ละอาสวะได้เพราะการเห็น

 
jran
วันที่  21 พ.ค. 2557
หมายเลข  24889
อ่าน  2,273
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
สัพพาสวสังวรสูตร
ว่าด้วยการสังวรในอาสวะทั้งปวง

การละอาสวะได้เพราะการเห็น (ขอยกพระธรรมมาบางส่วน)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ควรมนสิการเหล่าไหน ที่อริยสาวกมนสิการอยู่? เมื่ออริยสาวก
นั้นมนสิการธรรมเหล่าใดอยู่ กามาสวะก็ดี ภวาสวะก็ดี อวิชชาสวะก็ดี ที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อม
ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมสิ้นไป ธรรมที่ควรมนสิการเหล่านี้ ที่อริยสาวกมนสิการอยู่
อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้น จะไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้ว จะเสื่อมสิ้นไปแก่อริยสาวกนั้น
เพราะไม่มนสิการธรรมที่ไม่ควรมนสิการ และเพราะมนสิการธรรมที่ควรมนสิการ.
อริยสาวกนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคายว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์
นี้ปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์ เมื่ออริยสาวกนั้นมนสิการอยู่โดยแยบคายอย่างนี้ สังโยชน์ ๓ คือ
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ย่อมเสื่อมสิ้นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้
เรากล่าวว่า จะพึงละได้เพราะการเห็น

ขอถามดังนี้ครับ

การเห็นไม่น่าจะเห็นด้วยตาเนื้อแต่ต้องเห็นด้วยความรู้สึกรับรู้ว่าทุกข์กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะเวลานี้ (อาจจะเป็นทุกข์กาย หรือทุกข์ใจ) ในกระบวนการของมนสิการ เมื่อเห็นว่าทุกข์เกิดขึ้น จะรู้สาเหตุที่ทำให้ทุกข์เกิด เมื่อรู้สาเหตุแล้วความดับทุกข์จะตามมาโดยใช้ปฏิปทามรรคทั้ง 8 มาเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกันและมีสติปัฏฐาน 4 เป็นผู้รู้คอยดูแลระวัง

กระผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับขอคำแนะนำจากอาจารย์ทั้ง 2 ด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา เพราะปัญญาเท่านั้นทำหน้าที่ละ ละกิเลส มีอาสวะ เป็นต้น ครับ ซึ่งขอกล่าวประเด็นเรื่องอาสวะก่อนครับว่า คือ อะไร

สำหรับในเรื่องของอกุศลธรรม ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดำ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงจำแนกไว้หลายหมวดหมู่ เพื่อให้สัตว์โลกได้เข้าใจ และเห็นโทษของอกุศลธรรม ตามความเป็นจริง หนึ่งในนั้น คือ หมวดของอาสวะ ๔ ประการ อาสวะ เป็นอกุศลธรรมที่บางเบาไหลไปอย่างรวดเร็ว ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจ ซึ่งไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน อาสวะเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่รู้ เมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ซึ่งก็มีจริงในชีวิตประจำวัน แต่เราก็ไม่รู้เลยว่าติดข้องแล้วในขณะนั้น หลังเห็น หลังได้ยิน เป็นต้น นี้คือ ลักษณะของอาสวะที่ ๑ คือกามาสวะ, อาสวะที่ ๒ คือ ภวาสวะ ความติดข้องยินดีพอใจในภพ ในขันธ์ ในความมีความเป็น, ขณะที่มีความเห็นผิดเกิดขึ้น ก็เป็นทิฏฐาสวะ ซึ่งเป็นอาสวะที่ ๓ และที่ร้ายไปกว่านั้น เป็นไปด้วยความไม่รู้ เป็นอาสวะ ที่ ๔ คือ อวิชชาสวะ ทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด แต่เป็นอกุศลธรรม ที่จะต้องละด้วยปัญญา บุคคลที่จะละอาสวะได้ทั้งหมดอย่างเด็ดขาด ก็จะต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น พระอรหันต์เป็นผู้ที่สิ้นอาสวะแล้ว ชื่อหนึ่งของพระอรหันต์ คือ พระขีณาสพ หมายถึง ผู้มีอาสวะสิ้นไปแล้ว หรือ ผู้สิ้นอาสวะ นั่นเอง แต่กว่าจะไปถึงการเป็นพระอรหันต์ ก็จะต้องมีการดับอาสวะเป็นขั้นๆ กล่าวคือ ทิฏฐาสวะ พระโสดาบัน ดับได้, ความติดของยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ซึ่งเป็นกามาสวะ พระอนาคามี ดับได้, ส่วน ภวาสวะ กับ อวิชชาสวะ พระอรหันต์ ดับได้ ซึ่งเมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว พระอรหันต์เป็นผู้ดับอาสวะทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด

เพราะฉะนั้น ตามที่คำถามกล่าวว่า การละอาสวะด้วยการเห็น อย่างไร

ตามที่กล่าวแล้ว ธรรมที่จะละกิเลส คือ ปัญญา เพราะฉะนั้น จึงเป็นการเห็นด้วยปัญญา ตามความเป็นจริงที่เรียกว่า ทัสสนะ แต่ การจะถึงการละ ถึง ทัสสนะ ที่เป็นปัญญาระดับมรรคจิต ที่สูงมาก ก็จะต้องรู้จักทุกข์ตามความเป็นจริง ซึ่งทุกข์ก็คือ สภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา จะรู้ทุกข์ ไม่ใช่การมีตัวตนจะพิจารณาแยบคายด้วยมนสิการ แต่เป็นปัญญาเกิดพร้อมมนสิการ ในขณะนั้น ครับ

ซึ่งพระพุทธพจน์ที่ว่า

อริยสาวกนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคายว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์ เมื่ออริยสาวกนั้นมนสิการอยู่โดยแยบคายอย่างนี้ สังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ย่อมเสื่อมสิ้นไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่า จะพึงละได้เพราะการเห็น

คำว่า มนสิการ ในที่นี้ จึงหมายถึง มนสิการเจตสิก ที่เป็นโยนิโสมนสิการ ที่เกิดร่วมกับปัญญา ในขั้นการเจริญสติปัฏฐาน ที่ขณะนั้น ไม่ได้คิดนึก ไม่ใช่ มนสิการโดยการคิด แต่ มนสิการเจตสิก ในขณะนั้น ทำหน้าที่ใส่ใจด้วยดี ในอารมณ์นั้น เช่น ใส่ใจด้วยดี ใน สภาพธรรมที่กำลังเห็น ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา และอาศัยปัญญาที่รู้ความจริงๆ ที่เ่กิดร่วมกับ มนสิการเจตสิก จึงค่อยๆ ละอาสวะ กิเลสไปทีละน้อย จนละสังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ได้หมดสิ้น เมื่อถึงโลกุตตรมรรคได้ในที่สุด ครับ ขณะนั้นก็เห็นด้วยปัญญา มรรคจิต ละอาสวะในขณะนั้น

ข้อความแสดงว่า การเห็น คือ ทัสสนะด้วยปัญญา ครับ

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 161

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาบทนี้ว่า อุปฺปนฺนา จ อาสวา ปหิยฺยนฺติ ดังนี้แล้ว ทรงขยายเทศนาให้พิสดาร เพื่อจะทรงชี้แจงเหตุแห่งการละ ซึ่งอาสวะที่ละได้ แม้อย่างอื่นโดยประการต่างๆ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่พึงละด้วย ทัสสนะ มีอยู่ ดังนี้ สมกับที่พระองค์เป็นพระธรรมราชา ผู้ฉลาดในประเภทแห่งเทศนา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสฺสนา ปหาตพฺพา ความว่า พึงละด้วยทัสสนะ ในทุกบทก็นัยนี้.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 21 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อาสวะ เป็นอกุศลธรรมที่บางเบาไหลไปได้ทุกภพภูมิ ไหลไปทางตาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เป็นอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ยากที่จะรู้ได้ ต้องเป็นเรื่องของปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ และการละ อาสวะ ก็ต้องเป็นปัญญาระดับขั้นที่เป็นโลกุตตระ ตามลำดับ กล่าวคือ ความเห็นผิด ที่เป็นทิฏฐาสวะ ละได้ด้วยโสตาปัตติมรรค กามาสวะ ความติดต้องในกาม ละได้ด้วยอนาคามิมรรคภวาสวะ ความติดข้องในภพ และ อวิชชาสวะ ความไม่รู้ ดับได้อย่างหมดสิ้นด้วยอรหัตตมรรค

แสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องยากจริงๆ กว่าจะดับอกุศลธรรมเหล่านี้ได้ ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมปัญญาไป ชีวิตไม่มีอะไรเป็นพึ่งอย่างแท้จริงได้ นอกจากปัญญา เท่านั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เท่านั้นที่จะเป็นเหตุให้ปัญญาเจริญขึ้น ปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าปราศจากการฟังพระธรรม แล้วจะฟังพระธรรมจากใคร? คำตอบ คือ จะต้องเข้าไปอาศัยบุคคลผู้ที่มีปัญญา เมื่อคบหากับบุคคลผู้มีปัญญาแล้ว ก็จะได้มีโอกาสฟังความจริง ฟังพระธรรมจากบุคคลนั้น เมื่อมีการฟังเกิดขึ้น ก็มีการใส่ใจ มีการพิจารณาไตร่ตรอง ซึ่งจะเป็นเครื่องเกื้อกูลให้มีการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โดยเป็นกิจหน้าที่ของธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้น ไม่ใช่มีตัวตนที่ไปปฏิบัติหรือไปทำ ซึ่งจะต้องเกื้อกูลกันตั้งแต่ต้น กว่าจะถึงการสิ้นอาสวะ ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านดับอาสวะได้หมดสิ้น เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า การอบรมเจริญปัญญาไม่ไร้ผลอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ในฐานะที่ยังเป็นผู้มีกิเลสอยู่มากมาย ก็จะต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาต่อไป จนกว่าวันนั้นจะมาถึงจริงๆ เมื่อนั้นก็จะเป็นผู้สิ้นสุดการเดินทางในสังสารวัฏฏ์ แต่ขณะนี้ยังไปไม่ถึงตรงนั้น ก็จะต้องสะสมเหตุทีดีต่อไป ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม แล้วน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม ต่อไป ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เทวดา
วันที่ 21 พ.ค. 2557

ความจริงแล้ว คำตอบ หรือ คำอธิบายก็อยู่ในข้อความที่คุณนำมาเขียนไว้

คำว่า "จะพึงละได้เพราะการเห็น" ก็คือ

การรู้การเข้าใจในอาสวะทั้งมวล

ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์
นี้ปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์

เมื่อ เห็นแล้ว จึงละอาสวะเหล่านั้นได้ฉะนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jran
วันที่ 21 พ.ค. 2557

ขอขอบคุณและอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ