เหมือนกำมือที่วางเปล่า

 
papon
วันที่  19 ก.ค. 2557
หมายเลข  25131
อ่าน  1,229

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

"เหมือนกำมือที่วางเปล่า" พระพุทธพจน์หรือพจนาของท่านอาจารย์กระผมไม่แน่ใจ ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายด้วยครับ ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เหมือนกำมือที่ว่างเปล่า คือ เมื่อสภาพธรรมดับไป ย่อมไม่เหลืออะไรเลย เหมือนกำมือที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ครับ ดั่งคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่บรรยายไว้ดีแล้ว ดังนี้ :-

เหมือนกํามือที่ว่างเปล่า

พระประภาส : อาตมาก็อยากจะถามท่านอาจารย์สุจินต์ว่า ในขณะที่บุคคลศึกษา พระอภิธรรมจากที่ได้เรียนรู้เรื่องวิถีจิตต่างๆ โดยชื่อต่างๆ ซึ่งเมื่อสังเกตดูแล้ว ความเข้าใจในเรื่องของจิตแต่ละระดับ ซึ่งเมื่อได้ศึกษาก็จะเห็นว่าละเอียดมาก คลายความสงสัยไปได้ว่า ทําไมจิตจึงเกิดได้ ทําไมจิตจึงดับไป หรือว่าทําไมจึงรู้อารมณ์ได้ เช่น การศึกษาเรื่องของวิถีจิตทีนี้ถ้าเกิดว่าพูดถึงนัยของบุคคลที่ฟังแต่พระสูตรเช่นอย่างในครั้งที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ออยู่ พระองค์ทรงแสดงธรรมสั้นๆ เช่น เห็นสักแต่ว่าเห็น ในขณะนั้น บุคคลที่สามารถมีสติปัฏฐานเกิดขึ้นรู้ลักษณะของธรรมได้ทันที นี่แสดงให้เห็นว่า เขาก็ไม่มีความสงสัยเรื่องของจิต ถูกไหม เจริญพร?

สุ. แน่นอนเจ้าค่ะ หมายความว่า ถ้าได้ยินว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น คนนั้นเข้าใจความหมายทันทีว่า เห็นเป็นสภาพรู้ แล้วไม่ใช่ตัวตนด้วย เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับด้วย คือ คําๆ เดียวขึ้นอยู่กับความเข้าใจคนฟังว่า คนฟังเข้าใจได้ลึกซึ้งแค่ไหน ถ้าบอกว่าเห็นสักแต่ว่าเห็น คนที่ไม่เข้าใจธรรมเลย ก็พูดตามว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น แต่ก็ไม่เข้าใจอะไร แต่ถ้าคนที่เข้าใจแล้วก็เข้าใจได้ลึกจนกระทั่งว่า ขณะนี้เห็น สักแต่ว่าเห็นจริงๆ เพราะเหตุว่าเหมือนกํามือที่ว่างเปล่า เมื่อเกิดขึ้นแล้วดับไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย ไม่เป็นของใครเลย เพราะฉะนั้น ที่ว่าเป็นเราเห็นเมื่อสักครู่นี้ ก็คือความว่างเปล่าจากตัวตน เพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ

พระประภาส : เพราะฉะนั้นบุคคลคนนี้ก็จะต้องมีความเข้าใจดีว่า จิตเกิดขึ้นแล้วต้องดับ ไม่กลับมาอีก เขาต้องมีความรู้อันนี้มาก่อน ถูกต้องไหม เจริญพร?

สุ. ต้องมีความรู้ความเข้าใจขนาดที่ว่า พอฟังแล้วเข้าใจ อย่างท่านพระสารีบุตร ไม่ต้องกล่าวมากเลย ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ ขณะนี้ที่กําลังเห็น ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่าต้องมีปัจจัย จึงเกิดขึ้น ชั่วขณะที่ฟัง

พระประภาส : ไม่จําเป็นต้องไล่ชื่อ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าคลายความสงสัยมาแล้ว ถูกต้องไหม เจริญพร?

สุ. สําหรับพวกปทปรมะ ที่ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้โดยไม่ได้อาศัยการฟังอย่างละเอียด และเมื่อฟังอย่างละเอียดแล้ว ก็แล้วแต่ว่าสติจะเกิดระลึกได้มากน้อยเท่าไรในแต่ละชาติ ถ้าใครสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในชาตินี้ ผู้นั้นเป็นเนยยบุคคล แต่ไม่มีใครในยุคนี้ที่เป็นอุคฆติตัญญู หรือว่า วิปจิตัญญูบุคคล

...ขออนุโมทนา ครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 19 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า สังขารทั้งหลาย (สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง อันได้แก่ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป) ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นใจ, ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ไม่ควรแก่การยึดถือว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล หรือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สังขารแม้อย่างหนึ่งที่เที่ยงนั้น ไม่มีเลย ทุกขณะของชีวิตก็ไม่พ้นไปจากธรรม เพราะเหตุว่า มีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลาไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรยั่งยืน ไม่มีอะไรเหลือเลย เกิดมีขึ้น แล้วก็ดับไปในที่สุด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 19 ก.ค. 2557

เหมือนเงาน้ำบนถนน พอเข้าใกล้ก็ไม่มี ธรรมเกิดดับ มีแล้วก็ไม่มี ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ประสาน
วันที่ 20 ก.ค. 2557

เหมือนมี

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 20 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nopwong
วันที่ 23 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ