การเจริญกุศลทุกประการ มีทานบารมี เป็นที่สุด สอดคล้องกับการเจริญสติปัฏฐานอย่างไร

 
rukawa119
วันที่  6 เม.ย. 2557
หมายเลข  24683
อ่าน  2,237

ขอเรียนสอบท่านอาจารย์ประจำมูลนิธิทุกท่านว่า

1. การที่เราเจริญกุศลทุกประการ เพื่อขัดเกลากิเลสนั้น เป็นการละคลายอกุศลต่างๆ ให้ลดน้อยลงไป แต่เป็นปัญญาคนละขั้นกับการเจริญสติปัฏฐานใช่หรือไม่ เพราะถึงแม้ผู้ที่เจริญกุศลด้วยทาน หากไม่เคยได้ศึกษาพระธรรมเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ก็ย่อมที่จะไม่สามารถประหารกิเลสได้

2. การเจริญกุศลทุกประการ ทำให้ละคลายอกุศลต่างๆ เช่น ให้ทานเพื่อละความตระหนี่ เมตตา ละความพยาบาท ทำให้ชีวิตประจำวันเกิดกุศลแทนที่อกุศลมากขึ้น เมื่อกุศลเกิดมากขึ้น พร้อมกันนั้นหากได้ศึกษาและฟังพระธรรมเรื่องการเจริญสติปัฏฐานมาด้วย ก็จะเป็นส่วนช่วยเกื้อกูลทำให้สติระลึกรู้สภาพธรรมได้บ่อยขึ้น อันนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ

3. บารมีทั้ง 10 ประการ มีทานบารมีเป็นต้น มีส่วนช่วยในการขัดเกลากิเลสให้เบาบางลง (แต่ไม่ได้ประหารกิเลส) แต่ทานบารมีสามารถเป็นกำลัง ส่งผลให้ปฏิสนธิในประเทศอันสมควร ได้ศึกษาพระธรรม ได้ฟังพระธรรม ได้มีความสมบูรณ์ในชีวิต ไม่อัตคัดขัดสน ทำให้เกื้อกูลต่อการเจริญกุศลขั้นสติปัฏฐานเจริญขึ้นๆ ไป ใช่หรือไม่ครับ

4. บารมี 10 เกื้อกูลการเจริญสติปัฏฐาน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ประหารกิเลสโดยตรงแต่ก็เป็นเครื่องที่ยังให้ถึงฝั่งได้ แต่หากว่าถ้าไม่เคยได้ศึกษาพระธรรมมาก่อน ถึงแม้จะบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญสมถกรรมฐาน เท่าไหร่ ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้ใช่มั้ยครับ เพราะปัญญาขั้นดับกิเลส เป็นปัญญาคนละขั้นกับ ทาน และศีล

5. กล่าวโดยสรุปก็คือการทำความดี เจริญกุศลทุกประการ บารมีทั้ง 10 และศึกษาพระธรรมให้ถูกต้อง ปัญญาก็จะค่อยๆ เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ครับ

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 6 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. การที่เราเจริญกุศลทุกประการ เพื่อขัดเกลากิเลสนั้น เป็นการละคลายอกุศลต่างๆ ให้ลดน้อยลงไป แต่เป็นปัญญาคนละขั้นกับการเจริญสติปัฏฐานใช่หรือไม่ เพราะถึงแม้ผู้ที่เจริญกุศลด้วยทาน หากไม่เคยได้ศึกษาพระธรรมเรื่องการเจริญสติปัฏฐานก็ย่อมที่จะไม่สามารถประหารกิเลสได้

@ กิเลส มีหลายระดับ ทั้งกิเลสที่เป็นกิเลสขั้นหยาบ ขั้นกลาง และ กิเลสอย่างละเอียด ซึ่งกุศลในการให้ทาน เป็นเพียงขัดเกลาความตระหนี่ แต่ไม่สามารถที่จะละกิเลสได้จริง พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงหนทางการดับกิเลสที่เรียก ทางสายกลาง หรือ อริยมรรคมีองค์ 8 หรือ สติปัฏฐาน 4 ที่ชื่อต่างกัน แต่โดยอรรถ เหมือนกัน ที่เป็นการรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา เป็นหนทางที่จะค่อยๆ ละกิเลสได้จริงๆ จนหมดสิ้น แต่ต้องอบรมอย่างยาวนาน ครับ

2. การเจริญกุศลทุกประการ ทำให้ละคลายอกุศลต่างๆ เช่น ให้ทานเพื่อละความตระหนี่ เมตตา ละความพยาบาท ทำให้ชีวิตประจำวันเกิดกุศลแทนที่อกุศลมากขึ้น เมื่อกุศลเกิดมากขึ้น พร้อมกันนั้นหากได้ศึกษาและฟังพระธรรมเรื่องการเจริญสติปัฏฐานมาด้วย ก็จะเป็นส่วนช่วยเกื้อกูลทำให้สติระลึกรู้สภาพธรรมได้บ่อยขึ้น อันนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ

@ ถูกต้องครับ กุศลทุกๆ ประการ จะเป็นแรงเกื้อหนุน ให้ผู้ที่มีความเข้าใจธรรมในการเจริญสติปัฏฐานเกิดสติได้ ดั่งเช่น กุศลที่เป็นบารมี ไม่ใช่มีเฉพาะปัญญาเท่านั้น แต่กุศลทุกๆ ประการที่ทำด้วยความเข้าใจ ย่อมจะทำให้เห็นความจริงได้มากขึ้น ครับ

3. บารมีทั้ง 10 ประการ มีทานบารมีเป็นต้น มีส่วนช่วยในการขัดเกลากิเลสให้เบาบางลง (แต่ไม่ได้ประหารกิเลส) แต่ทานบารมีสามารถเป็นกำลัง ส่งผลให้ปฏิสนธิในประเทศอันสมควร ได้ศึกษาพระธรรม ได้ฟังพระธรรม ได้มีความสมบูรณ์ในชีวิต ไม่อัตคัดขัดสน ทำให้เกื้อกูลต่อการเจริญกุศลขั้นสติปัฏฐานเจริญขึ้นๆ ไป ใช่หรือไม่ครับ

@ ต้องเป็นทานบารมี ที่ประกอบด้วยปัญญา คือ มีความเข้าใจถูกเป็นสำคัญ กุศลนั้นที่มีปัญญาด้วย ก็จะทำให้เกิดในประเทศอันสมควร และ ปัญญาที่สะสมมา เมื่อได้ฟังธรรมอีก ก็สะสมปัญญา เจริญสติปัฏฐานต่อไปได้ ครับ

4. บารมี 10 เกื้อกูลการเจริญสติปัฏฐาน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ประหารกิเลสโดยตรงแต่ก็เป็นเครื่องที่ยังให้ถึงฝั่งได้ แต่หากว่าถ้าไม่เคยได้ศึกษาพระธรรมมาก่อน ถึงแม้จะบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญสมถกรรมฐาน เท่าไหร่ ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้ใช่มั้ยครับ เพราะปัญญาขั้นดับกิเลส เป็นปัญญาคนละขั้นกับ ทาน และศีล

@ ถูกต้องครับ เพราะกุศลที่ไมได้ประกอบด้วยความเข้าใจในขั้น วิปัสสนา แม้จะทำกุศลมากมายก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะละกิเลสได้ ดั่งเช่น ผู้ที่เจริญฌานสูงสุด ถึง อรูปฌาน แต่ไม่มีการเข้าใจหนทางการดับกิเลสที่เป็นสติปัฏฐาน ก็ไม่สามารถละกิเลสได้ เพียงแต่ข่มกิเลสไว้เท่านั้น ครับ

5. กล่าวโดยสรุปก็คือการทำความดี เจริญกุศลทุกประการ บารมีทั้ง 10 และศึกษาพระธรรมให้ถูกต้อง ปัญญาก็จะค่อยๆ เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ครับ

@ ถูกต้อง ครับ สมกับคำว่า "ทำดีและศึกษาพระธรรม" เพราะมีปัญญาความเห็นถูก จึงทำให้เจริญกุศลประการต่างๆ ตามปัญญาเที่จริญขึ้น ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 6 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอุปการะเกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาเป็นสำคัญ เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม เพราะเหตุว่าการขัดเกลากิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิตใจ) ไม่เหมือนกับการทำความสะอาดวัตถุสิ่งของ เพราะเหตุว่าการขัดเกลากิเลสที่แต่ละบุคคลได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ต้องอาศัยการเจริญกุศลทีละเล็กทีละน้อย บ่อยๆ เนืองๆ สำหรับบุคคลผู้ที่ยังไม่มีปัญญาคมกล้าจนถึงขั้นที่จะสามารถบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ได้นั้น โอกาสใดที่จะเจริญกุศลได้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านใดๆ ก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะละเลยโอกาสนั้นไป เพราะโอกาสของการได้ทำความดี ในชีวิตประจำวันนั้น เป็นโอกาสที่หายาก เทียบส่วนกันไม่ได้เลยกับขณะที่เป็นอกุศล ซึ่งในวันหนึ่งๆ อกุศลจิตเกิดบ่อยมากเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าไม่มีโอกาสของกุศลจิตได้เกิดขึ้นบ้างเลย นับวันอกุศลก็จะสะสมพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไปอีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น

ไม่ใช่ว่า ไม่เจริญกุศลอย่างอื่น มุ่งแต่จะเจริญสติปัฏฐานอย่างเดียว ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า อกุศลมีมากเหลือเกิน และที่สำคัญ เพราะมีความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ เข้าใจว่า เป็นแต่เพียงธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ก็จะอุปการะเกื้อกูลให้คุณความดีประการต่างๆ เจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน ด้วย ทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็มาจากการได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า เพราะเคยเห็นประโยชน์ของพระธรรมมาแล้ว ก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้ฟังได้ศึกษาอีก สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นต่อไปอีกจนกว่าปัญญาจะถึงความสมบูรณ์พร้อมในที่สุด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 6 เม.ย. 2557

ให้ทานที่ปรุงแต่งจิต พร้อมกับที่สติปัฏฐานเกิดได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
rukawa119
วันที่ 7 เม.ย. 2557

ขอกราบอนุโมทนากับอาจารย์ทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
rukawa119
วันที่ 7 เม.ย. 2557

เรียนสอบถามท่านอาจารย์ทุกท่านเพิ่มเติมว่า

1. สติปัฏฐานที่ระลึกรู้ ช่วยทำให้สังสารวัฏ สั้นลงอย่างไร เช่นการระลึกรู้ในชีวิตประจำวัน (ในแต่ละขณะจิตที่ระลึกรู้สภาพธรรมว่าปราศจาก สัตว์ บุคคล ตัวตน ทำให้เริ่มคลายอัตตสัญญา ไปเรื่อยๆ จนปัญญาคมกล้าดับกิเลสได้) ใช่หรือไม่ ครับ

2. เมื่อความโกรธเกิดขึ้น หากสติปัฏฐานมีกำลัง ระลึกรู้ว่าเป็นแต่เพียงความโกรธ ปราศจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เมื่อสติระลึกรู้ได้เช่นนั้น ก็จะทำให้กุศลเกิดแทน ทำให้ละคลายความโกรธลงได้ทันทีหรือไม่ครับ ถ้าได้ ความโกรธนั้นถูกรู้และดับไป แต่ถ้าไม่ได้ ถ้าได้เคยเป็นผู้ที่ได้ศึกษาและฟังพระธรรมมาว่าความโกรธ พยาบาท ก็ดี ขัดเกลาด้วยเมตตา เกิดโยนิโสมนสิการ เปลี่ยนจากโกรธเป็นเมตตาได้หรือไม่ครับ

3. "ซึ่งในวันหนึ่งๆ อกุศลจิตเกิดบ่อยมากเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าไม่มีโอกาสของกุศลจิตได้เกิดขึ้นบ้างเลย นับวันอกุศลก็จะสะสมพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไปอีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น " ขอสอบถามข้อความนี้เพื่อให้ชัดเจนแก่ปัญญายิ่งขึ้นไปว่า

3.1 ตามที่ท่าน อ.คำปั่น กล่าวว่า "ถ้าไม่มีโอกาสของกุศลจิตได้เกิดขึ้นบ้างเลย นับวันอกุศลก็จะสะสมพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไปอีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น" อันนี้หมายถึง ปุญญาภิสังขาร หรือไม่ครับ ถ้ากล่าวเช่นนั้น แสดงว่าท่านอาจารย์หมายถึงว่าให้เจริญกุศลทุกประการ แต่การเจริญกุศลก็เป็นปุญญาภิสังขาร ก็เท่ากับสร้างภพ ชาติ สืบต่อไปเช่นกัน ดังนั้น สังสารวัฏ จะไม่ยาวต่อไปได้อย่างไรครับ ทั้งที่สังขารทั้ง 3 คือ อปุญญาภิสังขาร ปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เป็นตัวสร้างภพ สร้างชาติต่อไป

3.2 ในระหว่างที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเจริญกุศล (ปุญญาภิสังขาร) ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป นั่นหมายถึง เจริญในธรรมฝ่ายดี เพราะธรรมฝ่ายดี เป็นเครื่องสนับสนุนเกื้อกูลให้ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม จนมีปัญญารู้แจ้งอริยสัจ ใช่หรือไม่ครับ

3.3 ถ้าบุคคลมุ่งเฉพาะเจริญสติปัฏฐาน ไม่ได้เจริญกุศล คือมุ่งระลึกรู้เฉพาะสภาพธรรม จนละคลายความเห็นผิด ยึดติด ปราศจากสัตว์ บุคคล ตัวตน จะมีโอกาสดับกิเลสได้หรือไม่ เพราะอะไร

3.4 เนื่องจากว่าการให้ทาน รักษาศีล เป็นการละคลาย ขจัดกิเลสขั้นหยาบและขั้นกลาง ไม่ได้ประหารกิเลสละเอียดซึ่งเป็นต้นเหตุ แต่เมื่อต้องการดับกิเลส ทำไมไม่เจริญสติปัฏฐานเพื่อดับกิเลสโดยตรงเลย คือข้ามไปดับกิเลสขั้นละเอียดเลย

3.5 ผลของการอบรม เจริญปัญญาขั้นสูงสุด คือละได้ทั้ง อปุญญาภิสังขาร และปุญญาภิสังขาร ใช่หรือไม่ครับ

ขอกราบอนุโมทนาเพื่อปัญญาและความเห็นถูก เข้าใจถูก ยิ่งขึ้นต่อไปครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 7 เม.ย. 2557

1.สติปัฏฐานที่ระลึกรู้ ช่วยทำให้สังสารวัฏ สั้นลงอย่างไร เช่นการระลึกรู้ในชีวิตประจำวัน (ในแต่ละขณะจิตที่ระลึกรู้สภาพธรรมว่าปราศจาก สัตว์ บุคคล ตัวตน ทำให้เริ่มคลายอัตตสัญญา ไปเรื่อยๆ จนปัญญาคมกล้าดับกิเลสได้) ใช่หรือไม่ ครับ

@ สติปัฏฐานเกิด ทำให้ปัญญาเกิดละคลายความไม่รู้และกิเลส ไปทีละน้อย ละความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล สังสารวัฏฏ์ คือ การเกิดก็สั้นลง เพราะกิเลสลดลง เพราะกิเลสเป็นเหตุของการเกิด ตาย ไม่มีที่สิ้นสุด ที่เรียกว่า สังสารวัฏฏ์ ครับ

2.เมื่อความโกรธเกิดขึ้น หากสติปัฏฐานมีกำลัง ระลึกรู้ว่าเป็นแต่เพียงความโกรธ ปราศจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เมื่อสติระลึกรู้ได้เช่นนั้น ก็จะทำให้กุศลเกิดแทน ทำให้ละคลายความโกรธลงได้ทันทีหรือไม่ครับ ถ้าได้ ความโกรธนั้นถูกรู้และดับไป แต่ถ้าไม่ได้ ถ้าได้เคยเป็นผู้ที่ได้ศึกษาและฟังพระธรรมมาว่าความโกรธ พยาบาท ก็ดี ขัดเกลาด้วยเมตตา เกิดโยนิโสมนสิการ เปลี่ยนจากโกรธเป็นเมตตาได้หรือไม่ครับ

@ สภาพธรรมทุกอย่างเกิดขึ้นและดับไป แม้ความโกรธก็เกิดขึ้นและดับไป ความโกรธละได้ด้วยหลายระดับ ด้วยเมตตาก็ได้ แต่ไม่ใช่หนทางที่จะละกิเลส คือ ความโกรธได้หมดสิ้น แต่สติปัฏฐานที่เกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา เป็นหนทางการละความโกรธได้ไม่เกิดอีกได้จริงๆ ครับ

3. "ซึ่งในวันหนึ่งๆ อกุศลจิตเกิดบ่อยมากเป็นปกติอยู่แล้วถ้าไม่มีโอกาสของกุศลจิตได้เกิดขึ้นบ้างเลย นับวันอกุศลก็จะสะสมพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไปอีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น " ขอสอบถามข้อความนี้เพื่อให้ชัดเจนแก่ปัญญายิ่งขึ้นไปว่า

3.1 ตามที่ท่าน อ.คำปั่น กล่าวว่า "ถ้าไม่มีโอกาสของกุศลจิตได้เกิดขึ้นบ้างเลย นับวันอกุศลก็จะสะสมพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไปอีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น"

อันนี้หมายถึง ปุญญาภิสังขาร หรือไม่ครับ ถ้ากล่าวเช่นนั้น แสดงว่าท่านอาจารย์หมายถึงว่าให้เจริญกุศลทุกประการ แต่การเจริญกุศลก็เป็นปุญญาภิสังขาร ก็เท่ากับสร้างภพ ชาติ สืบต่อไปเช่นกัน ดังนั้น สังสารวัฏ จะไม่ยาวต่อไปได้อย่างไรครับ ทั้งที่สังขารทั้ง 3 คือ อปุญญาภิสังขาร ปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เป็นตัวสร้างภพ สร้างชาติต่อไป

@ ในความเป็นจริงแล้ว แม้จะเกิดอกุศล แต่มีการอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม ปัญญาเมื่อถึงพร้อม ย่อมละกิเลสได้จนหมดสิ้น ไม่เหลือ แม้จะสะสมมามากเท่าไหร่ก็ตาม แต่หากไม่มีการเกิดขึ้นของกุศล โดยเฉพาะปัญญา ที่เข้าใจ ที่เป็นสติปัฏฐาน เป็นต้น ก็ไม่มีทางดับกิเลสได้เลย ครับ

3.2 ในระหว่างที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเจริญกุศล (ปุญญาภิสังขาร) ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป นั่นหมายถึง เจริญในธรรมฝ่ายดี เพราะธรรมฝ่ายดี เป็นเครื่องสนับสนุนเกื้อกูลให้ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม จนมีปัญญารู้แจ้งอริยสัจ ใช่หรือไม่ครับ

@ ถูกต้องครับ กุศลทุกๆ ประการ ที่มีรากฐานจากความเข้าใจ เกื้อหนุนต่อการเจริญ อบรมปัญญา ครับ

3.3 ถ้าบุคคลมุ่งเฉพาะเจริญสติปัฏฐาน ไม่ได้เจริญกุศล คือมุ่งระลึกรู้เฉพาะสภาพธรรม จนละคลายความเห็นผิด ยึดติด ปราศจากสัตว์ บุคคล ตัวตน จะมีโอกาสดับกิเลสได้หรือไม่ เพราะอะไร

@ เป็นไปไม่ได้ ครับ เพราะกุศลอื่นๆ จะต้องประกอบด้วย แต่ที่น่าพิจารณาคือ ผู้ที่มีความเข้าใจในการเจริญสติปัฏฐานจริงๆ ย่อมไม่ประมาทในการเจริญกุศลทกุๆ ประการ ครับ

3.4 เนื่องจากว่าการให้ทาน รักษาศีล เป็นการละคลายขจัดกิเลสขั้นหยาบและขั้นกลาง ไม่ได้ประหารกิเลสละเอียดซึ่งเป็นต้นเหตุ แต่เมื่อต้องการดับกิเลสทำไมไม่เจริญสติปัฏฐานเพื่อดับกิเลสโดยตรงเลย คือข้ามไปดับกิเลสขั้นละเอียดเลย

@ ต้องประกอบกันในกุศลทุกๆ ประการ ครับ

3.5 ผลของการอบรม เจริญปัญญาขั้นสูงสุด คือละได้ทั้ง อปุญญาภิสังขาร และปุญญาภิสังขาร ใช่หรือไม่ครับ

@ ถูกต้อง ครับ เพราะ ย่อมไม่เกิด อกุศล กุศลเลย แต่เป็นกิริยาจิตแทน ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 7 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ