ถ้าเราไม่มีเจโตปริยญาณ เราสามารถรู้สภาพจิตของผู้อื่นได้หรือไม่อย่างไร ?

 
hankout
วันที่  21 เม.ย. 2557
หมายเลข  24744
อ่าน  970

ถ้าเราไม่มีเจโตปริยญาณ เราสามารถรู้สภาพจิตของผู้อื่นได้หรือไม่อย่างไร?

เช่นเราเห็นผู้อื่นกำลังนั่งอยู่เฉยๆ แล้วเรารู้สึกว่าเขากำลังเกิดโทสะแสดงว่าเรามีโทสจิตของผู้อื่นเป็นอารมณ์ หรือว่าเรานึกเอาสภาพโทสจิตที่เคยเกิดขึ้นกับเราที่เป็นของเราในอดีตมาเป็นอารมณ์ แล้วเทียบเคียงว่าคนอื่นเขามีโทสจิต ซึ่งจริงแล้วๆ เขาผู้นั้นอาจจะมีโลภจิตเกิดขึ้นในขณะนั้นอยู่ก็ได้
ที่สงสัยก็คือเราสามารถรู้นามขันธ์ของผู้อื่นได้จริงๆ หรือว่าเราเอานามขันธ์ของเราในอดีตมาเป็นอารมณ์เพื่อเทียบเคียง?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การรู้จิตเป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่การคิดนึก ไม่ใช่การเทียบเคียง แต่จะต้องเป็นปัญญาระดับสูงมาก เช่น เจโตปริยญาณ เป็นต้น หรือ เป็นผู้อบรมเจริญวิปัสสนา สติปัฏฐาน รู้จิตของตนเอง จึงจะเป็นผู้ฉลาดในจิตของผู้อื่น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีเหตุเหล่านี้ ก็ไม่ต้องกล่าวถึง การรู้จิตของผู้อื่น เพราะ แม้แต่ การรู้จิตของตนเองก็รู้ไม่ได้ เช่น เราเห็นอะไรแล้วชอบ ก็มักจะกล่าวว่าโลภะ แต่ถ้าถามต่อไปว่า ขณะไหนเป็นโลภะ นี่ก็ไม่รู้แล้ว นั่นแสดงว่า การรู้จิต ไม่ใช่รู้ด้วยการคิดนึก แต่ รู้ด้วยปัญญาในสภาพธรรมที่กำลังในขณะนั้น รู้ในตัวลักษณะ แต่ ไม่ใช่การคิดนึกถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ดับไปแล้ว ครับ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีปัญญารู้จิตของตน เพียงแต่คิดเป็นเรื่องตามกันไป แม้จิตของผู้อื่นก็ไม่สามารถรู้ได้อีกเช่นกัน ครับ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ เพื่อจะได้ตรัสรู้และทรงแสดงธรรมเกื้อกูลแก่สัตว์โลกให้ได้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง พระองค์ทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้ผู้ฟังได้พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผล สะสมเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกของผู้ฟังเอง ซึ่งกิจที่ทุกคนควรทำอย่างยิ่ง คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเอง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ การรู้ใจคนอื่น (ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้ได้ยาก) ไม่สำคัญเท่ากับการรู้ใจตัวเอง ว่าสะสมอะไรมามากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะกิเลส สะสมมามากเหลือเกิน เพื่อประโยชน์แก่การขัดเกลาละคลายให้เบาบางลงจนกระทั่งสามารถดับได้อย่างหมดสิ้นในที่สุด

หนทางที่ถูก ที่เป็นไปเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส คือ อะไร นั่นก็คือ การอบรมเจริญปัญญา ส่วนการจะดำเนินตามทางดังกล่าวหรือไม่นั้น ก็เรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ ถ้าเป็นผู้ดำเนินตามทางดังกล่าว ผลก็คือ สามารถไปถึงการดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด แต่ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่เพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม ถึงแม้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงหนทางที่ถูกต้องแล้ว แต่บุคคลนั้นไม่ดำเนินตามทางดังกล่าว ก็ย่อมเป็นผู้ไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ไม่เข้าใจความจริง และไม่สามารถออกไปจากวัฏฏะ ไม่สามารถพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้เลย ครับ.

คำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์เตือนไว้ว่า

ควรรู้อกุศลของตนเองเพื่อขัดเกลา และรู้กุศลของคนอื่นเพื่ออนุโมทนาและทำให้คิดถึงชีวิตประจำวันของตนเองว่า วันๆ คิดแต่อกุศลของคนอื่น หรือคิดถึงจิตของคนอื่น ลืมระลึกรู้จิตของตนเองว่า เป็นกุศลหรืออกุศล

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 21 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นการศึกษาธรรมทีละคำจริงๆ เมื่อกล่าวถึงคำอะไร ก็ต้องมีความเข้าใจให้ชัดเจนว่า คือ อะไร ต้องมีคำตอบด้วยความเข้าใจในคำที่กล่าวถึงด้วย แม้แต่คำว่า จิต ไม่ใช่คำที่กล่าวลอยๆ แต่มีความหมายถึงสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่จิตรู้ คือรู้แจ้งอารมณ์ จิตแม้จะมีความหลากหลายโดยอารมณ์บ้าง โดยธรรมที่เกิดร่วมด้วย บ้าง โดยชาติที่เป็นกุศล อกุศล วิบาก กิริยา บ้าง โดยภูมิที่เป็นระดับขั้นต่างๆ บ้าง ก็มีลักษณะเพียงอย่างเดียว คือ รู้แจ้งอารมณ์ แต่จิตก็หลากหลายมากตามเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย

สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ จิตเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะมีอยู่ทุกขณะไม่เคยขาดจิตเลย แต่ก็ไม่รู้ถ้ายังไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจว่าเป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นจึงมีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ตามความเป็นจริง ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอันเป็นคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด แทนที่จะคิดเรื่องอื่น ก็คิดถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เพราะการที่จะถึงการรู้ใจของคนอื่นที่เป็นเจโตปริยญาณจริงๆ ต้องอบรมเจริญความสงบของจิตจนได้ฌานอย่างคล่องแคล่ว แต่ในขณะนี้ที่พอจะเป็นไปได้ คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ รู้จักจิตของตนเอง ขัดเกลากิเลสของตนเอง ต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 21 เม.ย. 2557

รู้ว่าจิตเป็นกุศล อกุศลได้ถ้ามีปัญญา รู้จิตตัวเองดีกว่า เพราะละกิเลสตนเอง ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
hankout
วันที่ 22 เม.ย. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ดวงทิพย์
วันที่ 23 เม.ย. 2557

สาธุอนุโมทนามิค่า

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ