เป็นทุกข์ในเรื่องความรัก...ควรคิดอย่างไรปฏิบัติอย่างไร จึงจะไม่ทุกข์

 
Godchaporn
วันที่  20 ม.ค. 2557
หมายเลข  24351
อ่าน  14,579

หากผิดหวังในเรื่องความรักมาโดยตลอด เราต้องปฏิบัติตัวอย่างไรและถ้าหากเรายังต้องการมีคู่ครองและมีความรักอีกครั้งหนึ่งนั้น เราต้องทำตัวอย่างไรและคิดอย่างไร จึงจะทำให้เราได้พบความสุขกับความรักครั้งใหม่นี้ และไม่ต้องทุกข์อีก


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 20 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกข์มีได้เพราะมีกิเลส ความรัก ความผูกพันก็เป็นกิเลส เพราะฉะนั้น มีรัก ติดข้องเมื่อใด ก็มีทุกข์ได้เป็นธรรมดา ผู้ที่ไม่มีทุกข์ คือ ผู้ที่ไม่รัก ไม่ติดข้อง ครับ สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

ความโศกย่อมเกิดแต่ของที่รัก ภัยย่อมเกิดแต่ของที่รัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้ปลดเปลื้องได้ จากของที่รัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน. ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ภัยย่อมเกิดแต่ความรัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้ว จากความรัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน ความโศกย่อมเกิดแต่ความยินดี ภัยย่อมเกิดแต่ความยินดี ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษ แล้วจากความยินดี ภัยจักมีแต่ที่ไหน


และ ผู้ที่มีรักหนึ่งก็ต้องทุกข์หนึ่ง มีรักร้อยก็ทุกข์ร้อย

ตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา แสดงไว้ว่า ความรัก ความติดข้องความยินดีพอใจ เป็นโลภะ เป็นอกุศลธรรม เป็นกิเลสตัณหา เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ ไม่ใช่เพียงแค่ความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น ความรักพี่น้อง รักเพื่อน หรือ ความติดข้องยินดีพอใจในกามคุณ ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ก็เป็นโลภะ เป็นตัณหาเหมือนกัน และที่สำคัญ ตัณหาเป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งปวง เพราะมีรัก เมื่อยังไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เพิ่มโลภะมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าผิดหวัง หรือ พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจ เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว ทุกข์ที่เกิดขึ้นก็เพราะยังมีตัณหา เมื่อดับตัณหาเสียได้ ทุกข์ย่อมถูกดับไปด้วย

โลภะ (หรือตัณหา) เกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมทำให้ไม่เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะขณะที่โลภะเกิด ย่อมมีโมหะ (ความไม่รู้) เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ทำให้คิดไปในทางที่ผิด การพูดก็ผิด การกระทำก็ผิด ทำให้ไม่รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดไม่มีประโยชน์ ขณะที่กุศลจิตเกิด จึงไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลย ทำให้ไม่รู้ความจริง แต่โดยนัยตรงกันข้ามเมื่อปัญญาเกิด ย่อมเห็นตามความเป็นจริง

บุคคลผู้ที่เข้าใจตามความเป็นจริงว่ากิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วก็ใคร่ที่จะละคลายกิเลสลง ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ไม่ละเลยโอกาสของการเจริญกุศลทุกๆ ประการ สะสมอุปนิสัยในการอบรมเจริญปัญญาเป็นปกติทุกๆ วันเพื่อละคลายกิเลสของตนเอง บุคคลประเภทนี้ เป็นบัณฑิต ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นอย่างนี้ ด้วยเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง สะสมความเข้าใจถูกต่อไป เพราะคนอื่นหรือทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริงในชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่จะติดตามไปในภพหน้าได้ แต่ความดี และปัญญาที่สะสมไว้ตั้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะสะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า ครับ.

นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรมดาของความทุกข์ที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ในความเป็นปุถุชนที่ยังหนาด้วยกิเลสและเต็มไปด้วยความติดข้องที่เป็นโลภะ อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์และเพราะมีอวิชชา ความไม่รู้จึงต้องมีการเกิดและต้องทุกข์กายและใจเป็นธรรมดา ดังนั้น จึงไม่ใช่การบอกวิธีให้ทำใจหายจากทุกข์ได้ทันที แต่ต้องเข้าใจความจริงที่เกิดแล้วว่าทุกข์มีจริง ขณะที่คิดถึงคนนั้น แฟน หรือ บุคคลที่ยึดถือ เป็นแต่เรื่องที่คิด และทุกอย่างก็ผ่านไปหมดแล้ว หากจะพูดถึงทางโลกก็จะกล่าวว่า คนที่ไม่รักเรา ควรหรือที่จะเศร้าโศกถึง เพราะทำอย่างไร จะร้องไห้สักเท่าไหร่ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเขาก็ไม่ได้สงสาร ไม่ได้รักเรา และทุกอย่างก็ผ่านไปหมด อันนี้ แนะนำอย่างที่แนะนำทั่วไป แต่การคลายโศกด้วยวิธีนี้ก็เป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็เป็นเราๆ เขาๆ ไม่ได้เข้าใจความจริงว่าเป็นธรรม แต่ประโยชน์ที่จะคลายโศก ทุกข์ใจจริงๆ คือ การแก้ที่ต้นเหตุ คือ เหตุคือ กิเลสประการต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ ที่ทำให้เกิดความรัก มีโลภะ เป็นต้น เป็นเหตุให้ทุกข์ใจ การแก้ที่ต้นเหตุ คือ อบรมธรรมฝ่ายคตรงกันข้ามที่จะลกิเลส คือ ละโลภะได้ด้วยการเจริญปัญญา ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ต้องไม่ลืมว่า กิเลสมีมากและสะสมมาเนิ่นนาน จะให้หายทุกข์ใจ ทำใจได้ทันทีคงเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะปัญญามีน้อยมาก ต้องค่อยๆ สะสมไป แต่การเริ่มจากเหตุที่ถูก ในการจะละความทุกข์ได้จริง ดีกว่า ประเสริฐกว่าการจะทำให้ทุกข์หายไปทันทีด้วยเพียงการปลอบใจอย่างชาวโลกครับ เพราะเดี๋ยวก็ต้องทุกข์อีกแน่นอนครับ แต่ผู้ที่เริ่มสะสมเหตุที่ถูกคือการอบรมปัญญา แม้จะทุกข์บ้าง เป็นธรรมดาของปุถุชน แต่ก็ค่อยๆ ละทุกข์ได้ทีละน้อยด้วยปัญญา และในที่สุดวันหนึ่งก็ละทุกข์ได้จริงๆ ครับ ดังนั้นในพระพุทธศาสนา จึงทำใจไม่ได้ เพราะบังคับให้เป็นไปตามต้องการไม่ได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจความจริงได้ครับ

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ 359

[๒๗๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ผู้มีทุกข์นั่นแหละ จึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละ จึงมีทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทุกข์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ผู้มีอายุ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 20 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีโลภะอยู่ ซึ่งเป็นธรรมดาจริงๆ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเพราะเหตุปัจจัย ตามที่ได้สะสมมา ที่จะติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อติดข้องแล้ว พลัดพรากจากสิ่งนั้นไป สิ่งที่ตามมา ก็คือ ความโศกเศร้าเสียใจ คร่ำครวญถึงสิ่งนั้น ด้วยจิตที่เป็นอกุศล เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ผลของความติดข้อง คือนำมาซึ่งทุกข์เมื่อพลัดพรากสิ่งนั้นไป สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งจริงๆ ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นความดีที่ตนเองได้สะสมไว้

แม้ไม่ได้จากกันตอนนี้ ในที่สุดก็ต้องจากกันอยู่ดี ด้วยความตายที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่จะเป็นประโยชน์จริงๆ ก็คือ ความเข้าใจพระธรรม เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เข้าใจความเป็นจริงมากขึ้น ความเศร้าโศกเสียใจ ก็จะค่อยๆ เบาบางลง ก็ขอให้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก และไม่ประมาทในการเจริญกุศลต่อไป ขณะที่กุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ขณะนั้นไม่เศร้าโศกเสียใจ

สำหรับการที่จะมีรักใหม่ ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แต่ถ้าได้อาศัยพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ความเข้าใจถูก เห็นถูก ก็จะเป็นที่พึ่งได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 20 ม.ค. 2557

มีรักก็มีทุกข์ ผู้ที่ไม่รัก จึงไม่ทุกข์ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
สัมมาทิฏฐิ
วันที่ 21 ม.ค. 2557

มองเห็นและเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ตอบ ณ ขณะนี้ กำลังมีประสบการณ์ตรงกับเรื่องนี้พอดี คำตอบช่วยย้ำความเข้าใจในธรรมของตน จะศึกษาและฟังธรรม พร้อมนำมาพิจารณาต่อไป เพื่อสร้างปัญญาแก่ตนให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

ขอกราบอนุโมทนาในธรรมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 25 ม.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ