ผู้ที่เห็นภัยของวัฏฏะ เพราะเป็นผู้ที่เจริญด้วยเหตุประการใด

 
Thanapolb
วันที่  6 ก.พ. 2557
หมายเลข  24427
อ่าน  2,462

ผู้ที่เห็นภัยของวัฏฏะจริงๆ เพราะเป็นผู้ที่เจริญด้วยเหตุประการใดครับ คงไม่ใช่เพียงแค่ฟังมา และคงไม่ใช่เพียงเห็นความไม่สวยไม่งาม ไม่เที่ยง ไม่สุข ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังของสิ่งที่เกิดขึ้นทางกายหรือทางใจ ในขั้นเพียงคิดเท่านั้นใช่ไหมครับ ต้องเป็นปัญญาระดับไหน หรือประจักษ์แจ้งอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่า เห็นภัยของวัฏฏะมากน้อยก็ตามระดับปัญญาด้วย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 6 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเห็นภัยของวัฏฏะ เห็นภัยของการเกิดการตาย ก็มีหลายระดับ ซึ่ง ก็จะต้องเป็นเรื่องของปัญญาจริงๆ สำหรับปัญญาขั้นต้น ที่ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เริ่มเข้าใจถูกในขั้นการฟัง เริ่มมีศรัทธา มีปัญญา ก็เห็นโทษภัยของการเกิด การตาย ในบางครั้ง บางขณะ และ เป็นการเห็นโทษภัยในขั้นเรื่องราว ว่าความเกิด ความตาย ไม่ดี น่ากลัว แต่ ในความเป็นจริงแล้ว ก็เห็นในขั้นสมมติ ไม่ได้เป็นการเห็นภัยของวัฏฏะ จริงๆ เพราะ หากเราเข้าใจคำว่า วัฏฏะที่ถูกต้องแล้ว วัฏฏะหรือ สังสารวัฏฏ์ คือ การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก สืบต่อกันไปไม่มีจบสิ้น เพราะฉะนั้น การเห็นภัยของวัฏฏะจริงๆ จะต้องเป็นปัญญาระดับวิปัสสนาญาณขั้นสูง ที่เห็น ความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นและดับไป ไม่เที่ยงว่าเป็นภัยจริงๆ เพราะ เป็นสิ่งที่น่ากลัว ไม่นำมาซึ่งความยินดี เพราะ ประจักษ์สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป แล้ว คือ ผ่าน อุทยัพพญาณ และ ถึง ภังคานุปสสนาญาณที่เห็นการดับไปของสภาพธรรม และ จนถึง การเห็นภัยของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไป คือ ภยตุปัฎฐานญาณ จึงจะเห็นภัยของสังขาร เห็นภัยของวัฏฏะอย่างแท้จริง เพราะ วัฏฏะ ไม่ใช่เรื่องราว แค่การเกิดการตายของสัตว์ แต่หมายถึงการเกิด และการตายของสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นและดับไป นี่คือความละเอียดของพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 6 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นเรื่องของปัญญา และ จะต้องเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม เห็นคุณของปัญญา ไม่ละเลยโอกาสที่สำคัญที่จะทำให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก จึงจะเป็นผู้เห็นโทษเห็นภัยของวัฏฏะ ซึ่งก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนี้ ปราศจากความเที่ยง ความยั่งยืนและความเป็นตัวตน ไม่ควรยินดีติดข้องเป็นอย่างยิ่ง ตามระดับขั้นของปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น

ตราบใดที่ยังมีอวิชชา ความไม่รู้ อีกทั้งยังมีตัณหา ความติดข้อง ยินดีพอใจเป็นเครื่องผูกไว้ จึงยังมีการเกิดอยู่ร่ำไป ท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ จากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอย่างไม่มีวันจบสิ้น ที่สุดของสังสารวัฏฏ์ย่อมไม่ปรากฏ ซึ่งแต่ละบุคคลก็ได้เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นมาแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระราชา คนมั่งมี คนตกทุกข์ได้ยาก คนมีความสุข เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นต้น แต่ในชาตินี้ก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ด้วยผลของกุศลกรรม ซึ่งเป็นการได้ที่ได้แสนยาก เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย อีกทั้งไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ ขัดเกลากิเลสของตนเอง ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท กล่าวได้ว่า เป็นชีวิตที่มีค่าเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นการสะสมเสบียงเครื่องเดินทางอย่างดีในสังสารวัฏฏ์ เพราะสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ คือ กุศลธรรม จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นคมกล้าขึ้นสามารถจะดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอีกเลย เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่ต้องเดินทางไกลในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไป ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ยาวไกลแสนไกลมาก แต่ก็สามารถเริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ได้ ตั้งแต่ในขณะนี้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 6 ก.พ. 2557

เห็นภัยของวัฏฏะ คือ เห็นโทษของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 9 ก.พ. 2557

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Thanapolb
วันที่ 10 ก.พ. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การจะเห็นภัยของวัฏฏ์ ที่เป็นสภาพการเกิดดับของจิต เจตสิก ดังที่อาจารย์ทั้งสองกล่าวถึง เป็นเรื่องของปัญญาขั้นสูงจริงๆ คนทั่วไปมองไม่เห็นภัยเลยแม้แต่น้อย

ขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
homenumber5
วันที่ 12 ก.พ. 2557

โดยสรุปจากอ. คำปั่น อ. ผเดิม จะขอสรุปได้ไหมว่า

การเห็นภัยจากสังสารวัฏฏ์นั้น คือมีสัมมาทิฏฐิ หรือ คือปัญญาหรือ คือโยนิโสมนสิการ แล้วจะให้เกิด เห็นภัยของวัฏฏ์จนต้องบำเพ็ญเพียรอย่างเอกอุ เช่น พระมหาโพธิสัตว์หรือ โลกุตรบุคคล เขาจะเห็นได้เพราะเหตุใด หมายถึงว่า คนในปัจจุบัน จะสร้างเหตุของการเห็นภัยของวัฏฏะอย่างยิ่งยวดจนสามารถเข้าสู่การบำเพ็ญเพียร ให้หลุดพ้นจากวัฏฏะได้อย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ก.ไก่
วันที่ 15 เม.ย. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ