ทุกอย่างที่มีเพียงอาศัยระลึก

 
papon
วันที่  5 มี.ค. 2557
หมายเลข  24553
อ่าน  956

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

"ทุกอย่างที่มีเพียงอาศัยระลึก" พจนาท่านอาจารย์ ขอความกรุณาให้ความกระจ่างด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 มี.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอเชิญอ่านคำบรรยาย ท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ

ทุกอย่างที่มีเพียงอาศัยระลึก

ผู้ถาม ชีวิตประจำวันก็มาจากการกระทำ จากวิบากที่ได้รับ และที่นี้เวลาสิ่งที่กระทบที่ว่าเป็นวิบาก แต่ก็ไม่สามารถรู้ว่าเป็นวิบาก แต่ทันทีมันเกิดเหตุใหม่แล้ว ก็หมายความว่าปัญญาก็ไม่เกิดอีกเหมือนกัน

สุ. เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ทุกอย่างที่มีเพียงอาศัยระลึก พอระลึกแล้วก็หมด และก็มีสภาพธรรมอื่นปรากฏจึงจะเห็นว่าสภาพธรรมนั้นไม่เที่ยง และก็มีลักษณะที่ต่างกัน แล้วก็ละเอียดมากด้วย ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดด้วย

ผู้ถาม เหตุใหม่ที่กระทำใหม่บางทีก็ร้ายแรง แสดงว่าไม่มีสติใช่ไหม

สุ. ถ้าเป็นอกุศล สติจะไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย

ผู้ถาม ถ้าเหตุใหม่ที่เป็นกุศลมาจากโลภะ

สุ. ก็คนละขณะ แต่ความจริงเราไม่ประมาท เพราะเวลาที่เราได้ยินคำว่า “บารมี” ต้องเข้าใจว่าคือกุศลจิต กุศลธรรม ความดีในชีวิตประจำวัน ถ้าเราละเลยเมินเฉยชีวิตประจำวัน เราจะค่อยๆ ดีขึ้นได้ยังไง เราไปคอยตอนไหนให้โลกุตตรจิตเกิดและก็ไปดับความเห็นผิด แต่ว่าชีวิตประจำวันของเราซึ่งไม่เคยสนใจเลยว่าขณะนี้แม้ที่จริงขณะใดที่มีความเข้าใจถูก มีความอดทนเพิ่มขึ้น เช่นในขณะที่ฟัง รู้ว่าอีกไกล มีความอดทนเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ความท้อถอย ความเบื่อหน่าย นั่นก็คือวิริยบารมี ซึ่งค่อยๆ มี ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เพิ่ม หรือแม้แต่ทานบารมี การที่จะให้วัตถุแม้เพียงเล็กน้อย บางทีเราอาจจะให้ของใหญ่ๆ ได้ ให้เงินให้ทองจำนวนมากทำโน่นทำนี่ แต่ของในบ้านเล็กๆ หน่อยๆ ให้ใครไม่ได้ อาหารอร่อยๆ สักชิ้นสักคำให้ใครไม่ได้ ก็อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าขณะใดที่กุศลจิตเกิด สภาพธรรมจะเปลี่ยน แต่ถ้าขณะใดที่อกุศลจิตเกิด ก็เป็นอย่างนั้น แล้วบารมีอยู่ตรงไหน ถ้าไม่ลืมสามารถที่จะให้ได้ ค่อยๆ ให้ ค่อยๆ ให้ จนกระทั่งเป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นบารมีหนึ่งบารมีใด ไม่ว่าจะเป็นเมตตาบารมี ศีลบารมี ทางกาย ทางวาจา เป็นผู้สงบเพราะว่ากุศลจิตเกิดจึงไม่มีกายที่ดุร้าย ทำร้าย วาจาก็เป็นวาจาที่เพิ่มความเอื้ออาทรถึงความรู้สึกของคนอื่นเพิ่มขึ้น เราก็เห็นวาจาของคนที่เขาพูดดีๆ ทำไมเราไม่พูดบ้าง เพียงแค่นี้ทำไม่ได้ แล้วจะสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมซึ่งยากกว่านี้อีก เพราะว่าต้องสละความติดข้องถึงเนกขัมมบารมี คือรู้ว่าก็เป็นแต่เพียงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จะได้สิ่งใดมาก็พอใจในสิ่งที่ได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีมากดีน้อยหรือยังไงก็ตามแต่ ก็เป็นผู้ที่ไม่เดือดร้อน ไม่ขวนขวายเหมือนเดิม ค่อยๆ สละ ค่อยๆ ละ ปัญญาก็จะค่อยๆ เข้าใจความจริงในขณะนั้นเพิ่มขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ชีวิตประจำวันจริงๆ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 5 มี.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่มีจริงๆ คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ว่าพ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ นั้น เป็นที่ตั้งให้สติปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตามความเป็นจริงได้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ได้ ซึ่งจะต้องอาศัยเหตุที่สำคัญ คือ การฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ จนมั่นคงจริงๆ สิ่งที่เกิดปรากฏ เป็นที่อาศัยระลึก ไม่ใช่เพียงการพูดตาม แต่เป็นการที่ไม่ว่าจะสภาพธรรมที่เกิดปรากฏ ก็สามารถรู้ตามความเป็นจริง ไม่ผิดไม่คลาด เคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เพราะสะสมความไม่รู้มานานแสนนาน จึงต้องไม่ขาดการฟังพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย จริงๆ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 5 มี.ค. 2557

ธรรมเป็นที่ตั้ง ให้อาศัย ระลึกตามความเป็นจริง เมื่อปัญญาเกิด ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 6 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 6 ก.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ