะฉะนั้น สภาพรู้ ที่เกิดกับจิต ที่ใช้คำว่า เจตสิกกะ หรือ เจตสิก

ก็คือสภาพธรรมะในชีวิตประจำวันทั้งหมด ที่ไม่ใช่ธาตุรู้

"โกรธ" มี แต่โกรธไม่ใช่จิต แต่โกรธ ในสิ่งที่จิตเห็น

จิต เห็นอะไรที่ไม่น่าพอใจ ไม่ชอบ ก็ไม่ใช่จิต

"จิต" เป็นแต่เพียง สภาพที่ "รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ" เท่านั้นเอง

แต่ว่า สภาพของธรรมะ ที่เป็นนามธรรม ซึ่งเกิดกับจิต คือ ทุกอย่างที่เราพูด

ไม่ว่าจะเป็น ฉลาด หรือว่า ขยัน หรือว่า โกรธ หรือว่า โลภ หรือว่า สำคัญตน

ลักษณะนั้น ทั้งหมด ที่มีจริง ไม่ใช่เรา!!!

แล้วเป็นอะไร?

ก็เป็นสภาพธรรมะที่มีจริง ซึ่งเกิดกับจิต

ไม่ว่าจิตเกิดเมื่อไหร่ สภาพนี้แต่ละลักษณะก็แล้วแต่ว่า สภาพใดจะเกิดกับจิต

เพราะเหตุว่า เจตสิก มี ๕๒ ประเภท

มีทั้งเจตสิกที่สามารถจะเกิดกับฝ่ายดี ก็ได้ ฝ่ายไม่ดี ก็ได้

มีทั้งเจตสิกซึ่งเป็นเจตสิกฝ่ายเลว ฝ่ายไม่ดี เป็นอกุศล

เกิดกับสภาพธรรมะอื่นที่เป็นกุศล ไม่ได้เลย

นี่ก็คือ ชีวิต ตามความเป็นจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยน ให้เป็นอย่างอื่นได้

แต่สามารถจะเข้าใจได้ ว่าทำไมบางวัน เห็น แล้วก็ ได้ยินเสียงต่างๆ

โดยที่ว่า ไม่ได้คาดหวังมาก่อน ว่าจะได้ยิน

แต่ก็มีปัจจัย ที่จะทำให้ได้ยินเกิดขึ้น

ความลึกซึ้ง ก็คือว่า แม้ว่าจะมีการเห็นอยู่ตลอด

ก็ไม่รู้ความจริงว่า

แท้ที่จริง เพียงแค่หลับตา ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ไม่สามารถจะไปจำไว้ได้

ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน?

แต่เวลาลืมตาแล้ว มีสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏให้เห็นสัณฐานต่างๆ

ทำให้จำได้ว่า เป็นคนนั้นคนนี้ อย่างมั่นคง

เพราะฉะนั้น ก็มีสัญญา ความจำ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

เพราะการเกิดดับอย่างรวดเร็วของจิต

ได้ยินเสียง "เสียง" มีจริงๆ หรือเปล่า?

ถ้าไม่มี "สภาพที่ได้ยิน" เสียง จะปรากฏว่ามีเสียงจริงๆ ได้ไหม?

ก็ไม่ได้

เพราะเหตุว่า มีจิต หรือ ธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นได้ยินเสียง

"ไม่ใช่เรา"

"เสียง" ก็ไม่ใช่เรา "ธาตรู้" ที่ได้ยิน ก็ไม่ใช่เรา เพราะดับแล้ว

ไปหาได้ไหม?

ได้ยินเมื่อกี้นี้ ไปไหน? อยู่ไหน?

ไม่เหลือเลย

เพราะฉะนั้น ชีวิตตั้งแต่เกิด ไม่มีอะไรเหลือเลย สักหนึ่งอย่าง

แต่ว่า การเกิดดับสืบต่อ ซึ่งทำให้ความจำ จำไว้ ตลอดเวลา ว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้

ก็มีความมั่นคง

ทำให้ไม่สามารถจะรู้ได้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว

ไม่มีเรา มีแต่ธรรมะ

เพราะฉะนั้น กว่าจะเริ่มเข้าใจจริงๆ ว่า ทั้งหมด เป็น "ธรรมะแต่ละหนึ่ง"

ซึ่งมีปัจจัยเกิด จึงปรากฏ ได้ แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

ตั้งแต่เกิด จนตาย เป็นอย่างนี้

นี่คือ ความลึกซึ้ง

เพราะฉะนั้น ทางหู ได้ยินเสียงใช่ไหม?

"ได้ยิน" เป็นเรา หรือเปล่า?

หรือว่า เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เสียงกระทบ กับรูปพิเศษ ที่อยู่ที่ตัว รูปหนึ่ง

ซึ่งเป็นรูป ที่สามารถกระทบกับเสียง กระทบอย่างอื่นไม่ได้เลย

เสียง สามารถจะกระทบกับรูปนั้น มองไม่เห็นเลย

ใช้คำว่า โสต - หู ,ปสาท - สภาพที่ผ่องใส ที่สามารถกระทบเสียง

เพราะฉะนั้น ถ้ากรรมไม่ทำให้โสตปสาทเกิด คนนั้นไม่ได้ยิน

จะพยายามสักเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ยิน

เพราะว่า ทั้งหมด เป็นธรรมะ ไม่อยู่ในอำนาจบัคับบัญชาของใครเลย

นก ได้ยินเสียงไหม?

ได้ยิน นะคะ

เพราะฉะนั้น "ได้ยิน" เป็น "นก" หรือเปล่า?

หรือเป็น "คน"? หรือเป็น "เทพ"?

หรือเป็น อะไร?

เป็นอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น

"ได้ยิน" เป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้น ได้ยิน แล้วก็ดับไป

เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรมะทั้งหมด ก็จะเริ่มเข้าใจความเป็นธรรมะ

ซึ่งเป็นอนัตตา

แล้วก็จะละคลาย การติดข้อง การยึดถือ

ซึ่งทุกคนไม่รู้เลยว่า ทุกข์ทั้งหลาย มาจากการยึดถือ

ถ้าไม่ยึดถือ ทุกข์ก็น้อยลง

แต่ว่า ความยึดถือมีมาก ยึดถือไปหมดเลย

ตั้งแต่ "เรา" แล้วก็ "ของเรา" ด้วย

ใช่ไหม?

มี "ตัวเรา" ก็ต้องมี "ของเรา"

พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง สารพัดอย่าง สมบัติในบ้าน

ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ก็ "ของเรา" ไปหมด

แต่ว่า ความจริง ไม่ใช่เลย

เพียงแค่ "คิด"

เพราะอะไร?

หลับสนิท อะไรอยู่ที่ไหน? ของใครบ้าง?

เป็นของเราจริงๆ หรือเปล่า?

ชื่ออะไร ก็ยังไม่รู้ ไม่มีอะไรปรากฏเลย

แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ "เริ่มเป็นเรา" หรือว่า เริ่ม "เป็นของเรา"

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การที่เราไม่รู้ความจริงว่า

แท้ที่จริงแล้ว ทุกอย่าง จะห้ามไม่ให้หลับ ก็ไม่ได้

หรือว่า ขณะหลับ ให้มีความเป็นเรา หรือ ของเรา ก็ไม่ได้

เพราะเหตุว่า ในขณะนั้น จิต เกิดจริง จิตเกิดดับสืบต่อ ไม่ได้ขาดเลยตั้งแต่เกิดจนตาย

แต่ขณะ "หลับ" ไม่ใช่ "เห็น"

ไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้น "เห็น" ไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้น "ได้ยิน" ไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้น "ได้กลิ่น"

ไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้น "ลิ้มรส" ไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้น "รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย"

แล้วก็ไม่ใช่จิตที่ "คิดนึก"

เพราะฉะนั้น ทั้งหมด เริ่มเห็นความเป็นธรรมะ คือ เป็นจิต

ซึ่ง แต่ละหนึ่ง ก็เกิดดับสืบต่อ แล้วก็ต้องอาศัย เหตุปัจจัยด้วย

ถ้ามีเสียง ซึ่งเราไม่คุ้นเคย

เราจะเข้าใจความหมายของสิ่งนั้นไหม?

ไม่เคยรู้ภาษาอาหรับ ภาษาตุรกี ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน

ได้ยินเสียง แต่ไม่รู้ว่า อะไร?

เพราะฉะนั้น แม้แต่การที่จะค่อยๆ คุ้นเคย ด้วยความจำ

จนกระทั่งเข้าใจในความหมายของแต่ละเสียง ก็เป็นธรรมะทั้งหมดเลย

เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ให้เราได้สามารถเข้าใจ มีการศึกษาสืบต่อ

ตราบใดที่ยังมีผู้ที่มีศรัทธา มีความเคารพในพระธรรม

ก็จะไม่ละเลย การฟังธรรม

เพราะเหตุว่า ถ้าจะกล่าวว่า เป็นชาวพุทธ

หมายความถึง ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา ต้องนับถือสิ่งที่ตนเองเข้าใจ และ รู้จัก

ไม่ใช่ว่า ไม่รู้จักเลย

ธรรมะ คือ อะไรก็ไม่รู้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร?

รู้เพียงแค่ประวัติ แต่ว่า ทรงตรัสรู้อะไร? และ ทรงแสดงความจริงอะไร?

ถ้าไม่มีการศึกษา พระธรรมก็อันตรธาน

ที่มีคำกล่าวว่า ๕๐๐๐ ปี อย่างมาก พระธรรมก็จะอันตรธาน คือ ไม่เหลือเลย

แต่ว่า แม้ในขณะนี้

ขณะใดก็ตาม ที่ไม่ได้ฟังธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมะ

อันตรธานแล้ว จากคนนั้น

แล้วถ้ามีมากๆ ทั่วโลก ก็อันตรธานไปหมด

ถ้าไม่มีการศึกษา

เพราะฉะนั้น พระศาสนาจะดำรงอยู่ได้

ก็ด้วยความเข้าใจของผู้ที่กล่าวว่า นับถือพระพุทธศาสนา

พุทธะ คือ ปัญญา

ศาสนา คือ คำสอน

ผู้ที่ไม่มีปัญญา จะสอน หรือกล่าวถึง สิ่งที่มีจริงไม่ได้

ต้องเป็นผู้ที่ตรัสรู้ ทั้งหมด ทั้งปวง โดยสิ้นเชิง

จึงสามารถที่จะทรงแสดงความจริง ของทุกสิ่งทุกอย่าง โดยละเอียดอย่างยิ่ง

ซึ่งผู้ที่ได้ฟัง ก็สามารถเข้าใจได้

เพราะเหตุว่า กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้!!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ประสาน
วันที่ 17 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 17 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 17 ส.ค. 2557

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
orawan.c
วันที่ 17 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Boonyavee
วันที่ 17 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งามด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 18 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nopwong
วันที่ 18 ส.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pulit
วันที่ 18 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 18 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
khampan.a
วันที่ 20 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง,

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของชมรมพุทศาสน์วังพญาไท ที่ได้จัดสนทนาธรรมในครั้งนี้

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งามที่ได้ถ่ายทอดสารธรรม และภาพอันสวยงาม, และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
raynu.p
วันที่ 21 ส.ค. 2557

กุศลใดที่เกิดขึ้นแล้วในการจัดสนทนาธรรมครั้งนี้ เป็นเครื่องบูชาคุณ

กราบเท้าแด่ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และอาจารย์วิทยากร

และขออนุโมทนา คุณ วันชัย ภู่งาม ที่นำสาระในพระธรรม พร้อมภาพอันงดงามมาให้นึกถึงกุศลที่ได้บำเพ็ญร่วมกันมาดีแล้วกับทุกๆ ท่านในวันนั้น

พ.ต.อ.ธีรชล และพลตรีหญิง เรณู ประทุมมณี

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 21 ส.ค. 2557

กราบอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของพี่ธีรชล พี่เรณูและ ชาวสมาชิกชมรมพุทธศาสน์วังพญาไท ทุกๆ ท่านด้วยครับ ที่ได้จัดให้มีการสนทนาธรรม ณ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ในโอกาสวันสำคัญๆ เสมอมา เป็นการเผยแพร่พระธรรมแก่ชนหมู่มาก ที่เป็นประโยชน์มาก น่าอนุโมทนาอย่างยิ่งครับ

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของทุกๆ ท่าน ด้วยใจจริงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
tanrat
วันที่ 15 ส.ค. 2558

กราบอนุโมทนาสาธุในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ